หากใจคุณมุ่งหมายจะไคว่คว้า Toyota Altis Hybrid ใหม่มาครอบครอง แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะตัดสินเลือกรถรุ่นย่อยใด ลองอ่านบทความนี้คงช่วยให้เลือกง่ายขึ้น

คำตอบมากมายเกิดในสมองของใครก็ตาม… ที่กำลังคิดเอาไว้ว่าจะซื้อหารถยนต์นั่ง 4 ประตู คันใหม่เพื่อมาใช้งาน หลายคนมีโจทย์ว่ารถคันนั้นจะต้องประหยัดน้ำมัน ทนทาน ค่าบำรุงรักษาต่ำ หรือไม่ก็เน้นหนักไปตรงประเด็นความสวยงามหรูหราจากด้านนอกถึงข้างใน เหล่านี้ล้วนแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล

โดยใครที่ได้อ่านเจอการเปิดตัว Toyota Corolla Altis โฉมใหม่ เจนเนเรชั่นที่ 12 คุณคงรู้สึกไม่ต่างจากเราว่า รอบนี้โตโยต้าเข้าหมายมั่นจะฟาดฟันคู่แข่ง ด้วยตัวเลือกอันหลากหลายของรถรุ่นย่อยไฮบริดที่มีถึง 3 ระดับ หวังจะดึงดูดลูกค้าที่ยังไม่กล้าใช้รถไฮบริด ให้มีแอบปันใจลองกล้าซื้อใช้ในรถรุ่นใหม่กันก็คราวนี้

ว่ากันด้วยรุ่นเริ่มต้น Hybrid Entry น้องน้อยคันนี้เกิดมาเพื่อคน 2 กลุ่ม

จากที่บอกไปก่อนหน้าว่ารอบนี้ Altis Hybrid มีตัวเลือกถึง 3 รุ่น 3 ราคา ซึ่งตัว Hybrid Entry ติดป้ายไว้เพียง 939,000 บาท ฉีกตำราคาที่ว่ารถไฮบริดมีราคาเกินหนึ่งล้านบาทไปตลอดกาล โดยสิ่งที่คุณจะได้เมื่อซื้อซีดาน 4 ประตู ไซส์ C-Segment หัวใจลูกผสม ได้แก่ เครื่องยนต์เบนซินไฮบริด 1.8 ลิตร เจนเนเรชั่นที่ 4 ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 163 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติแบบ E-CVT ขับเคลื่อนกำลังสู่ล้อหน้า

การตกแต่งภายนอกเน้นความเรียบง่าย ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ฮาโลเจนแบบไฮบริดพร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน DRL LED แต่ไม่มีไฟตัดหมอกหน้าให้มา ด้านไฟท้ายเป็นแบบแอลอีดีเหมือนกันทั้งสามรุ่นไฮบริด ส่วนล้ออัลลอย 16 นิ้ว รัดด้วยยาง Bridgestone Ecopia EP150 ขนาด 205/55 เน้นความประหยัดน้ำมันและใช้งานได้ยาวนาน

ภายในห้องโดยสารมาในสไตล์โทนสีดำ ซึ่งบางคนรวมถึงตัวผู้เขียนรู้สึกอึดอัดกับสีภายในแบบนี้ แต่ยังดีที่โตโยต้ามอบเบาะหนังมาให้ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นเครื่องไฮบริด แม้แต่พวงมาลัยกับหัวเกียร์ยังมีการหุ้มหนัง ตลอดจนการเลือกใช้วัสดุสัมผัสนุ่มบริเวณคอนโซลกลางกับแผงประตูทั้งหน้าและหลัง พร้อมกันนี้ ก็ใส่หนังตะเข็บเย็บเดินด้ายบริเวณฝั่งคนนั่งด้านหน้า ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องปรับอาการอัตโนมัติพร้อมฮีทเตอร์ติดตั้งเป็นมาตรฐานบนรถไฮบริดทั้งสามระดับ

