“รถสปอร์ต” เป็นรถที่ทุกคนใฝ่ฝัน ว่าสักวันจะได้ขับ และสักวันจะมีเป็นของตัวเอง รถเหล่านี้ปัจจุบัน มีราคาแพงมหาศาล ต้องกำเงิน อย่างน้อย 3-4 ล้าน ถึงจะซื้อมันได้ ผิดกับอดีตที่เงินเพียงล้านกว่าๆ หรือ 2 ล้านนิดๆ ก็หาซื้อ เป็นเจ้าของได้แล้ว

เป็นที่ยอมรับกันในตลาดทั่วโลกว่า รถสปอร์ตถูกทอนจำนวนน้อยลง เมื่อเทียบจากตลาดวันวาน ส่วนสำคัญ มาจากการที่รถเหล่านี้ มีลูกค้าสนใจพวกมันน้อยมาก และยังโดนบรรดาผู้กุมกฏทางด้านสิ่งแวดล้อม ตามเทียวรั้งเทียวขื่อในเรื่อง ค่าไอเสียที่บีบเค้าจากปัญหาโลกร้อน

Subaru BRZ 2.4 6AT Eyesight 2022

จนทำให้ รถยนต์ที่เราเคยชื่นชอบในอดีต อย่าง Nissan Silvia, Nissan 180SX, Toyota Celica และ อื่นๆอีกมาก ทยอย โบกมืออำลาไปทีละรุ่นสองรุ่น ที่เหลืออยู่ในตลาดในวันนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นรถที่มีความผสมผสาน ในแบบรถ 5 ประตู หรือ Hothatch ที่ได้รับความนิยมในทางยุโรป มีเพียงคูเป้รุ่นใหญ่ ในฝั่งอเมริกันมัสเซิลคาร์ เจ้าตำนานอย่าง Mustang หรือไม่ก็ Camaro ที่อยู่ยงคงกระพัน แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะต่อลมหายใจได้นานเท่าไร

นั่นทำให้ โตโยต้า ที่เดิมที มีนาย อาดิโอะ โตโยดะ ชายผู้มี Passion เรื่องรถเป็นหนึ่ง พยายามจะสร้างรถสปอร์ตกลับมาขาย หนึ่งในนั้น คือตำนาาน ที่ดังมาจากการ์ตูน InitialD อย่าง AE86 ที่กลับมาในนาม Toyota FT86/GT86 รุ่นที่แล้ว

ความสำเร็จทำให้ ทางแบรนด์ไม่รอช้าที่จะส่งรุ่นที่ 2 ออกมา และครั้งนี้ มันเข้ามาอยู่ในรั้ว Gazoo Racing ในนาม Toyota GR86 ที่ทำตลาดอีกครั้ง

Subaru BRZ 2.4 6AT Eyesight 2022

เป็นที่ทราบกันดีว่า GR86 ยังคงเป็นผลงานจากความร่วมมือของ Subaru และ Toyota ที่ร่วมมือในการผลิตรถสปอร์ตออกมาขาย ในยุคที่คนอาจเริ่มอยากได้พวกมัน ก่อนก้าวสู่ ยุคที่เต็มไปด้วยความทันสมัย ถ้า GR86 เป็นรถของโตโยต้า..

Subaru BRZ ก็เป็นฝาแฝด ที่พร้อมออกมาตอบโจทย์อีกด้าน มีตัวตนในแบบที่พวกเขาเป็น พร้อมตอบสนองการขับขี่อย่างสุดขั้วเช่นกัน

ย้อนไปในปี 2012 Subaru BRZ เปิดตัวในตลาดทั่วโลก ในฐานะรถยนต์ภายใต้โครงการความร่วมมือของ ซูบารุ และ โตโยต้า เป็นครั้งแรกของซูบารุ นำรถสปอร์ตคูเป้ขับหลัง ในราคาที่ทุกคนเป็นเจ้าของได้ง่าย

ความสำเร็จจากรุ่นที่แล้ว ทำให้ ซูบารุ ไม่รอช้าที่พร้อมจะพัฒนารถรุ่นใหม่อีกครั้ง แม้ว่าในตลอดช่วงการขายในปี 2012-2019 จะมีประเด็นมากมายกับ โตโยต้า จนทำเอาสาวก ลุ้นตัวโก่ง ว่าจะมีรุ่นต่อไปหรือไม่ หลังจากมีท่าทีง่อนแง่นระหว่างกันมาโดยตลอด

ในที่สุด ปี 2019 ข่าวใหญ่สะเทือนวงการ ก็สร้างความชัดเจนในเรื่องนี้มากขึ้น เมื่อทาง โตโยต้า ประกาศ การเข้าถือหุ้นเพิ่มเติมใน Subaru Coperation จาก 16.83% เป็น 20% ทำให้ ซูบารุ เป็นส่วนหนึ่ง ของบริษัทใต้ร่มโพธิ์โตโยต้า มอเตอร์ คล้ายกับ ทางไดฮัทสุ

หน้าที่หลักของซูบารุ ในเวลานั้น คือการยืนยัน ถึงการร่วมมือการพัฒนารถสปอร์ตรุ่นใหม่ และไม่ต้องสงสัย ว่านั่นคือ Toyota 86 ซึ่งก็หมายถึง Subaru BRZ จะได้ไปต่อด้วยเช่นกัน

ยกเครื่องงานออกแบบ ทุกเส้นสาย คือ AeroDynamic

ในช่วงปี 2015 ทางซูบารุ ตัดสินใจกลับมาลงสนามแข่งอีกครั้ง ด้วยเป้าหมายในการศึกษารถทางเรียบ หลังจากเป็นเซียนทางฝั่น มีวิชากล้าแกร่ง มาหลายสิบปี

STi ในฐานะแม่งาน ส่ง Subaru BRZ เข้าแข่งขัน Super GT รายการแข่งรถชั้นนำของญี่ปุ่น ในรุ่น GT300 เป้าหมายสูงสุด ไม่ใช่แค่เพียงเพื่อชัยชนะในสนามเท่านั้น พวกเขาต้องการนำวิชาความรู้กลับมาพัฒนารถทางเรียบ ไปสู่รถรุ่นใหม่ ที่จะมาในอนาคต

Subaru BRZ 2.4 6AT Eyesight 2022

หลังรั้วสำนักงานใหญ่เมืองกุนมะ ,​ประเทศ ญี่ปุ่น ,​ซูบาุร เริ่มการพัฒนารถยนต์ Subaru BRZ ใหม่ อย่างลับๆ ก่อนจะตกเป็นข่าว โครงการนี้นำโดย นาย มาซาฮิโกะ อินโนอุเอะ มีเป้าหมายในการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขับสนุกมากขึ้น และยังคงไว้ความเป็นรถสปอร์ตดิบๆ ขับสนุก ที่คุณสามารถ ออกไปซิ่งได้ทุกวัน ตามต้องการโดยไม่ต้องคิดมาก เรื่องค่าน้ำมัน

รุ่นเดิม ทางซูบารุออกแบบเส้นสายให้ดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยว เห็นแล้วสะดุดตาทันที กลายเป็นเอกลักษณ์ที่ใครก็จำได้ทันที ที่เห็นไฟหน้า ของมันโผล่มาที่กระจกมองหลัง

ซูบารุ มองว่า หน้าตาสวยงามเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่หน้าตาดี ก็ต้องมีประสิทธิภาพด้วย ทางซูบารุ จึงตัดสินใจว่า ในรุ่นนี้ จะจัดเต็มเรื่องหลักอากาศพลศาสตร์ ตั้งแต่หัวจรดท้าย เพื่อให้ รถไม่เพียงแค่หน้าตาดี เส้นสายงานออกแบบ ต้องสะท้อน ประสิทธิภาพในการขับขี่ด้วย ในระหว่างที่มันแล่นไปบนถนน

ทันทีที่ผ้าคลุมเผยโฉม ระหว่างที่ผมดูผ่าน Live ในปลายปี 2021 หน้าตา Subaru BRZ โฉม 2 ออกมาพร้อมกับความสะดุดตา แนวคิดในการออกแบบ ว่า “Bolder” ตามซุบารุยุคใหม่ และในทิศทางเดียวกัน ทางซูบารุ ยังปรับให้ตัวรถมีคุณสมบัติ “Low & Wide” ทำให้รถเตี้ยลง และดูกว้างขึ้น อันเป็นสิ่งที่รถสปอร์ตควรมี

การเล่นกับหลักการอากาศพลศาสตร์ ทำให้เราได้เห็นงานออกแบบ ที่น่าสนใจหลายอย่าง ที่ไม่เคยคิดว่าจะเห็นมันในรถสายถนนมาก่อน เริ่มจากด้านหน้า มาพร้อมกระจังหน้า Hexagon เอกลักษณ์ของทางซุบารุ ที่ถูกวางแนวให้กว้างขึ้น และแผ่ขยายไปทั่วกันหน้า

