เมื่อเริ่มมีชีวิตครอบครัว ไม่ว่าใครก็คงอยากจะหารถยนต์ที่ตอบโจทย์ในแทนคู่กายคันเดิม การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจากตัวคนเดียว มีแฟน มีเจ้าตัวเล็กเริ่มชีวิตครอบครัว ทำให้รถกลุ่ม   MPV   หรือ Multi Purposed Vehicle  เติบโตขึ้นจนกลายเป็นตลาดกลุ่มใหม่มาแรงในรอบปี พ.ศ. 2561

ความต้องการคนไทยเปลี่ยนไป ส่วนหนึ่งมาจากการปลดล็อคจากโครงการรถคันแรก และลูกค้าเติบโตขึ้นจากการพบปะใครสักคน ใช้ชีวิตคู่ ต้องการความพร้อมสำหรับอนาคต เมื่อได้ฟังจากปากของ คุณ วัลลภ ตรีฤกษ์งาม กรรมการบริหารด้านการขายและการตลาด (Executive Director) นั่นเป็นผมรู้ถึงสาเหตุว่า ทำไม   Suzuki   มั่นใจกับ  รถรุ่นใหม่  Suzuki  Ertiga   นักหนา แถมการประกาศราคาจำหน่ายในวันเปิดตัว เมื่อ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมา ไม่ได้แพงจนเกินงาม

ราคาขายที่พอฟัดเหวี่ยงกับรถ   Subcompact  เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร แถมได้รถใหญ่ 7 ที่นั่ง  ไปได้ยกครัว เชื่อเลยว่า คุณคงต้องชายตามมามองรถคันนี้บ้าง ไม่ว่าจะซื้อรถสำหรับครอบครัว หรือ ซื้อหาไว้ใช้เองส่วนตัว ชอบฟังชั่นใช้งาน มันกลายเป็นรถที่หลายคนถามหาไม่มากก็น้อย

แถมยิ่ง เจ้านัท น้องทีมงาน   Ridebuster   เรายังมาพร้อมความตื่นเต้น หลังมีโอกาสไปฮ้อรถคันนี้ที่ภาคเหนือ ในตอนทดสอบกลุ่ม (อ่านรีวิวได้ที่นี่) กลับมาพร้อมประโยคสำคัญว่า “พี่มันไม่เหมือน   MPV ที่พี่เคยพบเจอมา” นั่นทำเอาผมครุ่นคิดว่า คงถึงคราวที่เราต้องเอามาลองบ้างเสียแล้ว

Suzuki Ertiga กับ Mitsubishi Xpander

โครงการพัฒนา   Suzuki Ertiga   ใหม่เกิดขึ้นมาในช่วงปี 2009 หลังจากก่อนหน้านี้ ทาง  Suzuki   นำเอารถ   Suzuki MPV   มาลองขายในไทย เคียงข้างร่าง   Suzuki Carry   หัวเดี่ยวสายกระบะสี่ล้อเล็ก ที่ตอนหลังเป็นกระแส   Food Truck คนชอบเอาไปต่อเติมเป็นรถขายอาหาร

เจ้า   MPV  ตลาดในเวลานั้นไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไรนัก เราจะเห็นได้ว่ารถน้อยมาก และหลังๆ ส่วนใหญ่ กลายเป็นแท็กซี่นักท่องเที่ยว เนื่องจาก ขนของดีจุเยอะ คนตัวใหญ่เข้าออกสบาย ราคาไม่แพงสำหรับคนที่จะออกไปทำธุรกิจขับรถรับนั่งท่องเที่ยว

1 ปีหลังจากเปิด   Suzuki  Swift อีโค่คาร์ขายในประเทศไทย ปี 2013  Suzuki  Ertiga  ก็เปิดตัวขายในไทยเป็นครั้งแรก มันมาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.4 ลิตร มีทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ออกแบบเรียบง่ายดูหรูในการใช้งาน ถูกใจกลุ่มวัยกลางคนไม่น้อย จนเราพอจะเห็นรถรุ่นนี้แล่นตามท้องถนนบ้าง

ปี 2016  Suzuki   จัดการปรับโฉม  ซูซูกิ เออร์ทิก้า  ด้วยการแนะนำรุ่นพิเศษที่เรียกว่า “Dreza” ด้วยการให้งานออกแบบชั้นสูง เปลี่ยนกระจังหน้าและกันชนหน้าใหม่ ภายในได้เครื่องเสียงชุดจอ 8 นิ้ว และที่นั่งที่ดูดีขึ้น การเปิดตัวรถมีในประเทศอินโดนีเซีย ก่อนปลายปีเดียวกันทางค่ายมาเลเซียขอรถคันนี้ไปรีแบดจ์ (เปลี่ยนตราสินค้า / OEM) ขายในประเทศผ่านทางแบรนด์  Proton ในชื่อ  Proton Ertiga   

