การแข่งขันนำเสนอรถยนต์พลังงานทางเลือกใหม่ “รถยนต์ไฟฟ้า” ถือเป็นทางออกสำคัญในโลกวันหน้า มาสด้าถือโอกาสดีในงาน Tokyo Motor show 2019 เปิดตัวรถอเนกประสงค์ไฟฟ้ารุ่นแรก Mazda MX-30 ก่อนขายปีหน้า
มาสด้า เอ็มเอ็กซ์ 30 เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ขับเคลื่อนด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้าด้วยแบตเตอร์รี่ หรือ Battery Electric Vehicle (BEV) รุ่นแรกของมาสด้า ต้องการนำเสนอลูกค้าที่มองหาที่สุดสมรรถนะในการขับขี่ ไปเคียงข้างงานออกแบบที่มีเอกลักษณ์เป็นปัจเจกไม่ซ้ำใคร ตามปรัชญาแนวทางการออกแบบของมาสด้าที่นำเสนอในตลอดหลายปีที่ผ่านมา
งานออกแบบเจ้าอเนกประสงค์พลังไฟฟ้า ยังพัฒนาภายใต้การออกแบบ Kodo Design เหมือนรถหลายรุ่นที่ผ่านมา ทางมาสด้าทำให้รถรุนนี้ก้าวไปอีกขั้นด้วย ภายใต้ความคิดทันสมัยยิ่งขึ้นว่า Human Modern ทีมออกแบบต้องการทำให้รถเป็นความสุขของผู้ใช้เมื่อได้เห็นมัน
และด้วยความเชี่ยวชาญทางด้านงานออกแบบของมาสด้าที่มีความสวยงามในการออกแบบรถ ผสานเข้ากับชีวิตทันสมัยของคนปัจจุบัน มาสด้าได้สร้างสรรค์การออกแบบตัวให้มีความสวยงาม สปอร์ต ดูดี ทรวดทรงของมันแลคล้ายกับรถสปอร์ตคูเป้ โดเด่นมากขึ้นด้วยประตูแบบพิเศษเอกลักษณ์เฉพาะที่เรียกว่า “Free Style Door”
ประตูแบบนี้คนไทย มันจะเรียกติดปากว่า ประตูตู้กับข้าว สามารถเปิด-ปิดงานง่ายละมีความแข็งแรงปลอดภัย โดยไม่จำเป็ต้องมีเสากลางตัวรถ หรือ เสา B ทั้งยังให้คุณลักษณะเด่ดูดี สะดวการใช้งาน ไม่ว่าจะเปิดผู้โดยสารขึ้น-ลง เข้าออกเบาะนั่งโดยสารตอนหลัง ตลอดจน ยังให้ความรู้สึกกว้างขวางกว่าการมี 4 ประตูแบบดั้งเดิมทั่วไป
ภายในห้องโดยสาร สอดรับกับการออกแบบภายนอก มาสด้ามุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัสดุภายในห้องโดยสาร ที่ต้องดูดีและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผสานกับงานออกแบบที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ “Floating Console” ภายในตบแต่งด้วยเบาะนั่งผ้าสีเทาตัดกับสีน้ำตาล
สิ่งที่น่าภาคภูมิใจมากที่สุดของมาสด้าในการออกแบบรถคันนี้ คือการสร้างวัสดุพิเศษของตัวเองที่เรียกว่า Heritage Cork วัสดุไม้ก๊อกขึ้นรูป ใช้เป็นถาดวางของภายในห้องโดยสาร มันให้ความรู้สึกที่ดูเป็นธรรมชาติ ทั้งยังให้ความรู้สึกอบอุ่นตลอดจนไม่ใช่วัสดุที่ทำขึ้นมาใหม่ แต่ทำจากเปลือไม้ที่หล่นจากต้นไม้ ไม่สร้างภาวะกับสิ่งแวดล้อม
ด้านแผงประตูด้านข้าง ออกแบบให้ไร้รอยต่อวัสดุทำจากขวดวัสดุพลาสติกรีไซเคิล เพื่อลดขยะที่เกิดขึ้น เช่นกันมันยังช่วยส่งเสริมสิ่งแวดล้อมด้วย
โทมิโกะ ทาเคอูชิ ผู้จัดการโครงการพัฒนารถยนต์ Mazda MX-30 กล่าวว่า Mazda MX-30 จะเป็นรถที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าคุณใช้เวลาอย่างสร้างสรรค์และมีพื้นที่สำหรับการใช้ชีวิตตามต้องการ
แน่นอนว่า ขนาดตัวรถก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน , Mazda MX-30 แนะนำตัวด้วยขนาดความยาว 4,395 มม. กว้าง 1,795 มม. และ สูง 1,570 มม. มีระยะฐานล้อยาว 2,655 มม.