เช่นเดียวกัน ยังมีช่องดักลมไปพ่นใส่ปั้มเบรก เพื่อช่วยระบายความร้อนในระหว่างการขับขี่ หาได้น้อยมากในสปอร์ตราคาคุ้มเงินแบบนี้

ฝากระโปรงหน้าถูกออกแบบให้ลาดเทตั้งแต่กันชนหน้าไปถึงช่วงกระจกบังลมหน้า เปรียบเทียบกับรุ่นเดิม จะพบว่าเส้นฝากระโปรงนั้นไม่ยกตัวมากเกินไป และยังออกแบบให้ ซุ้มล้อหน้า ออกแบบให้ยกตัว ช่วยรีดอากาศระหว่างการขับขี่ ทั้งยังให้ภาพความรู้สึกทรงพลังด้วย

บนหลังคา จับเอาแนวคิด หลังคา “คาทามารัน” มาใช้ น่าจะได้ไอเดียมาจากมิตรสหาย โตโยต้า การออกแบบให้ มีความนูนหลังคาต่างกัน ทำให้ความเร็วลมที่ผ่านหลังคา มีความเร็วต่างกันในบางพื้นที่ ช่วยเพิ่มความสามารถรีดอากาศ บนหลังคายังติดตั้ง เสาอากาศคลีบฉลามมาด้วย

Subaru BRZ 2.4 6AT Eyesight 2022

ด้าน ท้ายรถ คุณจะพบว่าฝาท้าย ถูกขึ้นรูปให้มีสปอยเลอร์ตูดเป็ดในตัว สายแต่งรถ อาจไม่ถูกใจมันเท่าไร เนื่องจากจะออกแบบติดตั้งสปอยเลอร์ ภายหลังค่อนข้างยาก เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม

ชายล่างกันชนหลัง ถูกแบบให้เป็น ดิฟฟิวเซอร์ขนาดใหญ่ ไว้เพิ่มแรงกด ในระหว่างการขับขี่

แต่งานออกแบบยังไม่หมดเท่านั้น เมื่อกลับมาช่วงซุ้มล้อ จะพบว่า แก้มซุ้มล้อหน้า จะมีช่องระบายอากาศจากซุ้ม ทำขึ้นเพื่อเสริมแรงกด ลดแรงยกจากลมหมุนวนในซุ้มล้อระหว่างการขับขี่ ด้วยความเร็ว และหากคุณยังจำรุ่นเดิมได้ รุ่นใหม่ จะพบว่า ซุ้มล้อหลัง มีความใหญ่และกว้างขึ้น ก็เพื่อกระจายลมออกไปทางด้านข้างนั่นเอง

Subaru BRZ 2.4 6AT Eyesight 2022

ด้วยความต้องการยกระดับรุ่นใหม่ ทางซุบารุ จึงใส่ไฟหน้าที่ดูมีความปราดเปรียวกว่ารุ่นเดิม และไฟท้ายที่ดูมีความทันสมัยสะดุดตามากขึ้น เช่นเดียวกัน ปรับขนาดล้อ จากเดิม ให้ขนาด 17 นิ้ว มาเป็น 18 นิ้ว เรียบร้อย

ในรุ่น เกียร์ออโต้ ที่เรานำมาขับ เป็นยาง Michelin Pilot Sport 4 ยางคุณภาพดี ยกตรงมาจากแบรนด์ฝรั่งเศส (แต่ยางที่ให้มาผลิตในเยอรมัน) ช่วยเพิ่มความมั่นใจ

เมื่อมองในภาพรวม เปรียบเทียบกับรุ่นเดิม รุ่นใหม่มีความลงตัวกว่าในทุกด้าน แต่ก็ยังมีกระแสจากคนซื้อว่า บางคนดันชอบดีไซน์ตัวเดิม ที่ดูน่าเกรงขามมากกว่า ไม่ดูติ๋มแบบในรุ่นนี้

ภายในอัพเดท แต่งแต้มความน่าใช้

ด้วยความต้องการให้มันกลายเป็นรถที่ถูกใจทุกคน ซูบารุ จึงตัดสินใจ อัพเดทภายในใหม่ยกเซท แม้ว่าใจความหลักของรถรุ่นนี้ ยังเป็นสปอร์ตคูเป้ แบบ 2+2 คือเน้นนั่ง 2 คน ในยามใช้งาน และถ้าจะพกเพื่อนไปด้วยในบางเวลาก็ย่อมได้

Subaru BRZ 2.4 6AT Eyesight 2022
หน้าจอมาตรวัดใหม่ของ Subaru BRZ 2022 ให้ความรู้สึกทันสมัยขึ้น และดูชัดเจนกว่าเดิม

การเปลี่ยนแปลงหลัก เห็นที่จะเป็นการใส่ เทคโนโลยีเข้ามาในรถจนสะดุดตา เริ่มจากทางฝั่งคนขับ หน้าตาเรือนไมล์ เปลี่ยนจากจอเข็ม มาเป็นชุดจอ LCD ขนาด 7 นิ้ว บอกค่าได้ชัดเจน จนแม้แต่คนแก่ ก็สบายตาในการมองค่าความเร็ว, รอบเครื่องฯ รวมถึงยังปรับฟังชั่นที่ต้องใช้ในระหว่างการขับขี่ได้ง่ายไม่ลำบากจนเกินไป

เช่นเดียวกัน ระบบเครื่องเสียงจากเดิม วิทยุ CD ที่แซวกันว่ารางกับยกมาจาก Toyota Vigo ก็ถูกปรับปรุงใหม่ เป็นระบบจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว และยังทำหน้าที่ในการควบคุมฟังชั่นต่างของระบบ EyeSight ในจอด้วย

ด้วยงานออกแบบดังล่าว ถ้าเทียบกับ รุ่นพี่อย่าง Subaru WRX ใหม่ และ Subaru Outback คุณจะรู้สึกว่า คล้ายกับมันตกขบวนเป็นลูกนอกคอก ประหลาดๆ แบบงงๆ ทั้งที่มันคือ ซูบารุ

ถึงจะพูดแบบนั้น การใช้งานจอ 8 นิ้ว ของ BRZ ก็จัดว่าใช้งานได้คล่องมือ เมนูตัวใหญ่ชัดอ่าน, ใช้งานลื่นมือ ไม่เป็นปัญหา โดยเฉพาะในยามขับไปกดไป เช่นเปลี่ยนช่องวิทยุ ทำได้ง่ายไม่ติดขัด จนแทบไม่ต้องละสายตาจากถนน

Subaru BRZ 2.4 6AT Eyesight 2022

พวงมาลัยปรับงานออกแบบใหม่ให้ดูทันสมัยกว่ารุ่นเดิม มันไม่เหมือน พวงมาลัยของ ซูบารุ รุ่นอื่นในตลาด อาจมาจากการมีเพื่อนคู่คิดโตโยต้ามาคอยตบบ่า เวลาประชุมงานออกแบบ นั่นทำให้ คุณจะเห็นอะไรแปลกๆ อย่าง Cruise Control ที่เป็นก้านติ่งห้อยออกมา ตามสไตล์รถโตโยต้า

ในรุ่นเกียร์ออโต้ มีแป้น Paddle Shift ให้เลือกใช้งาน ยามต้องการซิ่ง สามานถกดใช้งานได้ทันที ตามต้องการ

คอนโซลกลาง คันเกียร์ ออกแบบเป็น Step Gate ป้องกันการหลงเกียร์ได้ดี อันนี้เข้าใจว่า มาจากทางค่ายสามห่วงเช่นหัน ถัดลงมาเป็นปุ่มโหมดการขับขี่, ปุ่มปิดระบบควบคุมการทรงตัว และแถมท้ายด้วย ระบบเบาะอุ่นร้อน ให้ความสบาย บ่งบอกความเป็นรถที่มาจากประเทศญี่ปุ่นโดยตรง

ถ้าสังเกตให้ดี จะพบว่า BRZ โฉมนี้ มีการออกแบบ คอนโซลหน้าเตี้ยลง จากรุ่นเดิม ทำให้กระจกบังลมหน้าใหญ่ขึ้น ช่วยให้มองวิสัยทัศน์ข้างหน้าได้ถ้วนทั่วกว่ารุ่นเดิม

ด้านเบาะนั่ง มีการปรับปรุงใหม่ ลดความสูงเบาะลง 5 มม. และยังปรับโครงสร้างเบาะให้มีพื้นที่สัมผัสแผ่นหลังมากขึ้นกว่าเดิมถึง 44% เบาะยังคงเป็นทรงสปอร์ตที่มาพร้อมปีกขนาดใหญ่ โดยเฉพาะช่วงไหล่ จะบังคับให้ตัวไม่ไหลไปตามโค้ง