ส่วนเบาะนั่งด้านหลังเป็นแบบปกติ ไม่มีที่วางแขนตรงกลาง แถมยังพับตัวเบาะลงไม่ได้อีกต่างหาก แต่ก็ดีที่ยังให้ช่องแอร์เป่ากายแก่ผู้โดยสารตอนหลัง คราวนี้ใครขึ้นแท็กซี่ไม่ต้องบ่นว่าแอร์ไม่ถึงแล้วนะครับ ฮ่าๆ

แง่ของอุปกรณ์มาตรฐานที่ช่วยอำนวยความสะดวกบนรุ่น Hybrid Entry นับว่ามีสิ่งจำเป็นสำหรับรถยุคใหม่ครบถ้วน อาทิ เบรกมือไฟฟ้าพร้อมระบบหน่วงแรงเบรกอัตโนมัติ ที่เหมาะอย่างยิ่งกับการใช้งานรถติดเพียงในเมือง หรือจะเป็นระบบสตาร์ทและเปิดประตูแบบ Push Start กับ Keyless Entry

จากนั้นมาดูที่เรื่องความปลอดภัยกันบ้าง แน่นอนว่าโตโยต้ายังคงจัดใส่ระบบต่างๆ มาครบถ้วน เช่น เบรก ABS ระบบควบคุมการทรงตัว VSC ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน HAC ยิ่งไปกว่านั้น มีการติดตั้งถุงลมนิรภัยจำนวน 7 ใบ มากกว่ารถยนต์ระดับเดียวกันจากค่ายคู่แข่งที่มีราคาพอๆ กัน

แต่ประเด็นความบันเทิงภายในรถรุ่น Entry อาจจะไม่ได้จัดเต็มเท่ารุ่นย่อยไฮบริดอื่นๆ นัก แต่ก็มอบเครื่องเล่น CD ที่เชื่อมต่อกับเข้ากับบลูทูธโทรศัพท์ เสียบช่อง USB หรือจะช่อง AUX ได้ตามใจชอบ ส่วนลำโพงให้มา 6 ตำแหน่งรอบคัน

ถ้าให้ชี้แนะว่าใครควรซื้อ Altis Hybrid Entry บอกได้ว่ามีอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือคนธรรมดาทั่วไปที่อยากขยับจากรถ B-Segment หรือ Eco car มาเป็นรถยนต์นั่ง 4 ประตูที่ใหญ่กว่า ขับดีขึ้น และดูมีภาพลักษณ์โตตามวัย ที่สำคัญที่สุดคืออยากลองใช้งานรถไฮบริดในราคาสุดแสนจะเร้าใจเพียง 939,000 บาท พวกเขาไม่ได้แคร์ว่ารถจะต้องมีออปชั่นจัดเต็มหรูหรา แค่รายการอุปกรณ์ที่ให้มาก็จัดว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปแล้ว

กลุ่มที่สองหนีไม่พ้นบรรดาสหกรณ์แท็กซี่ หรือคนขับแท็กซี่ส่วนบุคคลที่มีใจรักเทคโนโลยี อยากใช้รถไฮบริดขับรถส่งผู้โดยสารกับเขาบ้าง โดยจุดเด่นของ Toyota Corolla Altis ไม่ว่าจะโฉมไหนก็คือ ความทนทาน ค่าบำรุงรักษาต่ำ และกับเจ้าอัลติสไฮบริดมีการรับประกันระบบไฮบริด 5 ปี ประกันแบตเตอรี 10 ปี แบบไม่จำกัดระยะทาง นี่เองทำให้โซเฟอร์แท็กซี่หลายคนหันเหปันใจมาจากรถเครื่องเบนซิน 1.8 ลิตร ที่มักนิยมนำไปติดตั้งระบบแก๊สทั้ง LPG และ CNG

Altis Hybrid Mid ชายกลางผู้น่าสนใจน้อยที่สุด

ไม่ต้องหาว่าเราลำเอียงรักน้องมากกว่าพี่ ใยจึงเอ่ยคำว่า Hybrid Mid ชายกลางที่น่าสนในน้อยสุดในตระกูล Altis Hybrid ทั้งสามรุ่น เหตุผลเริ่มต้นด้วยภายนอกก่อนเลยเพื่อไม่เสียเวลา จะพบว่ามันต่างจากรุ่นเริ่มต้นตรงการใส่ไฟหน้าแอลอีดีแบบเดียวกับรุ่นท็อป และส่วนอื่นๆ ภายนอกเหมือนกับตัวเริ่มต้นแทบไม่ผิดเพี้ยน แม้กระทั่งล้อ 16 นิ้ว ลายเดียวกันด้วยเถอะ!!