2016 Suzuki Ertiga Dreza
รถ Suzuki Ertiga ที่เปลี่ยนโฉม เมื่อปี 2016

รถรุ่นปรับโฉมก็อยู่ในตลาดได้ไม่นานนัก เนื่องจาก คู่แข่งสร้างรถรุ่นใหม่ออกมาตอบโจทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง   Mitsubishi Xpander  ออกมาขายในปี 2017  สร้างปรากฎการณ์ใหม่ ให้ลูกค้าสนใจด้วยดีไซน์ก้าวหน้ากว่า มันถึงคราวที่  Suzuki   จะต้องเผยพ่อบ้านรุ่นใหม่เสียที

ซูซูกิ เออร์ทิก้า  ใหม่ เปิดตัวในวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2561 ท่ามกลางเวทีงาน   Indonesia  International Motor Show 2018  เผยโฉมรถอเนกประสงค์ดูพรีเมี่ยมมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า มีปรับรายละเอียดหลายจุดสำคัญ จนลูกค้าที่เข้าคิวซื้อคู่แข่งในอินโดนีเซียต้องกลับมานั่งคิดไม่น้อย

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไม   Suzuki Ertiga  ออกมาประกบคู่แข่งอย่างไว เพียงไม่ถึงปี ก็ออกรุ่นใหม่มาขายได้ ราวกับเสกมนต์

เรื่องนี้สื่ออินโดนีเซีย  Merdeka  ได้สัมภาษณ์ หัวหน้าโครงการพัฒนา   Suzuki Ertiga  ,นาย ซาโตชิ คาซาฮาระ (Satoshi Kasahara) เขาเผยว่า โครงการรุ่นที่ 2 เริ่มขึ้นแทบจะทันทีหลังจากวางจำหน่ายรถรุ่นแรก ในช่วงปลายปี 2013 และทีมเริ่มกระบวนการวิจัยทางการตลาด สำรวจกลุ่มลูกค้าผู้ใช้รถรุ่นปัจุบัน (รุ่นเก่า) ว่ามีความต้องการอะไรเพิ่มเติมบ้าง

เสียงจากผู้ใช้ส่วนใหญ่ กล่าวไปในทางเดียวกันว่า  เบาะแถวสามค่อนข้างแคบไม่เหมาะต่อการใช้งาน โดยเฉพาะผู้โดยสารผู้ใหญ่

โครงการพัฒนา   Suzuki Ertiga  ใหม่ จึงเริ่มจากพื้นฐานการสำรวจนี้ สิ่งแรกที่พวกเขาทำ คือ ปรับความกว้างของห้องโดยสารเพิ่มขึ้น อีก 40 มม. ตัวรถเพิ่มความยาวอีก 130 มม. ความสูงปรับเพิ่มขึ้น 5 มม. ส่วนขนาดฐานล้อไม่มีการเปลี่ยนแปลง

การเข็นรุ่นใหม่ออกมา ทาง Suzuki ยังหันมาใช้โครงสร้าง  Heartect  ทำให้น้ำหนักตัวเปล่าลดลงไปถึง 100 กก. ราวกับ คุณโยนกระสอบข้าวสารทิ้งไว้ที่บ้าน

2019 Suzuki Ertiga

ส่วนงานออกแบบตัวรถ ยังคงแนวทางการเป็น   MPV  ดูดีดีไซน์หรูบางมุมดูสปอร์ต ถ้าเลือกสีดูไม่แก่เกินวัยสักหน่อย เช่นสีแดง ตัวรถมาพร้อมไฟหน้าโคมโปรเจคเตอร์ เป็นมาตรฐานตั้งแต่รุ่นล่าง พกกระจังหน้าโครเมี่ยม ดูหรูหรา   รุ่นท๊อปเพิ่มไฟตัดหมอกหน้ามาให้ เช่นเดียวกับ กระจกมองข้าง มีไฟเลี้ยวในตัวปรับพับไฟฟ้า มือจับโครเมี่ยม

 ด้านข้างให้รายละเอียคมสันช่วงเส้นไหล่และ เส้นด้านล่าง ดูสปอร์ตในหลายมุม  โดยเฉพาะถ้าคุณมองรถ 45 องศา จากทางด้านหน้า ลงตัวกับล้ออัลลอยขอบ 15 นิ้ว สีเทาปกติ พร้อมยาง 185/65/R15  ด้านหลังทุกรุ่นให้ไฟท้าย  LED   รุ่นท๊อปเพิ่มความดูดีด้วย Light Guide  มองเผินๆ บางคนอาจคิดว่าเป็น Honda  Jazz  ด้วยซ้ำ ส่วนประตูท้ายเปิดด้วยมือ น้ำหนักฝาท้ายเบากำลังดีไม่หนักมือไปสำหรับคุณผู้หญิงทั้งหลาย รุ่น  GX (รุ่นท๊อป) สะดวกสบาย ด้วย Keyless พกกุญแจไว้กับตัวก็ขึ้นรถได้ทันที