Subaru BRZ 2.4 6AT Eyesight 2022

ข่าวร้าย สำหรับใครที่รักความสบาย ซูบารุ ออกแบบรถรุ่นนี้เป็นเบาะปรับมือ เพื่อลดน้ำหนักกลไก และมอเตอร์ไฟฟ้า ทั้งยังง่าย ในการหาท่านั่งที่เหมาะสม

ส่วนด้านหลัง เบาะนั่ง สำรองสำหรับผู้โดยสาร ออกแบบไม่มีหัวหมอน ตามสไตล์รถสปอร์ต มันสามารถปรับพับได้ และยังสามารถติดตั้งเบาะนั่งเด็กได้ด้วย ผ่านระบบ Isofix แอบมีความเป็นรถครอบครัว สำหรับพ่อ-แม่ ที่ยังมีใจวัยรุ่น

จากที่ลองติดตั้งเบาะนั่งเด็ก Alibebe kurutto 4i พบว่า ด้วยข้อจำกัด ทางด้านพื้นที่ในการโดยสาร ทำให้ไม่สามารถติดตั้งเบาะแบบ หันหลังไปทางหน้ารถ ซึ่งเหมาะกับเด็กเล็กอายุไม่เกินขวบ ต้องหันหน้าเท่านั้น จึงจะมีพื้นที่พอสำหรับการใช้งาน เพราะไม่เช่นนั้น ผู้โดยสารตอนหน้าจะนั่งไม่ได้ แต่นั่นอาจเพราะ ผมกับเดือน เป็นคนใหญ่ไซส์หมี ผิด ธรรมชาติ คนไซส์ญี่ปุ่น

ส่วนแอดมินจอห์น ที่สูงราว 168 เซนติเมตร สามารถนั่งได้กำลังพอดีในส่วนช่วงขา ติดเรื่องระยะการเอนหลังเล็กน้อย แต่ไม่ได้ถึงกับทำให้ขับไกลๆไม่ได้เลยแต่อย่างใด

อันที่จริง ผมอยากชูมือเสนอ ซูบารุ น่าจะออกแบบ ให้มีที่ปักเบาะเด็กที่เบาะหน้า เผื่อบ้านไหน เป็นพ่อบ้าน แม่บ้านขาซิ่ง ต้องไปกับลูกสองคน เดี่ยวนี้ สังคมพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว มีเยอะขึ้นเหมือนกันนะ

การวิศวกรรม

เมื่อพูดถึงรถซิ่ง สิ่งที่หลายคนสนใจ ย่อม เป็นเรื่องานวิศวกรรมตัวรถ ด้วยการเก็บข้อมูลมายาวนาน และ ประสบการณ์จากการลงแข่ง Super GT หลายปีติดต่อกัน ซูบารุ จึงมีข้อมูลมากพอที่จะเก็บมาพัฒนาต่อยอดในรถรุ่นใหม่ โฉม 2

ซูบารุ เริ่มต้น จากการพัฒนาโครงสร้างตัวถัง ซึ่งจะว่าไป ทั้งหมดเป็นการปรับปรุงโครงสร้างจากรุ่นเดิม หรือ Big Revise อาทิ การเอาความรู้ของ Subaru Global Platform มาใช้ ในการสร้างวงแหวนโครงสร้าง หรือ Inner Frame Structure , การเพิ่มแข็งแกร่งในการดัดงอ ทางด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึงการใช้กาวยึดโครงสร้างตัวรถ แบบรถยุโรป, หันมาใช้เหล็กที่มี MPA สูงขึ้น แต่เท่าไรยังไง ไม่มีการเปิดเผยข้อมูล

นั่นทำให้โครงสร้าง ของ Subaru BRZ ใหม่ สามารถทนการดัดงอทางด้านหน้า +60% และ ทนต่อการบิดตัวด้านท้ายรถ +50% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิม

ด้านมิติตัวรถมีการปรับปรุง ให้รถมีความยืดกว่ารุ่นเดิม +25 มม. ยังคงความกว้างเท่าเดิม และปรับหลังคาให้เตี้ยลง -10 มม.​ รุ่นใหม่ จึงมีความยาว 4,265 มม.​ กว้าง 1,775 มม.​ และ สูง 1,310 มม.

ระยะฐานะล้อ ถูกเพิ่มความยาวขึ้น +5 มม.​ จบที่ 2,575 มม. ​และยังปรับปรุง ความกว้างระหว่างล้อ ซ้า-ขวา หรือ Track ทางด้านหลัง +10 มม. เพื่อให้ความมั่นคงในการขับขี่มากกว่ารุ่นเดิมด้วย

ใจความหลักสำคัญในการปรับปรุงรุ่นนี้ เนื้อแท้ของทั้งหมด น่าจะอยู่ที่เครื่องยนต์ ซึ่งดั้งเดิม ทางซูบารุ ถูกค่อนขอดว่า Subaru BRZ ไม่แรงเท่าที่มันควรจะเรียกว่า เป็นรถสปอร์ต คุณอาจจะโดนรถบ้านธรรมดาๆ ในยุคนี้ สวนเอาดื้อๆ ก็ได้

ที่จริงแล้ว สาวก มีการเรียกร้อง บอก ทั้งโตโยต้า และ ซูบารุว่า มันน่าจะถึงเวลาที่จะต้องติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบมาให้รถคันนี้ได้แล้ว แต่ท้ายสุด กลายเป็นว่า ทาง วิศวกร ยังคงเลือกจะเดินต่อในเครื่องยนต์ NA โดยใช้กระบวนการขยายขนาดเครื่องยนต์ หรือทาง ภาษวิศวกรรม เรียกว่า “Mega Tune”

จากเดิม เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร มาเป็น 2.4 ลิตร ฟังดูก็อาจจะเรียกว่า ผิวเผิน แค่อัพ ซีซี ขยายขนาด ผลที่ตามมาก็แน่นอน ว่ากำลังขับก็ต้องเพิ่มขึ้นด้วย เป็นเงาตามตัว

ในความจริง วิศวกรไม่ได้ทำแค่นั้น การขยายจากเครื่องยนต์เดิม 2.0 มาเป็น 2.4 แต่ยังได้เปลี่ยน วิธีการวิศวกรรมเครื่องยนต์ใหม่ จาก เครื่องยนต์สูบ Sqaure ที่มี ช่วงชักและกระบอกสูบสมมาตร มาเป็น ห้องสูบแบบ Over Sqaure ให้ลูกสูบขนาดใหญ่ และมีช่วงชักสั้น

ลูกสูบอัพขนาด เป็น 94 มม. แทน รุ่นเดิม 86 มม. ยังคงให้กำลังอัด 12.5 /1 เหมือนเดิม รวมถึงยังคงใช้ ระบบการจ่ายน้ำมัน D4S เช่นกัน แต่เมื่อเปรียบเทียบ ขุมพลังรุ่นก่อนหน้านี้ มันดีขึ้นกว่าในทุกด้าน

กำลังขับ เพิ่มจาก 200 PS ที่ 7,000 รอบต่อนาที มาเป็น 237 PS ที่ 7,000 รอบต่อนาที ( เมื่อใช้ น้ำมัน ออกเทน 98)

นอกจากการปรับคุณสมับติห้องสูบ เพื่อให้ลากรอบง่ายขึ้น ทางทีมวิศวกร ยังปรับบุคลิกแรงบิดใหม่ จากเดิม ที่พวกเล่นจับแรงบิดสูงสุดไปไว้รอบ 6,000 กว่า เพื่อให้ลูกค้าต้องลากรอบเอาแรงบิด จนช่วงต้นรถรุ่นเดิม ขับแล้วรู้สึกว่ามันเหี่ยวๆแห้งๆ กำลังวังชาไม่ค่อยจะมี เสี่ยงโดนรถบ้านธรรมดาๆ สวนเอาได้ง่ายๆ

ครั้งนี้ ทีมวิศวกร ก็เลยปรับจูนใหม่ เอาแรงบิดสูงสุดมาไว้รอบกลาง ทำให้ รอบต้นก็มีกำลังพอจะออกทะยานเป็นคันแรกเสมอ แม้ว่าจะเหยียบคันเร่งเพียงเล็กน้อย และในยามเล่นแรงๆก็มีกำลังขับมากพอ จะพารถพุ่งเร้าใจไปจนถึง ช่วงแรงม้าสูงสุด

แรงบิด 250 นิวตันเมตร ที่ 3,700 รอบต่อนาที อาจไม่ได้เยอะอย่างที่หลายคนคิด แต่ก็มากกว่าเดิม ราวๆ 45 นิวตันเมตร หรือ เพิ่มมากกว่า18% จากรุ่นก่อน

