แม้จะพึ่งมีการเผยโฉมครั้งแรกไปเมื่อต้นปี แต่ล่าสุด Toyota HiLux GR Sport กลับมี “Version II” หรือร่างปรับโฉมใหม่แล้ว สำหรับวางจำหน่ายต่อไปในปี 2024

2024 Toyota HiLux GR Sport II ยังคงมาพร้อมกับความแตกต่างจากร่างต้นที่คล้ายกับรุ่นพี่ นั่นคือการเป็น HiLux ที่ได้รับการปรับแต่งใหม่เพื่อให้รองรับการใช้งานในเชิงบุกตะลุยมากขึ้น ทั้งการยกความสูงตัวถังจากเดิมอีก 20 มิลลิเมตร ขยายความกว้างฐานล้อหน้าอีก 140 มิลลิเมตร และความกว้างฐานล้อหลัง 150 มิลลิเมตร ส่งผลให้ตัวรถมีมุมไต่ที่ดีขึ้นเป็น 29 องศา และมีมุมจากที่มากขึ้นเป็น 30 องศา

นอกจากนี้ ยังได้ชุดล้อขอบ 17 นิ้ว ที่แม้จะไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่ก็ได้ประโยชน์ในเรื่องของน้ำหนักที่เบา และยังรัดด้วยยางแบบ A/T ส่วนชุดคิ้วซุ้มล้อที่โป่งกว้างกว่าตัวรถรุ่นปกติ เป็นสิ่งที่มีมาให้ตั้งแต่รุ่น GR Sport โฉมแรกแล้ว เช่นเดียวกับกันชนหน้าดีไซน์เฉพาะรุ่น

ด้านการปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนเสริมสมรรถนะ นอกจากการอัพเกรดระบบโช้กโมโนทู้บด้านหลังที่ช่วยให้มันสามารถซับแรงกระแทกอย่างฉับพลันยามบุกตะลุยทางกรวดด้วยความเร็วสูงได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการอัพเกรดระบบเบรกด้านหน้าที่มีขนาดจานเบรกใหญ่ขึ้น และระบบเบรกด้านหลังก็เปลี่ยนเป็นแบบดิสก์เบรกแล้ว

หากคุณลองสังเกตที่ตัวรถให้ดี ก็จะพบว่าในคราวนี้มันได้รับการติดตั้งชุดสปอร์ตบาร์มาด้วย ซึ่งมันไม่ได้มีประโยชน์แค่ในเรื่องความสวยงามเท่านั้น แต่ยังช่วยให้รถมีความลู่ลมมากขึ้นด้วย ตามการให้ข้อมูลของ Toyota

นอกนั้นความเปลี่ยนแปลง ในจุดอื่นๆยังคงเดิม โดยเมื่อเทียบกับตัวรถ HiLux รุ่นปกติ ก็จะมีทั้ง ชุดคาลิปเปอร์เบรกสีแดง และชิ้นส่วนตกแต่งสีดำเงาอีกหลายจุด การใส่โลโก้ GR บริเวณกระจังหน้า ภายในห้องโดยสาร พวงมาลัย หน้าจอ หัวหมอนเบาะโดยสารคู่หน้า และเข็มขัดนิรภัยสีแดง ส่วนชุดหน้าจออินโฟเทนเมนท์ก็มีการอัพเกรดระบบนำทางแบบ Built-In เรียบร้อย ส่วนระบบ Apple CarPlay ก็รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สาย แต่ระบบ Android Auto ยังคงต้องเชื่อมต่อผ่านสาย USB ตามเดิม

ส่วนขุมกำลังของตัวรถ น่าแปลกใจที่ สำหรับตัวรถรุ่นนี้ ที่ถูกนำไปเปิดตัวเพื่อทำตลาดในสหราชอาณาจักรเป็นที่แรกนั้น กลับยังคงใช้เครื่องยนต์เทอร์โบ ดีเซล ขนาด 2.8 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 201 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุดอีก 500 นิวตันเมตร ไม่ได้ถูกปรับจูนเป็นรุ่นกำลังสูงสุด 221 HP (หรือ 224 PS แบบหน่วยที่นิยมใช้ในบ้านเรา) กับแรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร แต่อย่างใด

ขณะที่กำหนดการวางจำหน่ายจริง จะเกิดขึ้นในช่วงต้นปีหน้า แต่จะมีการเปิดตลาดในประเทศไทยของเรา ซึ่งเป็นฐานการผลิตตัวจริงด้วยหรือไม่ ยังต้องรอการอัพเดทข้อมูลกันต่อไป

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่