2019 Suzuki Ertiga
2019 Suzuki Ertiga

2019 Suzuki Ertiga

 เมื่อเข้ามาในห้องโดยสาร รถจากอินโดนีเซียเหมือนกันหมด ชอบทำที่นั่งสูงไปสักนิด สำหรับคนตัวใหญ่อย่างผมกับเดือนเราค่อนข้างชอบ กลับกันคนไทยตัวเล็กอาจจะมีบ่นบ้างนิดหน่อย ถ้าคุณตัวเล็กเราแนะว่าจัดรถตัวท๊อป เพราะ เบาะนั่งคนขับสามารถปรับสูงต่ำได้ พวงมาลัย 3 ก้านท้ายตัด สามารถปรับสูงต่ำ และยืดหดได้ตามต้องการ

มองไปด้านหน้าเรือนไมล์มาตรวัดคล้ายกับ Suzuki  Swift  แตกต่างที่โทน  Ambient  เปลี่ยนเป็นสีกาแฟ มีหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ตรงกลาง สามารถกดดูข้อมูลต่างๆได้ ตามต้องการ

ภายในห้องโดยสาร 2019 Suzuki Ertiga

ในเรื่องการตบแต่ง สำหรับใครที่ไม่ได้สูงอายุ น่าจะไม่ถูกใจนัก  Suzuki  Ertiga  ใหม่ หันมาเอาดีงานหรูด้วยลายไม้  คุณไม่สามารถเลี่ยงได้ ถ้าคิดว่าจะซื้อรถรุ่นท๊อปออพชั่น เอาตามตรงลุคหรูอมสปอร์ตภายนอก ผมว่าไม่จำเป็นต้องใช้ลายไม้เป็นส่วนผสมในการออกแบบก็ได้ อาจจะจริงที่ไลน์ไม้สื่อถึงความหรูหรา หากก็ไม่ใช่ทุกคนชอบมัน

อันที่จริง Suzuki  Ertiga ในบ้านเราเป็นโฉมเดียวที่ใช้ภายในสีดำ ส่วนหนึ่งมาจากรสนิยมคนไทย มองว่าภายในสีเบจแบบทางฝั่งอินโดฯ หรือ ฟิลลิปปินส์ นั่นเปรอะเปื้อนง่าย ดูแลรักษายากในระยะยาว นั่นทำให้รายละเอียดในห้องโดยสารในบ้านเรากลายเป็นสีดำ มีความสปอร์ตเพิ่มขึ้น บางอารมณ์ แอบนึกถึง  Suzuki  Ciaz  ไม่น้อย จนสาวกหลายคนแอบแซวว่าเป็น   Ciaz   7 ที่นั่งหรือเปล่า

ภายในห้องโดยสาร 2019 Suzuki Ertiga

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบาะนั่งคู่หน้า ตัวเบาะนั่ง พอขับรถทดสอบ แล้วไปขับ   Suzuki  Ciaz   คันที่บ้าน ให้ความรู้สึกเดียวกับราวกับถอดกันมา พนักพิงหลังมีขนาดค่อนข้างใหญ่ปีกด้านข้างอาจจะดูราวกับช่วยโอบคุณไว้ได้เวลาขับในระดับหนึ่ง ตัวรองนั่งกำลังดีไม่สั้นไป นั่งสบายแม้ขับรถระยะไกลก็ตาม

ด้านการโดยสารตอนหลังทำออกมารองรับการใช้งานสะดวกสบายถึงที่สุด ตั้งแต่ประตูรถตอนหลังขนาดใหญ่ยาวเป็นพิเศษ แถมเปิดได้กว้างให้ความสะดวกสบายในการขึ้น-ลง เบาะนั่งทั้งตอน 2 และตอน 3 อาจต้องระวังเวลาเปิดในพื้นที่แคบ อย่างลานจอดรถ อาจไปกระแทกคันข้างๆ ได้ง่าย 

 แถมยังให้กระจกบานใหญ่ จนเข้าไปนั่งแล้วรู้สึกได้ถึงความโปร่งโล่งสบาย บางคนอาจติติงเรื่องกระจกหลังเปิด-ปิด ลงได้ไม่สุด ก็ไม่น่าแปลกใจถ้ารถคันนี้ใช้กระจกบานใหญ่มหีมา

เมื่อขึ้นโดยสารตอน 2 ตัวเบาะสามารถปรับเลื่อนเดินหน้า-ถอยหลัง 240 มม. ได้คงเอกลักษณ์ในการใช้งาน ปรับพื้นที่วางขากว้างขึ้นได้ เมื่อไม่มีผู้โดยสารแถว 3  รวมถึงตัวพนักพิงหลังยังปรับได้2-3 ระดับ เอนสุดได้ถึงประมาณ 120 องศา เป็นท่าพร้อมนอนของผู้สูงอายุ น่าจะชอบมากเป็นพิเศษ ไม่มีพนักเท้าแขนมาให้ตรงกลาง ตลอดจน เบาะชุดนี้ให้ความอัศจรรย์ไม่ว่าจะ เลื่อน พับ เอน สามารถแยกกันระหว่างเบาะซ้ายขวา ในอัตรา 60/40  ช่วยแบ่งความสบายได้ตามต้องการของผู้โดยสาร เหนือเพดานตรงหน้า มีระบบปรับอากาศให้บริการตัวเอง จะลมแรงหรือเบา ปรับเอาตามความสะดวก ตรงนี้คือ สวรรค์ที่สุด