เปิดประตูเข้ามานั่งในห้องโดยสารคุณอาจรู้ว่า นี่มันต่างกับรุ่นเริ่มต้นแค่เพิ่มจอกลาง 8 นิ้ว เชื่อมต่อแสดงภาพจากกล้องมองหลังและเซนเซอร์ กับจอแสดงผลหน้าผู้ขับขี่ขนาด 7 นิ้ว ให้มาใช่ไหม ใจเย็นครับลองดูดีๆ จะมีแท่นชาร์จไฟแบบไร้สายสำหรับสมาร์ทโฟนยุคใหม่ ส่วนด้านหลังให้เบาะนั่งพับได้ 60:40 พร้อมที่วางแขนตรงกลาง และสิ่งที่แยกด้วยตาเปล่าไม่ออกคือ ตั้งแต่รุ่น Hybrid Mid ขึ้นไปเขาใส่กระจกบังลมหน้าแบบลดเสียงกวนมาให้แล้วนะ

เกือบลืมอุปกรณ์ที่บางคนไม่เคยใช้อย่าง ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control ทั้งรุ่น Hybrid Entry และ Hybrid Mid เขาไม่มีใส่มาให้ ใครรู้ตัวว่าขับเดินทางไกลบ่อยๆ แล้วอยากมีตัวช่วยลดความเมื่อย ก็รอซักพักจนกว่าจะมีร้านไหนรับติดตั้งอุปกรณ์ชิ้นนี้เพิ่มในภายหลัง

สำหรับประเด็นความปลอดภัย บรรดาข้าวของที่ติดตั้งมานั้นเหมือนกับรุ่นเริ่มต้นทุกประการ นี่จึงสาเหตุว่าทำไมเราถึงบอกว่า Hybrid Mid คือรุ่นย่อยชายกลางน่าสนใจน้อยที่สุด แม้จะตั้งราคาแพงกว่ารุ่นเริ่มต้นเพียง 50,000 บาท แล้วแปะป้ายราคาเต็ม 989,000 บาท แต่ด้วยอุปกรณ์ที่เพิ่มเข้ามาอย่างจอกลางกับแท่นชาร์จไฟแบบไร้สาย หรือกล้องมองหลังพร้อมเซ็นเซอร์ถอยหลัง เหล่านี้เจ้าของนำไปติดตั้งอุปกรณ์เสริมข้างนอกเองในราคาถูกกว่า เผลอๆ อาจมีคุณภาพสูงกว่าของที่ติดมาจากโรงงานอีกต่างหาก

พี่ใหญ่ใจป๋าจัดเต็มในราคาน่าคบ หากเงินไม่ใช่อุปสรรคเล่นรุ่นท็อปเลยดีกว่า?

สุดท้ายและท้ายสุดคงไม่ใช่ใครอื่น พี่ใหญ่รุ่นแต่งหล่อเสริมสวยมาแน่นคัน อย่าง Altis Hybrid High ราคา 1,099,000 บาท หรือล้านหนึ่งทอนพันเดียว ถือว่าโตโยต้าใจป๋าจัดอุปกรณ์ไฮเทคประเคนให้มาครบทุกสิ่งที่ลูกค้าระดับไฮเอนด์ต้องการ เพื่อไม่เสียเวลาเราไปดูกันให้รู้ชัดเลยดีกว่า

ภายนอกคุณจะได้ความหล่อด้วยล้อไฟหน้าแอลอีดีคู่ไฟตัดหมอกแอลอีดี ขับกลางคืนเปิดไฟโชว์อล่างฉ่างให้เขารู้ว่าข้าคือ Camry น้อย เย้ย!! ไม่ใช่แล้ว ด้านข้างจะเห็นว่ามีการขยับไซส์ล้ออัลลอยเป็น 17 นิ้ว ลายใหม่สาดสีทูโทนเงินสลับดำ กันชนหน้ามีคิ้วโครเมียมทรงตัวซีอยู่ซ้ายและขวาติดกับไฟตัดหมอก