รุ่นที่เรานำมาทดสอบ ในครั้งนี้ เป็นรุ่นเกียร์ อัตโนมัติ เข้าใจว่า ยังคงเป็นชุดเกียร์ทนทานวางใจได้จาก Aisin รหัส A960E ที่มาพร้อมอัตราทด ดังนี้

อัตราทด
เกียร์ 13.538
เกียร์ 22.060
เกียร์ 31.414
เกียร์ 41.000
เกียร์50.713
เกียร์ 60.582
อัตราทดเฟืองท้าย 3.909

หากเปรียบกับรุ่นเดิมแล้ว จะพบว่า มันมีอัตราทด ระหว่างช่วงเกียร์เดียวกันทั้งหมด ไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนเดียวที่แตกต่าง คืออัตราทดเฟืองท้าย ที่เปลี่ยน 4.100 มาเป็น 3.909 ลดความจัดจ้านในช่วงต้น เนื่องจากเครื่องมีกำลังเยอะขึ้น เท่านั้น

สมดุล และวิชา ตัวเบา

แต่การสร้างรถประเภท Pure Sport Car ต้องคำนึงถึงเรื่องสมดุล และน้ำหนัก เป็นส่วนสำคัญ นาย อินนูเอะ บอกในวีดีโอ ชิ้นหนึ่งว่า มันเป็นเรื่องสำคัญ​และทำวิศวกร ต้องขบคิดอย่างมากในการพัฒนารถ ขณะที่ลูกค้า ต้องการสมรรถนะเพิ่มขึ้น

ทางทีม จึงเริ่มจากการลดระดับการติดตั้งเครื่องยนต์ลง จากรุ่นเดิม อีก -4 มม. ​สำหรับคนทั่วไป อาจจะบอกว่า เอ้ย แค่นิดเดียวเอง แต่ในแงวิศวกรรมจุดศูนย์ถ่วงต่ำลง ยิ่งทำให้รถเกาะถนนมากขึ้น และจะเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในยามเข้าโค้ง หรือยามเปลี่ยนเลนในความเร็วสูง

สมดุลตัวรถ อาจไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปคิด แต่กับมือฉมังนักขับตัวยง จะคิดถึง เพราะเจ้า BRZ ใหม่ ถูกพัฒนาออกมา โดยมีสมดุล 53/47 ระหว่างทางด้านหน้า และหลัง ทีมวิศวกร ยังจัดวาง ให้ตำแหน่งผู้โดยสารและผู้ขับ ใกล้ชิดกัน อีก -7 มม. ทำให้ ศูนย์ถ่วงมาอยู่ตรงกลางมากขึ้นตามไปด้วย

แต่ทำมาขนาดนี้ เครื่องใหญ่ขึ้น ตอบสนองในการขับขี่ดีขึ้น และอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงขนาดที่เพิ่มขึ้น เล็กน้อย ก็นำมาซึ่งน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ด้วยวิชาที่เรียนมาจากสนามแข่ง ทำให้ ทีมรู้ว่า ต้องพยายามแก้ปัญหาเรื่องน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ด้วย กระบวนการ “Weight Reduction”

ดังนั้น Subaru BRZ ใหม่ จึงเริ่มหันมาใช้วัสดุ น้ำหนักเบาหลายส่วน

เริ่มจากโครงสร้าง เหล็ก High Tensile ที่ช่วยลดน้ำหนักไปได้มากพอสมควร พร้อมกับใช้วัสดุอลูมิเนียม ในบางจุดที่คุณสามารถสัมผัสได้ อาทิ ฝากระโปรงหน้าและฝาท้าย ที่เปิดมาแล้วรู้สึกทันทีว่าเบาหวิว และยังทนทาน รวมถึงยังลดการเชื่อมยึดตัวถัง หันมาใช้กาวยึดตัวถังแทน ทำให้ลดน้ำหนักในตัวรถไปได้มากโข ตลอดจนการปรับปรุง เรื่องน้ำหนักผ่านงานออกแบบ

ผลจากการตรากตรำ ของทีมออกแบบ และวิศวกรรม ด้วยการใช้เทคนิคต่างๆ ทำให้แม้เครื่องยนต์จะใหญ่ขึ้น รถคันนี้ก็มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น เพียง 10 กก. เท่านั้น และด้วยกำลังขับที่เพิ่มขึ้น ทำให้อัตรากำลังต่อน้ำหนักดีขึ้นราวๆ 10% น้ำหนักตัวเปล่า อยู่ที่ 1,310 กก. เท่านั้น หรือ ถ้าเฉลี่ยแรง แรงม้า ต่อน้ำหนัก จะอยู่ที่ 5.52 กก. ต่อ 1 แรงม้า เท่านั้น

การทดลองขับ

นี่เป็นครั้งแรกที่ผม จะได้ลองขับ เจ้า Subaru BRZ ใหม่ หลังจากมีโอกาสลองรุ่นที่แล้ว และยังตราตรึงใจมาจนถึงวันนี้

รถแบบนี้ ปัจจุบัน หาตัวจับได้ยาก มันเป็นรถ ในประเภท Pure Sport Car ทำออกมาเน้นกลุ่มคนที่ต้องการ ชื่นชอบ และรักการขับรถอย่างแท้จริง ปัจจุบัน นอกจาก BRZ และ GR 86

เห็นที จะมีเพียง Mazda MX-5 เท่านั้น ที่เป็นรถในรูปแบบเดียวกัน แต่ MX-5 หลายคนมองข้ามด้วยว่า ขนาดตัวเล็กกว่า และบางคนตะขิดตะขวงใจ กับ การดูแลรถโรดสเตอร์ หลังคาไฟฟ้า

โคจรมาพบรุ่นใหม่ เรื่องหน้าค่าตา ก็ต้องบอกตามตรงว่า มันแล้วแต่คนชอบ ส่วนตัว ผมว่านี่คือเส้นสายที่ค่อนข้างสะอาด สวยสะดุดตา เตะตา กรรมการ แม้ว่า เมื่อเข้าเว็บฝรั่ง จะพูดไปในทางเดียวกันว่า ไฟหน้า ประดุจยกมาจาก Corvette ไฟท้าย เหมือนกับจับเอามาจาก Civic

ในบ้านเราบางคนเคยคุยกับผม ตีตกไปกว่านั้น บอกว่าไฟท้ายเหมือน Vios เจน 3 ด้วยซ้ำ อาจทำเอาเจ้าของมีหายใจลึกถ้าได้ฟัง คำพูดเหล่านี้ …

ถึงจะพูดแบบนั้น เจ้า Subaru BRZ กลับได้ท๊อป A วิชาแรงลม หลักอากาศพลศาสตร์ตั้งแต่หน้าจรดท้าย เป็นรถที่ทำเรื่อง Aerodynamic ถึงกึ๋นแบบเนียนๆ มากที่สุดรุ่นหนึ่ง ตั้งแต่ผมจับรถทดสอบมาในตลอด 10 ปีผ่านมา คุณจะเห็น เช่น ช่องดักอากาศไปเป่าลมปั้มเบรก, คลีบ ลดลมหมุนวนขณะขับรถ , สปอร์ตเลอร์ตูดเป็ดในตัว

และทั้งหมด อัดแน่นในรถสปอร์ตราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เทียบกับรถรุ่นก่อน หรือ กระทั่งที่หลายคนคุ้นเคยอย่าง Nissan 200SX นั้น เจ้านี่ กลับมีลูกเล่นอย่างนี้มาก จนคุณจะแปลกใจ ว่าเรือนร่างไม่เพียงสวยเท่านั้น มันยังมาพร้อมประสิทธิภาพในการขับขี่ตามฉบับ รถสปอร์ตควรเป็น

เบ่งพลัง 400 ซีซี ขับดีกว่าเดิม

ประเด็นสำคัญในการพัฒนาปรับปรุง Subaru BRZ Gen 2 ก็ดูจะเป็นเรื่องของการพัฒนาตัวรถให้มีกำลังขับมากขึ้น หลังจากรุ่นเดิม ถูกสบประมาทว่า เป็นรถสปอร์ต ที่คุณอาจจะโดนรถบ้านๆ แต่งแรง กดบี้ตูดแล้วพ่ายแพ้ ยามซิ่งหลังถนนก็ได้

ประเด็นหลัก คือ เครื่องยนต์รุ่นเดิม 2.0 ลิตร ดัน เซทกำลังเครื่องเพื่อให้ลูกค้าต้องเร่งรอบลึก เพื่อเอาแรงบิดสูงสุด ที่อยู่ สูงถึง 6,400-6,600 รอบต่อนาที ก่อนจะไปชนแรงม้า ที่ 200 ตัว ที่ 7,000 รอบต่อนาที

