Toyota Prius คือรถยนต์อีกหนึ่งรุ่นที่ชาวไทยรู้จักกันดี ในฐานะรถยนต์ไฮบริดรุ่นบุกเบิกตลาด และแม้จะน่าเสียดายที่มันต้องถูกยุติทำการตลาดไปเมื่อปี 2015 แต่ล่าสุดกลับมีข้อมูลระบุว่ารุ่นน้องโมเดลใหม่ล่าสุดของมัน กลับเตรียมถูกนำมาวางจำหน่ายในบ้านเราอีกครั้งช่วงปีหน้านี้แล้ว กับ Toyota Prius เจเนเรชันที่ 5

โดย หากเปรียบเทียบกับตัวรถเจเนอเรชันที่ 3 ซึ่งเป็นตัวสุดท้าย (แต่กำลังจะไม่สุดท้ายในเร็วๆนี้) ที่วางจำหน่ายในบ้านเรา ต้องบอกว่ารุ่นน้อง Prius เจเนอเรชันที่ 5 ของมันนั้นมีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก เพราะตัวรถได้ถูกพัฒนาขึ้นใหม่จากจุดตั้งต้น และมุมมองของผู้คนต่อตัวรถที่เปลี่ยนไปด้วย ว่าแต่มันจะมีอะไรบ้างล่ะ ?

ใช้แพลตฟอร์ม TNGA เจเนอเรชันที่ 2

แพลตฟอร์มโครงสร้างตัวถัง TNGA คือแพลตฟอร์มที่ได้การยอมรับจากผู้ใช้รถยนต์ Toyota มาแล้วทั่วโลก แม้แต่ในไทยเองก็เช่นกัน เนื่องจากเป็นโครงสร้างตัวถังที่ไม่ได้มีดีแค่ในเรื่องความปลอดภัย แต่ยังช่วยให้รถมีการตอบสนองต่อการขับขี่ที่มั่นใจขึ้นมาก

แน่นอน แพลตฟอร์มโครงสร้างที่ใช้ใน Prius เจนฯ 5 ยังเป็นแพลตฟอร์ม TNGA รุ่นที่ 2 และจากคุณสมบัติในเรื่องของ จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลง, ความแข็งแรงของโครงสร้างที่มากขึ้น, การใช้ช่วงล่างอิสระทั้ง 4 ล้อแบบใหม่, รวมถึงความสามารถในการทำงานร่วมกับชุดล้อและยางที่ใหญ่กว่าเดิม

จึงทำให้มันก็จะช่วยสร้างความมั่นใจในการขับขี่ได้มากยิ่งขึ้นไปอีก ตามเสียงตอบรับของผู้ใช้หลายคน และจากสื่อฯหลายเจ้าทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ที่มีโอกาสได้สัมผัสตัวรถรุ่นนี้มาก่อนแล้ว จนผู้คนเหล่านั้นต่างบอกว่าให้คุณลบภาพจำของรถ Toyota Prius ว่าต้องเป็นรถสำหรับพ่อบ้านเฉิ่มๆ ขับรถทื่อๆ เน้นแค่การใช้งานรับ-ส่งลูก พาภรรยาไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเท่านั้นไปได้เลย เพราะตัวใหม่นี้ให้สมรรถนะการขับขี่และควบคุมที่ดีขึ้น ตามสั่ง ตามใจมากจนกลายเป็นรถคนละคันจริงๆ

ขุมกำลังใหม่ แรงขึ้น ประหยัดขึ้น สมรรถนะดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ย้อนไปในตัวรถ Prius เจเนอเรชันที่ 3 ขณะนั้นตัวรถยังใช้เครื่องยนต์ 2ZR-FXE แบบเบนซิน 4 สูบเรียง 1.8 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Parallel Hybrid ที่ให้กำลังสูงสุดรวมกันเพียง 136 แรงม้า เท่านั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่ามันค่อนข้างน้อยพอสมควรเมื่อเทียบกับตัวถังรถที่อยู่ในระดับ Compact Car ยุคเดียวกัน ด้วยเหตุผลที่ว่าทางค่ายอยากให้มันเน้นไปที่ความประหยัดน้ำมันมากกว่า