 

ในเรื่องอุปกรณ์จิปาถะ เช่น กระจงมองข้างปรับพับไฟฟ้าอัตโนมัติให้มาครบทุกรุ่นย่อย ยกเว้นระบบปรับระดับกระจกมองข้างลงต่ำ Reverse Link มีให้เฉพาะรุ่นท็อปเท่านั้น ขณะเดียว ระบบเปิดปิดไฟหน้าอัตโนมัติ กับปุ่มปรับระบบไฟหน้าก็ให้มาด้วยเช่นกัน

เข้ามาห้องโดยสารเรียกว่าคล้ายกับรุ่น Hybrid Mid ต่างกันเพียงรุ่นท็อป Hybrid High มอบปุ่มปรับระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอยู่บนแป้นพวงมาลัยฝั่งขวาเพิ่มเข้ามา เงยหน้ามองขึ้นไปจะพบกับหน้าจอ HUD ฉายข้อมูลสำคัญบนกระจกหน้า ยิ่งไปกว่านั้น ระบบปรับอากาศได้ใส่ระบบฟอกอากาศ Nanoe กับม่านบังแดดหลังที่ต้องดึงออกมาใช้ด้วยมือเพียงรุ่นย่อยเดียว

เบาะนั่งคู่หน้าในรุ่นท็อปให้มาเป็นแบบปรับไฟฟ้าพร้อมปุ่มปรับดันหลัง งานนี้หมายใจจะฟาดคู่แข่งจอมงกทั้งหลาย ที่ยังให้เบาะนั่งปรับด้วยมือในฝั่งผู้โดยสารตอนหน้าหรือเปล่าก็ไม่รู้ ส่วนรุ่นกลางปรับไฟฟ้ากับดันหลังเฉพาะฝั่งคนขับเท่านั้น และรุ่นล่างสุดปรับมือทั้งสองฝั่งไม่มีระบบใดมาช่วยเหลือ

สำหรับใครที่อยากได้รถคันใหม่ที่มีความปลอดภัยขั้นสูง Altis Hybrid High จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง เพราะโตโยต้ามอบระบบ Toyota Safety Sense เจนฯ 2 ที่มีระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ DRCC ที่ทำงานแบบ Full Speed คือเริ่มจากจุดหยุดนิ่งไปจนถึงความเร็วเดินทาง เพียงผู้ขับขี่กำหนดความเร็วที่ต้องการเอาไว้ ไม่ว่ารถจะจอดนิ่งติดไฟแดงแล้วรถคันหน้าเคลื่อนออก ระบบนี้จะทำหน้าที่แทนคุณทั้งหมด

นอกเหนือจากที่กล่าวมา ก็มีระบบเตือนมุมอับสายตา ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลนพร้อมหักพวงมาลัยกลับ ระบบเบรกอัตโนมัติ รวมถึงระบบช่วยควบคุมให้รถอยู่กลางเลย และอื่นๆ อีกมากมายที่จะช่วยให้การเดินทางทั้งในเมือง และนอกเมืองระยะไกลเป็นไปอย่างปลอดภัยแถมสะดวกสบายสูงสุด

เรากล้าพูดได้ว่าถ้าคุณกำลังมองหารถคันใหม่ที่ประหยัดน้ำมัน ทนทาน บำรุงรักษาง่าย และมีอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการขับใช้งานในเมืองจากจุด A ไปจุด B ทุกๆ วัน Toyota Altis Hybrid Entry ราคา 939,000 บาท คือตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุด ณ ตอนนี้ ส่วนใครที่รู้ว่าชอบระบบไฮเทคทั้งความสะดวกและความปลอดภัยขั้นสูง รวมถึงเงินในกระเป๋าไม่ใช่ปัญหาต่อการผ่อนชำระที่แพงกว่า รุ่นท็อปสุด Hybrid High ราคา 1,099,000 บาท จะเป็นคู่หูคู่ใจคันใหม่ของคุณแบบไม่ต้องสงสัยอะไรอีก

ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเราทีมงาน Ridebuster.com

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่