การเลือกใช้ชื่อรหัส MX ก็มีอะไรซ่อนอยู่ในนั้น อย่างที่เรารู้ มาสด้า มีรถที่มีรหัส “MX” เพียงรุ่นเดียว นั่นคือ Mazda MX 5 รถสปอร์ตโรดสเตอร์ 2 ที่นั่ง การเลือกใช้ชื่อรหัสนี้ในรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อต้องการสะท้อนเอกลักษณ์ความสปอร์ตของมาสด้าที่มีในด้านการขับขี่ และยังได้รูปลักษณ์ภายนอกที่ปราดเปรียวดูสปอร์ต และภายในที่สะท้อนความมีศิลปะทางด้านการออกแบบในรถคันนี้
สิ่งที่หลายคนสนใจและต้องการทราบ ก็ไม่พ้นระบบขับเคลื่อนของเจ้าอเนกประสงค์ขุมพลังไฟฟ้า มันขับเคลื่อนด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้าระบายความร้อนด้วยน้ำ ระบบนี้เรียกว่า e-Skayactiv ยังไม่มีการเปิดเผยทางด้านกำลังขับเคลื่อนออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ทางมาสด้ามั่นใจว่ามันน่าจะตอบสนองความสนุกในการขับขี่ได้เพียงพอกับความต้องการของลูกค้า
พละกำลังการขับเคลื่อนถ่ายทอดจากแบตเตอร์รี่ ลิเธียมไอออนขนาด 35.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง ตามข้อมูลการเปิดเผยของมาสด้า มันจะมีระยะทางต่อการชาร์จประมาณ 200 กิโลเมตร อาจจะฟังดูน้อย หากมาสด้ามั่นใจว่าจะเพียงพอต่อการใช้งาน สำหรับผู้ใช้ในฝั่งยุโรป ซึ่งมักจะใช้รถวันละ 48 กิโลเมตรโดยประมาณ จากการสำรวจของทางบริษัท
สมรรถนะการขับขี่ให้ความลงตัวด้วยช่วงล่างทางด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังเลือกใช้ช่วงล่างแบบทอร์ชั่นบีม ติดตั้งพร้อมระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ ด้านหน้าเลือกใช้จานระบายความร้อน ให้อำนาจการสั่งหยุดสูงสุด รวมถึงยังมีระบบ Regenerative Brake ช่วยชาร์จไฟฟ้า ขับสนุกยิ่งขึ้น ด้วยระบบช่วยเหลือในการขับขี่ใหม่ล่าสุด electric G Vectoring Plus
การชาร์จ Mazda MX-30ด้วยระบบปกติ AC Charge จะชาร์จด้วยกำลังไฟ 6.6 กิโลวัตต์ และในการชาร์จแบบเร็ว DC ชาร์จรองรับหัวชาร์จแบบ Combo
เจ้าอเนกประสงค์ไฟฟ้า มาสด้า เอ็มเอ็กซ์ 30 มีแผนในการวางจำหน่ายในกลุ่มประเทศยุโรป ก่อนเป็นที่แรกในโลก โดยในตอนนี้เปิดให้ลูกค้าที่สนใจสามารถสั่งซื้อล่วงหน้าได้ในโชว์รูมมาสด้า ตัวรถรุ่นนี้มีกำหนดการวางจำหน่ายในช่วงหลังของปี พ.ศ. 2563 ในยุโรป
ด้านความเป็นไปได้ในการเข้ามาทำตลาดประเทศไทย ก็ยังพอมีบ้างถ้ามีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม และมีความต้องการจากลูกค้า เชื่อว่าเราน่าจะได้เห็นรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้มาโลกแล่นบนท้องถนนเมืองไทยในอนาคต