ภายในห้องโดยสาร 2019 Suzuki Ertiga

ภายในห้องโดยสาร 2019 Suzuki Ertiga
ทดลองนั่งเบาะแถว 2 ซูซูกิ เออร์ทิก้า 

ทางด้านเบาะแถว 3 ยังคงเป็นรูปแบบตายตัว ปรับพับได้ในอัตรา 50/50 ท่านั่งยังคงเป็นการเอนหลังเล็กน้อย ช่วยลดพื้นที่ช่วงตัว และให้ความสบายในระหว่างการเดินทาง ผมลองยัดเจ้าเดือนไปนั่งในเบาะนั่งแถว 3 ความสูง 173 ซ.ม. ยังนั่งได้สบาย แม้ว่าจะต้องมีการปรับเลื่อนเบาะนั่งแถว 2 ขึ้นหน้ามาเล็กน้อย ผมก็สูง 182 ซม. ก็ยังนั่งเบาะตอน 2 ได้อย่างสบายเช่นกัน เหลียวมองด้านหลัง หัวไม่ชน เพียงแต่คนตัวใหญ่ นั่งไกลในเบาะแถว 3 จะรู้สึกไม่สบาย

ภายในห้องโดยสาร 2019 Suzuki Ertiga

ภายในห้องโดยสาร 2019 Suzuki Ertiga
ทดลองนั่งเบาะแถว 3 ซูซูกิ เออร์ทิก้า 

มันหมายถึงในความเป็นจริง คุณสามารถพาผู้ใหญ่นั่งโดยสาร 6-7 คนได้ตามต้องการจริงๆ ไม่ใช่เบาะนั่งแถว 3 เฉพาะสำหรับเด็กเล็กเท่านั้น นั่นเป็นความตั้งใจของ นาย คาซาฮาระ หัวหน้าทีมวิศวกรรม   Suzuki Ertiga   ที่ต้องการทำให้รถใช้งานได้ดีขึ้น หลังจากเสียงลูกค้ารุ่นก่อนสะท้อนถึงเขาในเรื่องที่นั่งตอน 3 ใช้งานจริงยาก และไม่เพียงการปรับเบาะนั่งเท่านั้น

ในส่วนของห้องสัมภาระท้ายยังมีพื้นที่รวม 800 ลิตร และ ลดลงเป็น 500 ลิตร เมื่อเปิดใช้เบาะนั่งแถว 3 ถ้าคุณจินตนาการไม่ออกว่า มันมากแค่ไหน มันดีพอจะขนสัมภาระของทุกคนไปได้ในคราวเดียวพร้อมกับผู้โดยสาร สามารถใส่กระเป๋าเดินทาง 20 นิ้ว ได้ 2-3 ใบ  แถมท้ายรถยังมีช่องลับใต้พื้น เผื่อเก็บของจำเป็นต้องพกติดรถเอาไว้ เช่นรองเท้ากีฬาคู่เก่ง โดยไม่เกะกะพื้นที่จุสัมภาระ

ส่วนตรงกลางคอนโซลหน้ามาพร้อมระบบเครื่องเสียงวิทยุ เชื่อมต่อ  Bluetooth   และระบบปรับอากาศมือหมุนปกติ ปรับร้อยเย็นด้วยมือเรา 

 

ใต้เรือนร่างพ่อบ้านลุคหรู   Suzuki Ertiga  ใหม่ ปรับจากเครื่องยนต์เบนซิน 1.4 ลิตร เดิมมา เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียงขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลัง 105 แรงม้า สูงสุด ที่ 6,000 รอบต่อนาที ทำแรงบิด 138 นิวตันเมตร ที่4,400 รอบต่อนาที เปรียบเทียบกับเครื่องยนต์เดิม ต้นกำลังรุ่นใหม่มีพละกำลังเพิ่ม 10 แรงม้า และแรงบิด เพิ่มเพียง 8 นิวตันเมตร เท่านั้น มันไม่ได้มากมาย ทว่าก็ได้อานิสงค์จากโครงสร้างใหม่   Suzuki Heartect   มันมีน้ำหนักเบาลงถึง 100 กก. โดยประมาณ อ่านสเป็คแล้ว อืม!! มันน่าจะขับดีขึ้น  ผมลองคำนวนตามหลักวิศวกรรม อัตรากำลังต่อน้ำหนัก (Power to wieght)  รุ่นเดิมกับรุ่นใหม่ ยิ่งน่าสนใจ 

Suzuki Ertiga กับ Mitsubishi Xpander

Suzuki  Ertiga   ตัวท๊อปรุ่นเดิม (GX)  น้ำหนักเปล่า  1,265 กก. เครื่องยนต์1.4 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 95 แรงม้า อัตรา   Power to weight  =  13.31 กิโลกรัมต่อแรงม้า 