การเดินรอบลึกบ่อยๆ ทำให้บางครั้ง มันโดนรถบ้านๆ สวน เนื่องจาก กว่าจะไปถึงรอบลึก บางทีเจอคู่แข่งเทียบข้าง แล้วแซงไปเนียนๆ ยิ่ง รถบ้านสมัยนี้บางรุ่น ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบบล็อกเล็ก จูนอัพอีกหน่อยได้แรงม้ามากพอกัน แต่แรงบิดมากกว่า

ผมยังจำที่พี่แพน เขียนในรีวิว Headlight ได้ว่าแก เจอตาลุง ขับ Toyota Camry 2.4 เดิมๆ มาสวนเอา แล้วกดจากลาไปอย่างไม่ใยดี เข้าใจในความรู้สึกว่า การขับรถสปอร์ต ถ้ามันเจอแบบนั้นจะรู้สึกอย่างไร

ทีแรก ตอนตกเป็นข่าวลือ มีการพูดกันหน้าหูว่า รุ่นนี้ จะออกมาเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบ พอออกมาขายจริง เป็นเครื่องยนต์ N/A ขยายขนาด ทำเอาหลายคนเซ็งไปตามๆ กัน

เครื่องยนต์ตัวนี้ ในเนื้อแท้จริง มันคือ เครื่องยนต์ Subaru WRX ที่ถูก ตอนเทอร์โบ แล้วใส่ระบบจ่าย น้ำมัน Toyota D4S เข้ามาแทน ให้ความสามารถเล่นแรงมากขึ้น ขาดก็เพียงความรู้สึกดึงดันหลังติดเบาะที่ทุกคนใฝ่หา

ถ้าย่ำคันเต็มบาทาออกตัวจากไฟแดง ช่วงแรก รถจะออกตัวไม่ห้าวหาญเท่าไรนัก เป็นการออกตัวตามคุณสมบัติเครื่องใหญ่ออกตัวเร็ว นุ่มนวล สุขุม แต่วิ่งนะ

พอรอบผ่านช่วง 3,000 รอบต่อนาที ต่อไปยัง ช่วงแรงบิดสูงสุด กำลังวังชาเริ่มมา และต่อเนื่อง เมื่อพ้นแรงบิดสูงสุด จะมาแบบเขื่อนแตก รู้สึกถึงกำลังยาวๆ ไปถึงช่วงกำลังสูงสุดเครื่องยนต์ กลายเป็นรถที่คุณสนุกทุกครั้งที่คุณเร่งรอบ มากกว่า 4,000 รอบขึ้นไป ได้ความฟิน จนยิ้มมุมปาก ในขณะที่เท้าแตะคันเร่ง

เปรียบเทียบกับรุ่นเดิม คุณจะรู้สึกกำลังมากกว่า มาจากช่วงแรงบิดสูงสุดที่เปลี่ยนมาให้อยู่ต่ำกว่าเดิม ทำให้ยามขับทั่วไป เมื่อต้องการกำลังเร่งแซง เพียงบดคันเร่งนิดหน่อย รถก็จะพาพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว ช่วยลดการต้องเดินรอบลึกโดยไม่จำเป็นไปได้พอสมควร ในทางเดียวกัน มันช่วยคุณประหยัดน้ำมันตามไปด้วย

เมื่อไรก็ตามถ้าอยากมันส์ ก็เร่งรอบไปมากกว่า 4,000 รอบ บุคลิกของรถ ก็จะดูเป็นคนละคัน มันดุร้ายพร้อมพุ่งทะยานทุกครั้งเหยียบคันเร่ง อันเป็นผล จากการเปลี่ยนมาฉีด ตรงของระบบจ่ายน้ำมัน D4S ที่ใช้ปั้มแรงดันสูง แล้วเปลี่ยนจากการจ่าายน้ำมันแบบผสมก่อนเข้าห้องเผาไหม้ หรือ Port Injection มาเป็น Direct Injection ช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ และตอบสนองในการขับขี่ดีขึ้นตามไปด้วย

อันที่จริง ตามคำแนะนำของ ซูบารุ รถคันนี้ต้องใช้น้ำมัน Ron 98 หรือ Premium Fuel ในญี่ปุ่น แต่เนื่องจากบ้านเรา ยังมีเพียงค่ายบางจากเท่านั้น การทดสอบทั้งหมดของเรา จึงใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และ จากการวัดผล อัตราเร่ง ด้วย V Box Racelogic รุ่นใหม่ล่าสุด โดยมีผู้โดยสาร 1 คน และคนขับ น้ำหนักรวม 200 กก.

ขับทดสอบในโหมด D เราพบว่า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.​ เฉลี่ย อยู่ที่ 8.01 วินาที และ อัตราเร่ง 80-120 กม./ชม.​ อยู่ที่ 4.68 วินาที เท่านั้น

ใช่ครับ นี่ไม่ใช่รถสปอร์ตที่แรงมาก เนื่องจาก มันเป็นเครื่องยนต์ N/A 2.4 ลิตร ที่ออกตัวแบบสุภาพ แล้วซิ่งซ่าในรอบกลางไปถึงรอบสูงแถมกำลังขับสูงสุด ก็เพียง 237 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่ไม่ได้ มากไปกว่ารถอีโค่คาร์ เครื่องดีเซล 1.5 ลิตร หรือ รถยนต์ไฟฟ้าราคา 9 แสนกว่าบาท

อย่าแปลกใจ ถ้าจะค้นพบว่า คุณเจอรถบ้านแต่งซิ่ง วิ่งตามดมตูด อย่างใกล้ชิดบนถนน และไม่อาจจะสลัดหลุดได้ง่ายๆ ยิ่งคันไหน ทำเครื่อง Remap มาพร้อม อาจจะหืดขึ้นคอ ถ้าจะซิ่งหนี แต่คุณมีดีตรง รอบเร่งที่มีให้ใช้ ถึง 7,000 รอบต่อนาที สามารถลากยาวๆ ชิงจังหวะได้ ต้องใช้จุดนี้ให้เป็นประโยชน์ ยามซิ่งบนถนน (แต่ไม่ได้แนะนำให้ซิ่งบนถนนกันนะครับ)

อย่างไรก็ดี เพื่อเพิ่มความสนุกสนาน ตัวรถมาพร้อมกับโหมดการขับขี่ สำคัญ 3 โหมดด้วยกัน คือ โหมดปกติ สำหรับการใช้งานทั่วไป ขับชิลๆ ตามใจ ตามอารมณ์, ถ้าอยากซิ่งขึ้นมา โหมด สปอร์ต ถูกออกแบบมาให้ ปรับชุดเกียร์ ให้ตอบสนองในการขับขี่มากขึ้น สามารถค้างตำแหน่งเกียร์ เพื่อลากรอบ หรือ พาผ่านเข้าโค้งอย่างสนุกสนาน

โหมดสุดท้าย Snow หรือโหมดหิมะ ซึ่งในบ้านเราคงไม่มีเกล็ดน้ำแข็งสีขาวแบบนั้นลอยจากฟ้าลงมาแล้วกองบนถนนแบบนั้นอยู่แล้ว แต่คุณสามารถใช้โหมดนี้ในตอนที่ฝนตกหนักๆ จนถนนลื่นได้ จุดสำคัญ​คือออกตัวในเกียร์ 2 ได้ตามต้องการ

ทั้ง 3 โหมด ทำงานได้ทั้งในเกียร์ D ที่พร้อมจะให้คุณควบคุมเองผ่าน Paddle Shift ในระหว่างการขับขี่ หรือถ้าอยากจะขับเองให้เหมือนเกียร์ธรรมดา อาจจะต้องผ่านกับโหมด M คุณจะได้ความรู้สึกใกล้เคียงกับรถเกียร์ธรรมดามากขึ้น แต่ฉับไวกว่าเวลาลากเกียร์

ข่าวร้ายคือเกียร์ มันฉลาดพอที่จะไม่ให้คุณตบลงอย่างเร็ว จนเกียร์อาจเสียหาย หรือรอบเครื่องยนต์พุ่งสูงเกินไป ทำทำให้บางครั้ง คุณจะพบว่า รถขัดใจ ทั้งที่ในจังหวะเดียวกัน ถ้าขับเกียร์ธรรมดา ไปตามใจมากกว่า

ชุดเกียร์ออโต้ ขับธรรมดา ทั่วไป ชุดเกียร์จะเน้นเปลี่ยนเร็ว เอาความประหยัดเข้าว่า เมื่อเล่นแรง ถ้าเราแตะสัก 20-30% ของคันเร่ง จะเปลี่ยนอัตราทด 1 ตำแหน่ง และ มากกว่า 50% จะเปลี่ยนอัตราทดลง 2 ตำแหน่ง เพื่อใช้ อัตราทด 1.00 ที่เกียร์ 4