แต่สำหรับ Prius รุ่นใหม่ แม้จะยังคงมีรุ่นที่มาพร้อมกับขุมกำลังเครื่องยนต์ 2ZR-FXE ลูกเดิม และทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Parallel Hybrid ดังเดิม แต่มันก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ จนมีกำลังมากขึ้นอีกนิด เป็น 140 PS

และหากเท่านั้นยังไม่พอ มันก็มีรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ M20A-FXS หรืออีกชื่อคือ 2.0 Dynamic Force ที่นอกจากจะใหญ่ขึ้น แรงขึ้นแล้ว ยังทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้นด้วยเช่นกัน จนทำให้ในคราวนี้มันสามารถปั่นพละกำลังรวมกันได้มากถึง 199 PS ซึ่งตัวรถรุ่นที่ใช้ขุมกำลังนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นรุ่นที่ถูกนำมาทำตลาดในไทยเมื่อมีการขายจริงด้วย

และหากทาง Toyota Motor Thailand ตัดสินใจจะขายตัวรถรุ่น Plug-In Hybrid เพิ่มเติม ด้วยแบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้น และการรองรับโหมดการขับขี่แบบ EV Mode จึงทำให้มอเตอร์ไฟฟ้าของมันต้องถูกปรับจูนให้มีเรี่ยวแรงมากขึ้นอีก จนคราวนี้ทำให้พละกำลังรวมจากขุมกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 223 PS ช่วยให้รถพร้อมทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลาเพียง 6.7 วินาที เท่านั้น

โดยตัวเลขสมรรถนะที่ไล่มานั้น แม้จะแรงขึ้นกว่ารุ่นพี่เจนฯ 3 ที่เราคุ้นเคยกันกว่าเกือบเท่าตัว แต่ความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงของตัวรถ ก็ยังคงอยู่ในระดับ 25-26 กิโลเมตร/ลิตร อยู่ดี และหากเป็นรถรุ่น PHEV หากเป็นรุ่นออพชันล้อ 18 นิ้ว ก็จะสามารถให้อัตราการประหยัดได้มากสุดถึง 30.1 กิโลเมตร/ลิตร เลยทีเดียว

งานออกแบบฉบับรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมรูปทรงตัวถังที่จู่ๆก็กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง

ในอดีต ตั้งแต่ Prius เจเนอเรชันแรก มาจนถึงเจเนอเรชันที่ 3 หลายคนต่างเข้าไม่ถึงงานออกแบบของพวกมันเลย เพราะแม้ทาง Toyota จะพยายามออกแบบให้มันเป็นรถที่มีความเฉพาะตัว ดูเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เหมาะสำหรับการใช้งานแบบครอบครัว แต่ในทางกลับกันมันก็ดูเฉิ่มเกินไป และแน่นอนว่ามีหน้าตาที่ดูบ้านๆเกินไปอีกด้วย จนทำให้กลุ่มลูกค้าบางส่วนที่เป็นคนรุ่นใหม่เมินหน้าหนีกันเป็นแถว

พอมาถึงตัวรถเจเนอเรชันที่ 4 แม้จะยังคงมาพร้อมกับตัวถังแบบคล้ายเดิม แต่เส้นสายรอบคันก็ถูกปรับให้มีความสดใหม่ ทันสมัยยิ่งขึ้น โฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น สะดุดตายิ่งขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งเฉดสีตัวถังเอง ก็ยังเน้นโทนสดไส ไม่ได้เน้นโทนขาว เงิน ดำ อีกต่อไป แต่ก็น่าเสียดายตรงที่มันไม่ได้วางจำหน่ายในไทย เสียอย่างนั้น เนื่องจากทางค่ายยังบอบช้ำกับการขายตัวรถเจนฯก่อนหน้าอยู่ (ทั้งด้วยเรื่องยอดขาย และคดีความกับหน่วยงานรัฐ)

มาคราวนี้ สำหรับตัวรถเจเนอเรชันที่ 5 ทาง Toyota ได้เลือกเอาเส้นสาย “Hammer Head” ของรถยนต์ไฟฟ้าตระกูล bZ-Series มาใช้ร่วมกับ Prius เพื่อบ่งบอกว่ามันจะเป็นรถยนต์ไฮบริดที่มีความใกล้เคียงกับการเป็นรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และหากมองในภาพรวม มันก็ช่วยให้ตัวรถดูดีขึ้นมากเลยทีเดียว แถมยังดูโฉบเฉี่ยว ทันสมัยขึ้นมากอีกด้วย ไม่เว้นแม้กระทั่งภายในเอง ก็ไม่ได้ดูล้ำแบบเขินๆอีกต่อไป