ส่วนรุ่นใหม่   Suzuki  Ertiga  2019  น้ำหนักเปล่า 1,135 กก. เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ให้กำลัง 105 แรงม้า อัตรา   Power to weight  =  10.8 กิโลกรัมต่อแรงม้า 

เปรียบเทียบระหว่างรุ่นเก่า และใหม่ ต่างกัน  2.51 กิโลกรัมต่อแรงม้า  ถือว่าดีขึ้นกว่าเดิมมากพอสมควร และแน่นอนต้องเร่งดีขึ้นกว่าเดิมมาก

งวดนี้ซูซุกิตอนรุ่นเกียร์ธรรมดา (GA) ออกไป หลังจากไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการทำตลาดเท่าไร  เหลือเพียงเกียร์ ออโต้ 4 สปีด ที่หลายคนอาจจะรู้สึกแขยงๆ บ้างอ้างว่า “โบราณ”

อัตราทดเกียร์ในแต่ละจังหวะ เทียบกับรุ่นเดิม แทบไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง เว้นเพียงอัตราทดเฟืองท้ายใหม่ จูนอัตราทดต่ำลงเล็กน้อย

ตาราง อัตราทดเกียร์   Suzuki  Ertiga   เก่า -ใหม่

อัตราทด Suzuki  Ertiga  เก่า Suzuki  Ertiga  ปัจจุบัน
เกียร์1 2.875 2.875
เกียร์2 1.568 1.568
เกียร์3 1.000 1.000
เกียร์4 0.697 0.696
อัตราทดเฟืองท้าย 4.545 4.287

 

 

รถเบาขึ้นเครื่องแรงขึ้นไม่น่าแปลกใจ เออร์ทิก้าจะขับดี จนเป็น MPV   ที่ต้องซูฮก และเข้าไปในรายการหนึ่งในรถที่สมควรแนะนำให้คนที่ซื้อรถแบบนี้ต้องหันมาดูเป็นตัวเลือก 

ย้อนไปเมื่อตอน เจ้านัทกลับมาจากทดสอบกลุ่มรถรุ่นนี้ คุยกันถามไถ่ สรุปรถเป็นอย่างไรบ้าง นัทเล่ากับผมสั้นๆว่า “พี่ มันไม่เหมือน  MPV ที่พี่เคยลองแน่ๆ” ผมก็นึกว่า รถทรงกล่องมันจะไม่เหมือนได้อย่างไร

หลังมานั่งหลังพวงมาลัยกดคันเร่งออกเดินทางมาได้พักใหญ่ ใช่!! ผมนึกในใจมันไม่เหมือนกับรถพ่อบ้านเดิมที่เคยผ่านมือมา อาการพวงมาลัยเจ้า MPV   คันนี้คล้าย Suzuki Swift  มีระยะฟรีเล็กน้อยเมื่อคัดแล้วเปี่ยมไปด้วยความคมตอบสนองการบังคับทิศทางได้ดี แป้นเบรกจูนให้เบรกแล้วมั่นใจขึ้นไม่ตื้นเหมือนศิษย์น้องอีโค่คาร์ที่แตะเป็นเบรกไวเกินไป 

ชุดเกียร์ 4 สปีดที่หลายคนค่อนขอด เปลี่ยนแต่ละตำแหน่งได้นุ่มนวลไม่มีอาการสะดุ้งกระตุกนั่งไม่สบายอะไรให้กวนใจ จะมีบ้างเล็กน้อยในบางจังหวะจากเกียร์ 2 ไปเกียร์ 3 มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย แถมระบบยังเซทให้เปลี่ยนไปถึงชุดเกียร์สูงสุด (เกียร์ 4) อย่างรวดเร็ว ให้ความประหยัดสูงสุดในการเดินทาง สมมุติออกตัวจากไฟแดงในระยะไม่เกิน  200 เมตร คุณอยู่ในตำแหน่งเกียร์ 4 แล้ว

ช่วงแรกขับในเมือง Suzuki Ertiga   เป็น   MPV ที่มีความคล่องตัวสูง จากอัตราทดพวงมาลัยคมๆ เครื่องยนต์เกียร์ก็เร่งแรงออกตัวได้ดี แถมโครงสร้างใหม่ยังช่วยในเรืองการซับแรงสะเทือนจากถนนดีขึ้นด้วย

เวลาขับในเมือง จะดูนิ่มนวลสักหน่อยแอบแข็งติดปลายนวมให้มั่นใจบ้างเล็กน้อย อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ดูยวบยาบจนย้วยเมื่อรวมกับองค์ประกอบอื่นๆ ที่พูดมาแล้วข้างต้น มันเป็นรถพ่อบ้านคันแรก ในตระกูล   MPV   คันแรก ที่ผมกล้าใช้คำพูดว่า  “ขับสนุก” ยิ่งหลายคนสบประมาทร่างดูลุงทรงกล่องเวลาขับบนถนน พอโดนสวน บางทีก็แอบอยากรู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรกัน

ความบันเทิงขับสนุกไม่ใช่อย่างเดียวจาก   Suzuki  Ertiga  ร่างกล่องทรงพ่อบ้าน ผมต้องแปลกใจอีกครั้ง เมื่อมาแวะเติมน้ำมันครั้งแรก ขับไปในเมืองกว่า 194.9 กิโลเมตร เติมน้ำมันไป 11.93 ลิตร ดีดเครื่องคิดเลขออกมาถึงกีบทึ่งอัตราประหยัดในเมืองคือ 16.33 กิโลเมตรต่อลิตร จัดว่าไม่ธรรมดา  นี่ขับสนุกไม่พอ ยังประหยัด อีกต่างหาก

ส่วนเหตุผลมันประหยัดมาก ก็มาจากตัวรถเบา เครื่องใหญ่ขึ้น และเกียร์ที่รีบไปยังตำแหน่งเกียร์ 4 ไม่ลากรอบสูง และใช้ให้นานที่สุดจนกว่าจะกำลังไม่พอ พูดให้เข้าใจง่ายถ้าคุณไม่ได้กดคิกดาวเร่งแซง หรือ กดปุ่ม  O/D   เกียร์จะไม่ยอมเปลี่ยน พยายามลาก 4 ยาว มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  ยิ่งในเมืองไม่มีทางเลยที่เราจะขับเกิน 90 ก.ม./ช.ม. ทำให้รอบเครื่องต่ำมาก จนได้เรื่องความประหยัดมาเป็นของแถม

————

รถทุกคนถูกออกแบบมาต่างกันตามวัตถุประสงค์ในการใช้งาน , ด้วยความเป็นรถอเนกประสงค์พ่อบ้านแม่บ้าน ไม่แปลกใจนักถ้ามันจะถูกใช้ขนครอบครัวเดินทางไกลบ้างในหลายครั้งหลายคราว

ขับออกนอกเมืองความสนุกสนานจากอัตราเร่งของเครื่องยนต์ในร่างเบาหวิวของมันทำเราประทับใจอยู่เหมือนเคย แต่อาการระบบกันสะเทือนที่มีความนิ่มนวลติดหนึบบ้างในช่วงความเร็วต่ำขับจากที่ขับในเมืองไม่เกิน 80 ก.ม./ช.ม. เปลี่ยนบุคลิกไปสิ้นเชิง เมื่อขับด้วยความเร็วเกิน 100 ก.ม./ช.ม. ขึ้นไป

ระบบกันสะเทือนอนุมานว่า น่าจะเป็นโช๊คอัพ ซับแรงกระแทกดีขึ้น ช่วงล่างกลายเป็นหนึบแน่นขึ้นจนรู้สึกมั่นใจ มันไม่แข็งหนึบเท่า   Mitsubishi  X Pander  และไม่ย้วยเท่า   Toyota Sienta    การซับแรงสะเทือนกำลังดีนั่งสบาย ส่วนคนขับก็รู้สึกถึงความเกาะถนนแน่นหนึบ ใช้ความเร็วได้  พวงมาลัยคมก็มีดีในเรื่องเวลาเร่งแซง โดยเฉพาะเวลาจราจรคับคั่งสามารถมุดซ้ายขวาผ่านไปง่าย หรือถ้าจะต้องขับผ่านเส้นทางที่มีโค้งต่อเนื่อง ก็ไม่ต้องออกลีลาวาดพวงมาลัยจนเหนื่อยกาย ขับไม่สบายใจ

 กำลังเครื่องก็เหลือเฟือ แต่ด้วยการใช้เกียร์ 4 สปีด ทำให้เครื่องยนต์เวลาขับเดินทางจะใช้รอบเครื่องยนต์สูงเสียหน่อย ที่ความเร็ว 110 ก.ม./ช.ม. จะกินรอบเครื่อง 2,750 รอบต่อนาที และ 120 ก.ม./ช.ม.อยู่ที่  3,000 รอบต่อนาที

เทียบกับรถสมัยใหม่บางรุ่นใช้เกียร์   CVT   รอบเครื่องยนต์ต่ำกว่ามากเวลาเดินทางไกล แต่การใช้รอบเครื่องยนต์สูง มีข้อดีอยู่ประการหนึ่ง คุณอยู่ในจังหวะใกล้ช่วงแรงบิดสูงสุด เมื่อคิกดาวน์ลงไป ต้องการเร่งแซง รอบจะไปอยู่ในตำแหน่งช่วงแรงบิดสูงสุดพอดี

พ่อบ้านคันนี้ จึงวิ่งไวเป็นจรวรดทางเรียบได้ถ้าต้องการ ยิ่งถ้าขับบ่อยครั้งจนชิน จะพบว่า เครื่อง 1.5 และ เกียร์ 4 สปีดไม่ได้ขี้เหร่อย่างที่เราตะขิดตะขวงใจเท่าไรนัก แต่แน่นอนว่าข้อเสียหลักของเกียร์น้อยอัตราทดน้อย กินรอบเครื่องสูงตลอดการเดินทางด้วยความเร็วทางไกล หนีไม่พ้นเรื่องความประหยัด เราถึงที่หมายปลายทางวัดอัตราประหยัดได้เพียง 11.85 กิโลเมตรต่อลิตร