แต่ ถ้าอยากจะให้มันลากรอบสนุกๆ แนะนำ กดโหมดสปอร์ต ระบบจะปรับโปรแกรมเกียร์ให้ตอบสนองในการขับขี่ดีขึ้น ลากรอบมากขึ้น รู้จักการใช้ Engine Brake เวลา ลดความเร็วอย่างหนัก ช่วยเพิ่มความสนุกสนานได้อรรถรส ในการขับขี่มากขึ้น

ส่วน Paddle Shift มีความเป็น Subaru ด้วยการวางระบบเป็นแบบ Direct Shift สามารถ กดใช้งานโหมดใดก็ได้

กำลังไม่มาก แต่ท่ายากพี่เยอะ

การเพิ่มพลังขับขี่ เบ่งจากเครื่องยนต์ 2.0 สู่ 2.4 ลิตร เป็นความพยายามในการลดข้อด้อยจากรุ่นเดิม ที่ลูกค้าและผู้ใช้บ่นว่าต้องเร่งรอบเดินลึก ถึงจะขับมันส์

แต่ส่วนที่ Subaru BRZ ทำได้ดีมาโดยตลอด นับตั้งแต่รุ่นแรก คือการสร้างสมดุลตัวรถ และ ระบบช่วงล่างที่มั่นใจ ทั้งยังนุ่มนวลดีพอที่จะขับออกจากบ้านทุกวัน

ในรุ่นนี้ ทางซูบาุร จัดการปรับปรุงระบบกันสะเทือน โดยเพิ่มความแข็งแรงของซับเฟรมหลัง และ กันโครงหลัง ปรับปรุงบูช หรือลูกยางช่วงล่าง เช่นเดียวกับโช้กและสปริง มีรายงานจากบรรดานักรีวิวต่างประเทศว่า พวกเขา ค้นพบว่าทางซูบารุ พยายามอย่างยิ่งในการลดน้ำหนักใต้สปริง หรือ Unsprung Weight เพื่อทำให้รถตอบสนองในเรื่องกันสะเทือนดีขึ้น อาทิ คอม้า ที่ออกแบบมาเฉพาะของทางซูบารุเอง ต่างจากทาง GR 86 ของ โตโยต้า

Subaru BRZ 2.4 6AT Eyesight 2022

นอกจากนี้ ชุดล้อที่ปรับมาเป็นขอบ 18 นิ้ว ยังมาพร้อมยาง Michealin Pilot sport 4 ให้ยางขนาด 215/40/ R18 ลดขนาดแก้มให้เตี้ยลงกว่าเดิมอีกเล็กน้อย เพื่อตอบสนองได้ดีขึ้นเวลาเข้าโค้งลดการโคลงตัว ในทางทฤษฏี

พอขับจริงบนถนน เมืองกรุงเทพมหานคร เทียบกับรุ่นเดิม รุ่นนี้จะติดสปอร์ตแข็งขึ้นมาพอสมควร มันออกอาการสะท้านในหลายจังหวะ อาทิ เวลาเจอทางก่อนสร้าง หลุมเล็กๆ จะรู้สึกตึงตังมากกว่าเดิม หรือแม้แต่ในการข้ามลูกระนาดในหมู่บ้านก็ตามที จุดสำคัญก็มาจากยางแก้มเตี้ย แถมยังเลือกใช้ยางสปอร์ตเข้ามาตอบสมรรถนะในการขับขี่อีกต่างหาก อีกทั้งตัวรถ และจุดยึดหลายแห่ง ยังออกแบบมาให้มีความแข็งแรงมากขึ้น ทำให้ในภาพรวมรถดูเฟิร์มขึ้น แข็งขึ้น แต่… ยังมีความสบายในการขับขี่อยู่ในระดับหนึ่ง ถ้าเทียบกับรถสปอร์ตรุ่นอื่น แต่ไม่นุ่มเป็นคัมรี่ แน่นอน

เรื่องนี้กลับตาลปัตร เมื่อเราเริ่มซิ่งวิ่งใช้ความเร็ว ผมฮ้อ ไปตามมอเตอร์เวย์ การเก็บรอยต่อถนน เวลาขับด้วยความเร็วกับดีจนเหลือเชื่อ โช้กซับแรงเก็บอาการนั่งสบาย จนคุณอาจแปลกใจที่ ผู้โดยสารสามารถนั่งหลับได้ ในขณะที่คุณใช้ความเร็ว 120-130 ทั้งที่นี่คือรถสปอร์ต

เมื่อเริ่มมุดตามการจราจร เทียบกับรุ่นเดิม การโคลงตัวลดลง ความรู้สึกในการควบคุมหลังพวงมาลัยมั่นใจมากขึ้น

การกระชากพวงมาลัย เปลี่ยนเลน ในความเร็ว 130-140 หรือ แม้แต่ความเร็วสูงกว่านั้น ให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างมั่นใจ ผิดกับตัวเดิม ที่อาจจะมีจังหวะยวบอยู่นิดๆ จนถ้าวัดกันที่ฝีมือคนขับ เวลาเจอเพื่อนมาซิ่งซ่าด้วยกัน อาจะพบว่า BRZ ยากที่จะเคี้ยว ถ้าเจอคนขับฝีมือดี มุดเก่ง ท่ามกลางการจราจรที่หนาแน่น

ในทางโค้ง Subaru BRZ 2022 ให้ความรู้สึกมั่นใจกว่ามากจนเห็นได้ชัด จนเราสามารถเปลี่ยนวิธีการขับ จากการจัดท่าปรับสมดุลก่อนเข้าโค้ง ในรุ่นเดิม มาเป็นสามารถบินเข้าโค้งในบางจังหวะได้อย่างสบายๆ

ผมลองขับเรื่องโค้งในสนาม Thailand Circuit นครชัยศรี อยู่หลายรอบ ค้นพบว่า คุณสามารถใช้ความเร็วในจังหวะโค้งต่อโค้ง ได้เร็วกว่าเดิม

ระหว่างขับในสนาม ผมรู้สึกได้ทันทีว่า เหมือน ซูบารุ พยายามอย่างยิ่งในการเพิ่มความผ่อนคลายในการควบคุมรถในสนาม ให้การวิ่งโค้งต่อเนื่องง่ายขึ้น ลดโอกาสจะเกิดการท้ายไหล หรือ Oversteer ในระหว่างการขับขี่ ซึ่งเรื่องนี้ จะยิ่งชัดขึ้น เมื่อปิดระบบควบคุมการทรงตัว

เพราะ แม้จะไร้ตัวช่วยใดๆก็ตาม รถคันนี้ก็ยังขับอย่างมาดมั่น สาดโค้งได้อย่างมั่นใจ มันจะนิ่งและสนุกขึ้น ถ้าคุณรู้จักการใช้พวงมาลัยอย่างนิ่มนวล และถ่ายน้ำหนัก ในระหว่างการเข้าโค้ง และด้วยยางคุณภาพดี มาเป็นส่วนประกอบ ทำให้คุรรู้สึกได้เลยว่า ยิ่งขับยิ่งเร็ว

เรื่องนี้กลายเป็นข่าวร้ายสำหรับคนที่ชอบการออกลีลา ขับให้ท้ายมันออก โดยเฉพาะ สายดริฟ สายถนน ที่อยากจะกวาดท้ายให้มันออก

ต้องยอมรับว่า เป็นไปค่อนข้างยากกว่ารุ่นเดิม ด้วยช่วงล่างที่กระชับ หน้าสัมผัสยางกว้างขึ้น ทำให้ โอกาส จะสไลดฺ์ออก ค่อนข้างยาก ถึงเราจะพูดว่า กำลังเครื่องแรงกว่าเดิม ก็ตาม แม้จะหักพวงมาลัย แล้วเข้าโค้งเร็วๆ อาการท้ายไหล ก็ค่อนข้างน้อยมาก จนบางครั้งกลายเป็น หน้าดื้อ หรือ Under Steer แทน

ความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่า รุ่นเดิม มีเสน่ห์กว่า ในเรื่องการออกลีลา ให้คนรู้ว่านี่รถเรา เป็นรถซิ่งพร้อมซ่า ว่า BRZ รุ่นนี้ อาจจะขับมันส์ เข้าโค้งสนุก มั่นใจ แม่นโค้งแบบจับวาง

กลับกัน อาการดิ้นท้ายออกของรถหายไปเยอะ พอควรในรถรุ่นนี้ ทำให้หลายคนอาจรู้สึกถึงความสนุกน้อยลง ไม่รู้ว่าเกี่ยวไหม อาจจะเพราะว่าคันนี้เป็นรถเกียร์ออโต้ด้วย จังหวะเกียร์ที่พยายามปรับตามการขับของเรา ซึ่งจะชัดขึ้นในโหมดสปอร์ต อาจจะเลยทำให้เราท้ายออกยาก