ไม่เพียงเท่านั้น แม้ในช่วงสิบปีก่อน คนไทยจะยังไม่นิยมในรถยนต์นั่งตัวถัง 5 ประตู แต่ในปัจจุบัน หลายคนเริ่มตกผลึกว่า การใช้รถยนต์ที่สามารถจุของได้เยอะสักคัน ไม่จำเป็นต้องขยับไปเล่นรถยนต์อเนกประสงค์ที่ใหญ่และเทอะทะก็ได้ การกลับมาเลือกซื้อรถยนต์นั่งขนาดเล็กและขนาดกลาง แต่เป็นตัวถังแบบ Hatchback หรือ Fastback 5 ประตู ก็ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน

ท้ายสุด…

คนไทยมีมุมมองต่อรถยนต์ไฮบริดที่เปลี่ยนไปจาก 10 ปีก่อนมากแล้ว

ย้อนไปในช่วงที่ Toyota Prius เจเนอเรชันที่ 2 ทำตลาดในไทยใหม่ๆ หลายคนในช่วงเวลานั้นยังคงไม่มั่นใจว่าระบบไฮบริดที่ถูกติดตั้งเสริมเข้ามา จะทำให้พวกเขาต้องเจอปัญหาที่ในการดูแลรักษา หรือความยุ่งยากในการซ่อมบำรุงรถยนต์ 2 ระบบนี้มากแค่ไหน และแม้จะผ่านเวลาไปสู่การขายตัวรถเจเนอเรชันที่ 3 แนวคิดเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ จนทำให้มันกลายเป็นรถที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่นักในเรื่องยอดขาย และต้องหายไปจากบ้านเราในที่สุด

อย่างไรก็ดี มาวันนี้ “รถยนต์ไฮบริด” กลับกลายเป็นตัวเลือกที่คนรุ่นใหม่หลายคนให้การยอมรับขึ้นมาก ด้วยประสิทธิภาพของตัวเทคโนโลยีเอง ที่ถูกพัฒนาจนสามารถให้ ทั้งเรื่องพละกำลัง อัตราการตอบสนอง และอัตราการประหยัดเชื้อเพลิง ที่มีความแตกต่างจากรถยนต์ขุมกำลังสันดาปภายในล้วนอย่างเห็นได้ชัดจริงๆ

และแม้ตอนนี้ หลายคนจะมองว่ารถยนต์ไฟฟ้า คือตัวเลือกที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายต่อวันจากการเดินทางได้ดีกว่า แต่เมื่อลองประเมินถึงความเสี่ยงหากตัวแบตเตอรี่ได้รับความเสียหาย รวมถึงความยุ่งยากในการชาร์จไฟ สำหรับคนที่ไม่สะดวกชาร์จที่บ้าน รถยนต์ขุมกำลังลูกผสมจึงเป็นตัวเลือกที่ดูอุ่นใจ ในการใช้งานกว่าโดยปริยาย

นอกจากนี้ แม้จะเป็นรถยนต์ที่มีขุมกำลังสองระบบ แต่จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ในหมู่ผู้ใช้รถยนต์ Toyota Prius รุ่นก่อนๆ และผู้ใช้รถยนต์ไฮบริดรุ่นอื่นๆ รวมถึงแบรนด์อื่นๆ ต่างก็ยอมรับว่าระบบไฮบริดที่อยู่ในรถยนต์ของตนเอง ไม่ได้เอะอ่ะจะพังง่ายๆขนาดนั้น หากคุณมีการดูแลรักษารถที่เหมาะสม ตรงตามรอบคู่มือ มันก็สามารถนำไปใช้งานได้ทนทานไม่แพ้รถเครื่องยนต์สันดาปล้วน

นั่นจึงทำให้ตอนนี้ใครหลายคนต่างเปิดใจให้กับรถยนต์อย่าง Toyota Prius มากขึ้นกว่าก่อนพอสมควร และกลายเป็นรถยนต์อีกหนึ่งรุ่นที่น่าใช้จริงๆหากมันถูกนำมาวางจำหน่ายในไทย

หรือคุณคิดว่ายัง “ไม่” อยู่ล่ะครับ ?

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่