จะเห็นว่า เมื่อเปรียบเทียบอัตราประหยัดนอกเมืองกับในเมืองต่างกันมากพอสมควร แถมในการทดสอบของผมยังไม่ได้บรรทุกสัมภาระอะไรมากมาย นอกจาก “เดือน” ที่นั่งไปข้าง และกระเป๋าสัมภาระ 20 นิ้ว 1 ใบ เท่านั้นเอง

 

สรุป   Suzuki  Ertiga   MPV x Ecocar  สูตรลับความต่างที่ลงตัว

ย้อนกลับไปตอนเปิดตัว หลังฟังราคาว่าน่าสนใจ เมื่อดูรถที่เผยโฉมหน้าตาแบบไม่ถูกใจวัย 30 เริ่มต้นครอบครัวอย่างผมเลย เรียนตามตรงว่ามันไม่ใช่รถที่ถูกชะตานัก

หลังลองขับต้องยอมรับว่า ซูซูกิ เออร์ทิก้า  เป็นรถที่เปี่ยมด้วยความแปลกใจ โดยเฉพาะความคล่องตัวความเบาของรถ เสมือนเป็นรถอีโค่คาร์ขยายร่างให้ใหญ่ตอบโจทย์ในการใช้ชีวิตมากขึ้น ดั่งคำพูดทางการตลาดที่ พี่วัลลภ และทีมงานคิดขึ้นมาอย่างชัดเจนว่า   Unlock your Life คือไม่คิดว่า   MPV  ขับสนุกในราคาไม่ถึง 7 แสน จะมีขายบนโลกใบนี้

ผมเข้าใจว่า หลายคนเลี่ยงจะซื้อรถ  MPV  กลัวว่ารถพ่อบ้าน มันไม่น่าจะขับสนุก นั่นผิดถนัดจากคุณคิด ถ้ามีโอกาส ลอง  ซูซูกิ เออร์ทิก้า

อาจจะจริงที่ทรวดทรงหน้าตามันดูลุงไปนิด แต่ก็เป็นลุงปึ๋งปั๋ง รับรองว่าเตะปี๊ปดัง!! เข้าใจวัยรุ่นว่าต้องการอะไร ถ้าสมมุติ Suzuki   ออกแบบให้รถคันนี้ไม่แลดูสูงวัยมากขนาดนี้  สปอร์ตกว่านี้ เชื่อว่าคนวัย 30 กลางๆ น่าจะกดไลค์ สนใจมากกว่านี้ โดยเฉพาะฝากถึงฝ่ายออกแบบว่า ลุคหรูไม่จำเป็นต้องลายไม้ก็ได้ กระมัง

การเปลี่ยนจากรถอีโค่คาร์ ฝันสลายกับรถสปอร์ตเมื่อมีครอบครัว ก็ไม่จำเป็นว่าพวกเขาต้องการรถหรูสำหรับครอบครัว กลุ่มเป้าหมายลูกค้า  Suzuki   คือคนรุ่นใหม่ ที่เริ่มมีครอบครัว คนกลุ่มนี้ อาจอยากได้   MPV   หน้าตาสปอร์ตมากวก่าความหรูหรา นั่น ทำให้คู่แข่งถึงกวาดยอดไปถล่มทลาย ด้วยงานออกแบบที่มั่นโดนใจน่าใช้

อย่างไรก็ดี ถ้าปิดตาเรื่องการออกแบบ ซูซูกิ เออร์ทิก้า  คือรถพ่อบ้านที่มีดีกรีรถอีโค่คาร์ดีๆ นี่แหละ กายหยาบสไตล์ลุงภายนอก พอขับปุ๊ป เฮ้ย!! ใจยังสู้นี่หว่า คุณสามารถขับรถคันนี้ได้แบบเดียวกับรถอีโค่คาร์ทุกประการไม่ว่าจะความคล่องตัว อัตรากำลังเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร พร้อมเกียร์ 4 สปีด ที่ทำให้ผมตกใจว่า มันเร่งช้ากว่า   Suzuki Swift   เพียง 1 วินาที 80-120 กม./ช.ม. ต่างกัน  0.7 วินาที (จับเวลา นั่ง 2คน)  จากที่เอาสถิติการทดสอบอัตราเร่งมาดู แถมยังให้ความประหยัดอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะรถแบบนี้เน้นใช้งานในเมือง นานๆ ทีจะออกเดินทางไกลไปเที่ยวกัน

ในแง่หนึ่งถ้าคู่แข่งบอกว่า  เขาเป็น   MPV XSUV   , โจทย์วิศวกรรม Suzuki  Ertiga   ก็น่าจะออกมาเป็น MPV X Eco Car   มันลงตัวมากกับความเป็นจริงของรถ   MPV  มันสมควรประหยัด ขับดี มั่นใจ ราคาขายไม่แพง .. ผมไม่แปลกใจที่ยอดขายจะดีถล่มทลาย ด้วยปัจจัยสำคัญทางด้านราคาขาย