ส่วนตัวค่อนข้างมั่นใจว่าเกียร์ธรรมดา รถจะออกง่ายกว่านี้ เนื่องจากน้ำหนักเบากว่าเกือบ 100 กก. และ การควบคุมสั่งการโดยเรา ทำให้รถอยู่ในอาณัติการควบคุมมากขึ้นกว่า ที่เราขับขี่ก็เป็นไปได้

ถึงจะพูดแบบนั้น เจ้านี่ ก็ยังให้ความสนุกมากพอ ที่คุณจะมีรอยยยิ้มกับคนนั่งข้างๆคุณทุกครั้งที่ขับมันไปบนถนน หรือในสนามแข่ง

แต่รถคันนี้ ยังไม่หมดลูกเล่นเพียงเท่านี้ มันยังสามารถปรับระบบควบคุมการทรงตัว โดยเลือกได้ 2 โหมด คือ เปิด (ตั้งไว้เป็นค่าปกติ) และปิดทั้งหมด โดยกดค้างไว้เพียง 3 วินาที ระบบจะปล่อยให้คุณขับตามยถากรรมตามที่คุณต้องการ

นอกจากนี้ สำหรับคนที่ยังใหม่ ชีวิตนี้ยังไม่เคยผ่านรถที่ไม่มีระบบตัวช่วยยังมีโหมด Track อันจะเป็นการก้ำกึ่ง ระหว่าง โหมดปกติ กับ ปิด มันจะปล่อยให้คุณเลื้อย มีอาการท้ายไหลมากกว่า และเข้ามาช่วยเมื่ออยู่ในจังหวะคับขันจริงๆ เหมาะสำหรับ สายซิ่งมือใหม่ ที่อยากจะลองของ ตรงนี้ผมว่าดีมากๆ เลยทีเดียวเชียวล่ะครับ

อย่างไรก็ดี , Subaru BRZ ใหม่ ยังเติมความดีงามทางด้านระบบบังคับเลี้ยวเข้ามา แม้ว่า มันจะใช้ระบบ แร็คแอนด์พิเนียน อยู่เหมือนเดิม แต่เหมือนจำไม่ผิด อัตราทดพวงมาลัย เปลี่ยนจากเดิม 13.0:1 มาเป็น 13.5:1 ช่วยลด จังหวะพวงมาลัย ลงนิดหน่อย จะเห็นชัดมากในโค้งแคบ Hairpin หรือการต้องให้จังหวะ พวงมาลัยอย่างต่อเนื่อง รถรุ่นใหม่ทำได้ดีกว่าอย่างชัดเจน

เรื่องการห้ามล้อ ตามข้อมูล ทางซูบารุปรับแรงเสียดทานผ้าเบรก ให้ตอบสนองดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม แถมด้วยการออกแบบมีช่องดักอากาศเป่าลมเบรก ทำให้การใช้งานมันดีขึ้น โดยเฉพาะ ถ้าคุณต้องซิ่งต่อเนื่อง ผมยังไม่เจอ ประเด็นเบรกเฟด แม้จะขับรถเกียร์ออโต้เร็วๆ เบรกบ่อยๆ สักครั้ง

ประสิทธิภาพเบรก Subaru BRZ ก็ไม่เป็นสองรองใคร จากที่ลองจับ 100-0 ก.ม./ช.ม. มันให้ระยะทางเพียง 40.60 เมตร เท่านั้น ส่วนหนึ่งมาจากตัวรถที่เบา และ อีกด้านคือชุดยางที่เกาะถนนแน่น และมีหน้ากว้างหน้าสัมผัสกว่ารุ่นเดิม

กระนั้น สิ่งที่หลายคน คงใครสงสัย เกี่ยวกับรถคันนี้ วายจะไม่พ้นอัตราประหยัดน้ำมัน แม้ว่ามันจะเกิดมาเป็นรถสปอร์ต ที่หลายคนอาจไม่แคร์ว่าจะต้องเสียค่าน้ำมันเท่าไร เพื่อความสนุก เจ้านี่ก็ยังมอบเรื่องน่าอัศจรรย์ใจ ด้วย อัตราประหยัด ใช้ในเมืองขับทั่วไป เจอรถติดบ้างตามภาษาเมืองกรุง แต่ไม่ถึงกับแช่ได้ 10.58 ก.ม./ลิตร และขับทางไกล เดินทางยาวใช้ความเร็ว ถึงเร็วมาก ตามแต่อารมณ์ เหยียบเร่งบ้างให้เลือดมันสูบฉีด ไม่ให้ม้าตายหลับคาพวงมาลัย อยู่ที่ 12.64 ก.ม./ลิตร

ถ้าเปรียบเทียบกับเครืองยนต์ 2.0 ลิตร กินไม่ต่างกัน สำคัญคือคุณได้รถขับสนุกกว่า พละกำลังมากกว่า มาเป็นเพื่อนคู่ใจ

ที่จริง ว่ากันตามตรงจุดเด่น BRZ ในยามขับถนน คือการเป็นรถที่เชื่องคุมง่าย ถูกใจสายมุด หรือสายสนามสนาม หรือ ขึ้นเขา เล่นโค้ง แต่เมื่อคุณเจอรถที่มีพลังห้าวหาญกว่า ไม่ว่าจะรถบ้าน หรือสปอร์ตด้วยกัน มันจะบั่นทอนจิตใจว่า นี่ฉันขับรถสปอร์ต อยู่จริงๆ หรือ

เติมความปลอดภัย มอบความมั่นใจอีกขั้น

แม้ว่าจุดเด่น ของ Subaru BRZ ตั้งแต่เดิม จนถึงปัจจุบัน จะอยู่ที่สมรรนถะการขับขี่ล้วนๆ เป็นหัวใจสำคัญ​หากในรุ่นนี้ ทางซูบารุ ก็อยากจะให้อะไรที่เหนือชั้นกว่าคู่แข่งสักหน่อย

ถ้าคุณซื้อรถรุ่นเกียร์ออโต้ แบบที่เรานำมาขับทดสอบ รถคันนี้จะติดปลายนวมมาด้วยระบบความปลอดภัย Subaru Eyesight …

หลายคนอาจจะคิดเหมือนผมก็ได้ว่า มันจำเป็นจริงๆรึ ที่ รถสปอร์ตจะต้องมีระบบความปลอดภัยขั้นสูง…. ?

ถ้าถามผม คงตอบว่า “ไม่ละขอบคุณ เก็บไว้เถอะ ซูบารุ”

แต่เราจะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล ท่ามกลางความคิดของทุกคนไม่ได้ คนที่ต้องการอาจจะมี

คนกลุ่มนี้ คือคนที่มองหารถสปอร์ตใช้ในชีวิตประจำวัน ขับสบาย ขับสนุก บู้ได้เมื่อประชุมสายหรือกิ๊กตาม คนกลุ่มนี้มีอยู่จริง ระบบ Eyesight จึงผุดเขามาด้วยฟังชั่นต่างๆ ที่มายาวเป็นหางว่าวได้แก่

  • ระบบเตือนและป้องกันการชนทางด้านหน้า
  • ระบบAdaptive Cruise Control สามารถใช้งานในความเร็วต่ำได้ เหมาะสำหรับขับท่ามกลางรถติด
  • ระบบเตือนการหลุดเลน
  • ระบบ เตือนรถขับมาทางด้านหลัง โดยจะประกอบด้วย ระบบเตือนมุมอับสายตา ขณะขับขี่ไปข้างหน้า ,​ระบบเตือนมุมอับสายตาขณะถอยหลัง โดย คุณสามารถเลือกใช้ระบบ Rear Auto Brake หรือ RAB ได้ และท้ายสุดยังมีระบบ LCA หรือ Lane Change Assited ให้มาด้วย

และยังมีระบบไฟสูงอัตโนมัติ พร้อมกับ ระบบไฟหน้าดุ๊กดิ๊กให้มาด้วยในรถคันนี้

จนกลายเป็นรถสปอร์ตที่มีความครบครัน เรื่องระบบความปลอดภัยขั้นสูง ติดในเบอร์ต้นๆ แถวหน้าของรถ สปอร์ต

ในการใช้งานจริง เรื่องฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆ ก็เหมือนกับรถรุ่นอื่นๆ ของซูบารุ ให้ความมั่นใจในการขับขี่พอสมควร

สิ่งเดียวที่ผมเซ็งเกี่ยวกับระบบความปลอดภัย คือ ในยามคุณจะซิ่ง และเผลอ ไม่ได้ปิดระบบก่อน คุณจะไม่มีโอกาสปิดพวกมัน

