Tesla Model S รุ่น P90D ปี 2015 คันหนึ่งกลายเป็นรถที่วิ่งระยะทางมากที่สุด 6 แสนกม. ซึ่งคำถามที่ทุกอยากรู้คือ… วิ่งมาขนาดนี้เปลี่ยนอะไรไปบ้าง?

 

หนึ่งในคำถามยอดฮิตเวลามีใครสักคนถามเรื่องรถไฟฟ้าอย่าง ‘รถไฟฟ้าแบตฯ เสื่อมไวจริงหรือ?’ หรือ ‘ใช้รถไฟฟ้าแล้วไม่ต้องซ่อมบำรุง?’ เหล่านี้มักเกิดขึ้นเสมอเวลาเราเห็นหัวข้อการสนทนาทั้งบนโลกอินเทอร์เน็ต และการพูดคุยกันซึ่งหน้า ล่าสุดคำตอบจากผู้ใช้งาน Tesla Model S P90D ปี 2015 ที่เรียกว่าใช้งานเยอะมากกว่าเทสล่าคันใด เพราะแค่เวลาเพียง 3 ปี รถคันนี้ก็วิ่งไปแล้วเกิน 640,000 กม. โดยต่่อจากนี้คือสิ่งที่ทำให้คนสงสัยกระจ่างชัดเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในอนาคต

 

 

จากข่าวของเว็บไซต์ชื่อด้านรถไฟฟ้าชื่อดัง insideevs.com ได้เปิดเผยข้อมูลที่ระบุว่ามีรถ Tesla Model S คันหนึ่งวิ่งทะลุ 160,000 กม. ภายในหนึ่งปีแรก แล้วไม่นานก็กระโดดทะลุ 300,000 กม.ไปอย่างง่ายดาย คำถามคือใครกันที่ใช้รถมากขนาดนี้? คำตอบคือรถคันนี้ใช้เป็นของ Tesloop บริษัทที่ให้บริการรถพร้อมคนขับพาผู้โดยสารไปส่งยังที่ต่างๆ นี่เองจึงทำให้เจ้า Model S วิ่งทะลุตัวเลขหลักแสนได้แบบลื่นฉิว

ทางด้าน Tesloop ได้ตั้งชื่อรถคันนี้ว่า ‘eHawk’ มันมีทำหน้าที่วิ่งรับส่งผู้โดยสารเป็นระยะทางราว 27,000 กม.ทุกเดือน ซึ่งจะวิ่งโดยใช้งานโหมดขับขี่อัตโนมัติ Autopilot เป็นหลัก สำหรับค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเฉลี่ยต่อ 1.6 กม. อยู่ไม่เกิน 1.65 บาท โดยจากข้อมูลระบุว่าบริษัทจ่ายค่าบำรุงรักษาตลอด 3 ปีไปด้วยเงิน 627,000 บาท

 

 

ใครก็ตามที่เห็นตัวเลขค่าบำรุงรักษาต้องตกใจเป็นอันดับแรกแน่ๆ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายดูแลรถตามระยะทางที่ยืนพื้นอยู่ราว 396,000 บาท รวมกับค่าซ่อมแซมอีก 214,500 บาท แต่หากนำไปเปรียบเทียบกับรถหรูระดับเดียวกันอย่างเช่น Lincon Town Car รายนั้นจะต้องจ่ายค่าบำรุงรักษาเมื่อวิ่งเกิน 6 แสนกม. สูงถึง 2,904,000 บาท ขณะเดียวกันหากเป็น Mercedes-Benz GLS ก็ทำให้คุณเหงื่อตกเพราะต้องจ่าย 3,300,000 บาท เมื่อใช้รถในระยะทางเท่ากัน หรือหากคิดเป็นเม็ดเงินที่ต้องจ่ายต่อระยะทาง 1.6 กม. ก็อยู่ที่ 7.26-8.25 บาท

ทีนี้มาดูกันบ้างว่า Tesla Model S คันนี้มีอะไรเสียแล้วต้องเปลี่ยนบ้าง เริ่มด้วยการแบตฯ ลูกแรกที่เสื่อมไปตอน 312,212 กม. ต่อจากนั้นก็เปลี่ยนอีกเมื่อถึงระยะ 521,427 กม. ในส่วนของระบบขับเคลื่อนก็เปลี่ยนไปที่ 57,900 กม. ทางด้าน Tesloop ระบุว่าแบตฯ ติดรถเก็บประจุเสื่อมลง 6% ก่อนทำการเปลี่ยน สาเหตุหลักคาดว่ามาจากการชาร์จด่วนแบบ Supercharge ส่วนในลูกต่อเสื่อมลง 22% ก่อนทำการเปลี่ยน ซึ่งบริษัทเจ้าของรถกล่าวว่ารถคันนี้ชาร์จแบตฯ จนถึง 95-100% ทุกครั้ง

 

ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com

 

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่