ถึงเจ้านี่จะขับแล้วมีดี แต่ด้วยออพชั่นบางอย่างที่ตัดทอนหายไปอย่างน่าประหลาดใจ ทำให้บางคนอาจรู้สึกไม่ชอบใจนัก แม้ว่าจะได้รถราคาถูกกว่ามาก อย่างแรกเลยที่กล่าวขานหนาหู คือ “ไล่ฝ้ากระจกบานหลัง” รถ 5 ประตูท้ายกุดส่วนใหญ่มีมาให้ บางคนอาจจะคิดว่ามันจำเป็นนักหนา ความจริงจากที่ขับรถ 5 ประตู มาหลายคัน ทัศนวิสัย ใช้ใบปัดน้ำฝนหลังจะดีกว่าการไล่ฝ้ามาก

ทัศนวิสัยกระจกหลัง ซูซูกิ เออร์ทิก้า  เมื่อวิ่งในเวลาฝนตก

นอกจากนี้ระบบเครื่องเสียงในรถยังเป็นวิทยุธรรมดา ก็น่าจะมีรุ่นที่มีจอภาพมาให้เลย เป็นทางเลือกให้กับลูกค้าก็ได้  ราคาแพงกว่า 7 แสนบาทออพชั่นเต็มมาสักรุ่นก็น่าจะดีไม่น้อย หรือระบบปรับอากาศมือหมุน ก็ดูจะทอนออพชั่นเกินไป เมื่อเทียบกับอีโค่คาร์ของค่าย แถมไม่มี  Cruise Control   มาให้ ทั้งที่น้องเล็กก็มี 

ผมยกตัวอย่าง 2-3 เรื่องนี้ขึ้นมา เพราะต้องยอมรับว่าคนไทยบ้าออพชั่น มี / ไม่มี ไม่รู้แหละ ถ้ารถเพื่อนมีแล้วรถเราไม่มจะแอบร้องไห้เบาๆ นั่นเป็นโจทย์สำคัญที่ทาง Suzuki   อาจจะต้องทำการบ้านกันต่อไป อย่าปล่อยคู่แข่ง  Mitsubishi Xpander ทำตลาดสบายๆ  และเชื่อว่าในท้ายที่สุด จะมีออพชั่นเต็มออกมาจำหน่าย เพิ่มเติม

อย่างไรก็ดี ถึงรถคันนี้จะมีดีหลายเรื่อง แต่เรื่องหนึ่งที่ผมไม่ชอบใจเลย คือเบาะนั่งคู่หน้า โดยเฉพาะฝั่งคนขับ พนักพิงหลังสั้นไปหน่อยสำหรับคนตัวสูงอย่างผม ใจก็แอบนึกว่าคนอินโดนีเซียไซส์แขกก็ตัวใหญ่กันทั้งนั้นเขานั่งสบายกันหรือ

นอกจากนี้ตัวปีกข้างเบาะนั่งยังไม่โอบกระชับมากพอเข้าโค้งแรงๆ ทำให้ตัวเราไม่นิ่งอยู่กับพวงมาลัย บางท่านอาจจะเถียงผมว่าก็มันไม่ใช่ Bucket Seat นี่นะ ถึงจะพูดแบบนั้น เบาะนั่งก็ควรทำให้ตัวเราอยู่ในการควบคุมชุดพวงมาลัย ตลอดเวลา ไม่ใช่โอนเอนไปตามโค้ง จนกลายเป็นเหนี่ยวพวงมาลัยช่วยไม่ให้ตัวไหล เวลาเจอแรงเหวี่ยง ยิ่ง   MPV   มีความสูงเจอแรงเหวี่ยงง่าย เบาะนั่งคู่หน้าสมควรจะกระชับกว่านี้ครับ

ลงจาก Suzuki  Ertiga  ตอนส่งมอบรถคืนหลังจากการทดสอบ ผมยืนดูยิ้มกรุ้มกริ่มว่า ใครจะคิดว่าทรงลุงๆ แบบนี้ ขับโคตรมันส์ และผมขอยกให้เป็น  Best in Mini  MPV  ด้านสมรรถนะ ขาดก็ออพชั่นไฮโซสักหน่อย ผมกับเดือนเราทั้งคู่เห็นพ้องว่า มันพอสำหรับการใช้งาน เว้นคุณอยากได้ออพชั่นล้นๆไม่ได้ใช่ ก็ว่ากันอีกเรื่อง

ในเวลานี้ ซูซูกิทำสำเร็จในการตอบโจทย์ความเป็นจริงการใช้งาน ประหยัด ขับดี นั่งสบาย และราคาถูก ขาดเพียงบางออพชั่นเล็กน้อย ถ้ารับได้มันเป็นรถที่ดีคันหนึ่งเลยทีเดียว ในราคาไม่ถึง  7 แสนบาท

 

 

 

 



[ngg src=”galleries” ids=”1156″ display=”basic_thumbnail”]

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่