ที่จริง ซูบารุ ควรจะทำปุ่มแบบรถยุโรป ที่มีปุ่ม All Off ให้ลูกค้าสามารถกดปิดฟังชั่นต่างๆได้ในปุ่มเดียว แทนการเข้าเมนู ที่ต้องจดๆจ้องๆ ในหน้าจอ 8 นิ้ว หลายวินาที จนส่วนใหญ่ ต้อง “เออ…ช่างมัน”

ตลอดหลายวันที่ขับ ผมใช้วิธีลัด คือ ปิดระบบต่างๆ ที่น่ารำคาญไว้ตั้งแต่เริ่ม จนเอาตรงๆ ส่วนตัวผมไม่แคร์ว่า รถที่จะไว้ขับห้าว ต้องมีระบบความปลอดภัยหรือไม่ ไม่มีก็ได้ มีก็ดี นั่นคือความรู้สึกส่วนตัว

สรุป Subaru BRZ 2022 เปลี่ยนให้เฉียบคม เติบโตขึ้นในแบบมอเตอร์สปอร์ต

ย้อนไปตอนปี 2015 ที่ผม จับ Subaru BRZ ครั้งแรก และในปี 2019 ผมมีโอกาสสัมผัส รถรุ่นนี้อีกครั้งในเวอร์ชั่นปรับปรุง นี่คือรถสปอร์ต ที่ต้องพูดว่า หาตัวจับได้ยากยิ่ง การกลับมารุ่นที่ 2 ทางซูบารุ ดูจะมุ่งเน้น การสร้างรถที่ดีกว่าเดิมในทุกด้าน

เป็นการปรับปรุงจุดด้อยแล้วเสริมจุดเด่นเข้าไป ให้ดีขึ้นกว่าเดิม ภายใต้วิชาความรู้ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากสนาม Super GT มาสู่รถบ้านบนถนน มันอาจจะใช้ชื่อเดียวกัน แต่ถ้าขับตัวแรก แล้วมาขับตัวใหม่ ผมบอกได้เต็มปากเต็มคำว่า แตกต่าง

ความรู้สึกรถคันนี้มีความเป็นมอเตอร์สปอร์ตมากขึ้นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะอารมณ์ช่วงล่างที่เน้นการเกาะถนนเป็นตุ๊กแก ไม่ว่าจะทางโค้ง หรือในทางตรง ยิ่งเร็วยิ่งดูดถนน ไปจนถึง อารมณ์เครื่องยนต์ที่มีแรงบิดมากขึ้นรอบมาไวขึ้น พุ่งทะยานดีขึ้น

ในแง่การออกแบบ ตัวรถที่มีหลักการอากาศพลศาสตร์ทั้งคัน ตั้งแต่หัวจรดท้าย มันไม่ใช่รถที่คุณจะเห็นได้บ่อยในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้า กำลังเริ่มก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญ

การพัฒนาทั้งหมด ก็เพื่อให้มันเป็น “Pure Sport” รถที่มุ่งเน้ความพึงพอใจให้คนขับได้ใช้ทักษะการขับขี่ มากกว่าการพึ่งเทคโนโลยีต่างๆ แล้วปราบดาตัวเองว่าเจ๋งในเรื่องการซิ่งรถ มันไม่มีระบบควบคุมการทรงตัวเทพ, หรือเครื่องยนต์เทอร์โบ, เกียร์ก็หาใช่คลัทช์คู่ที่พร้อมเริ่งเติมเต็มยามพุ่งทะยาน หรือช่วงล่างชั้นครู มอบความมั่นใจ เกาะถนน

BRZ เป็นรถที่ปฏิเสธความล้ำหน้า ด้วยการไปพึ่งพาเทคโนโลยีเหล่านั้น เอาเพียงความจริงมาพูดกัน สิ่งสำคัญที่สุดของการขับรถ คือทักษะการขับขี่ ของคนขับ และรถที่ดีมีความสมดุลทุกด้าน ทั้งเครื่องยนต์ ช่วงล่าง

ผมต้องยอมรับว่า Subaru พัฒนารถรุ่นนี้มาเยอะมาก พวกเขาเพิ่มพละกำลังเครื่องยนต์แล้ว ติดเพียงมันยังไม่ใช่เครื่องเทอร์โบ พี่แพน Day Dream Drive เคยพูดในรีวิว นานมาแล้วว่ามันน่าจะเป็นเครื่องยนต์ 6 สูบ 3.0 ลิตร แบบ ใน Legacy

แต่ด้วยเนื้อแท้ซูบารุ ที่เป็นค่ายรถยนต์ที่ทำอะไร คำว่า สมดุล มาก่อนเสมอ การหันมาใช้เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ก็ให้กำลังขับ ไม่น้อยหรือมากไป แต่ส่วนตัวผมว่า สัก 250 ม้ากำลังดี 237 มันยังหมิ่นเหม่ไป กับคำถามว่ารถคันนี้แรงหรือไม่ ?

ผมเข้าใจว่าที่ทางซูบารุเซทไว้เท่านี้ เพื่อไม่ให้กำลังขับของมันไปขี่กับ Subaru WRX มากจนเกินไปนัก ทำให้มันมีช่องว่าง รวมถึงรถยังอยู่ในอาณัติการควบคุมง่ายไม่ห้าวเป้งจนกลายเป็นม้าพยศ เท่านั้นเพียงพอแล้ว แต่ด้วยรถยุคนี้มันแรงขึ้นเร็วขึ้น บางคนอาจจะมองในมุมที่ต่างออกไป

เอาตามจริง Subaru BRZ เป็นรถในรูปแบบที่หาตัวจับได้ยากในยุคนี้ รถที่อัดแน่น ด้วยการวิศวกรรมที่ดี ที่พร้อมผสานมือกับผู้ที่อยู่หลังพวงมาลัย ให้ความสนุกสนานได้ทุกวันบ่อยครั้งตามต้องการ

มันเป็นรถที่เปิดโอกาสให้คุณเรียนรู้ทั้งทักษะการขับขี่ การปรับแต่งรถ ในรูปแบบที่เราต้องการและชื่นชอบ มีของแต่งมากมายจากหลายสำนัก พร้อมประเคนให้ได้เสียตังค์ กันเสมอ แล้วใช้เวลาในวันว่างไปกับรถคันนี้ไม่ว่าจะขับเที่ยวหรือไปประกาศศักดาในสนามแข่ง ก็ทำได้

เจ้านี่เป็นรถสปอร์ตที่พร้อมเป็นทั้งเพื่อนทั้งอาจารย์ ให้คุณได้มีชีวิตยู่ในโลกความเร็วกับมันได้ทุกเมื่อเชื่อวัน โดยไม่ยี่หระว่า เวลาขับแรงๆซิ่งเร็วๆ รถจะพังคาบาทาไหม นี่คือรถที่เกิดมาพร้อม ให้คุณเติบโต ในแบบ นักเลงรถตัวจริง

ที่ซึ่งตัวเลขแรงม้า เป็นอะไรที่ใครก็สามารถท่องได้ แต่การโชว์ฝีมือการขับขี่ จนได้รับการยกย่อง นั่นสิสำคัญกว่า ซึ่งเด็กยุคนี้อาจจะยังไม่เข้าใจในเรื่องนี้เท่าไรนัก ถ้าคุณจำวลีสำคัญ จาก Fast & Furious ภาค Tokyo Drift ได้ว่า “It is not the Ride, It is The Driver” หรือ “มันไม่ได้อยู่ที่รถ แต่อยู่ที่คนขับ” ถ้าคุณมองหารถแบบนั้น อยู่นี่คือรถคันเดียวในตลาดวันนี้ที่พร้อมตอบโจทย์

ด้วยราคาเพียง 2.6 ล้านในรุ่นเกียรธรรมดา และ 2.89 ล้านบาท ในรุ่น เกียร์ ออโต้

Subaru BRZ คือรถที่ควรค่าแก่การมีไว้ในโรงรถสักคัน มันอาจถูกมองว่าเป็นลูกเมียน้อย เมื่อเทียบกับรถอย่าง WRX

แต่ BRZ รุ่นใหม่ ทางค่ายดาวลูกไก่ ก็เต็มที่กับมันมากขึ้น และอุ้มชูในฐานะรถที่พร้อมให้คุณสนุกในทางเรียบ ได้ในทุกวัน

จนผมคิดว่า คงต้องอ้อนเมีย แล้วสู่ขอมาอยู่บ้านบ้าง แล้วล่ะครับ

เรื่องและขับทดสอบ โดย ณัฐพิพัฒน์ วรโชติโกศล

ขอบคุณ ซูบาุร ระเทศไทย ที่เอื้อเฟื้อ รถทดสอบ Subaru BRZ 2.4 6 AT Eyesight

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่