ทีมงาน Ridebuster ได้มีโอกาสลองยางรุ่นใหม่ล่าสุด MICHELIN Energy XM2+ ที่ทางผู้ผลิตบอกว่าปรับปรุงใหม่เพื่อตอบสนองลูกค้าที่ใช้งานรถอีโคคาร์ หรือรถขนาด B-Segment ที่มีจำนวนมากในตลาดตอนนี้ ว่าแต่ความรู้สึกหลังสัมผัสจริงเป็นเช่นไร?

ไม่ว่าคุณจะขับรถไปที่ไหนก็ตาม บรรดารถอีโคคาร์หรือรถยนต์ขนาด B-Segment จะวิ่งกันไปมาหนาตากว่ารถชนิดอื่นๆ อยู่เสมอ ซึ่งรถหลายคันเจ้าของก็ได้ใช้งานวิ่งไปเป็นหมื่นๆ กิโลเมตร จนยางที่ติดมาจากโรงงานตอนถอยรถป้ายแดงเสื่อมสภาพ บางคนก็เน้นหลักว่าซื้อยางใหม่ราคาถูก เอาให้วิ่งใช้งานได้ตามปกติก็พอ แต่เราอยากบอกว่าคุณสามารถจ่ายเงินในราคาที่ไม่สูงนัก และยังได้ยางที่มีคุณภาพเหมาะสมกับราคา

ยาง MICHELIN Energy XM2+

ยาง MICHELIN Energy XM2+

MICHELIN Energy XM2+ ชื่อนี้อาจคุ้นหน้าคุ้นตาสำหรับคนทั่วไปอยู่บ้าง โดยเจ้านี่เป็นยางรุ่นปรับปรุงใหม่จากรุ่น XM เจนฯ แรก ด้วยแนวคิดว่าทำอย่างไรประสิทธิภาพของยางจะคงที่ตลอดอายุการใช้งาน ไม่ใช่แค่ตอนซื้อยาง 4 เส้น หอมกรุ่นใหม่เอี่ยมแล้วขับมั่นใจแค่ช่วงหมื่นกิโลเมตรแรก แต่ต้องคงไว้ซึ่งสมรรถนะที่ให้ความปลอดภัยมั่นใจได้ถึงเวลาดอกยางใกล้หมด ตอนแรกที่เราฟังดูก็คิดว่าจะเป็นไปได้ยังไง และเพื่อไขข้อข้องใจนั้นเราจึงได้ร่วมกิจกรรมทดสอบยางรุ่นใหม่ให้เป็นที่ประจักษ์

ยาง MICHELIN Energy XM2+

MICHELIN Energy XM2+ ทำระยะเบรกได้สั้นกว่าคู่แข่งชัดเจน

การทดสอบยาง MICHELIN Energy XM2+ ทางผู้ผลิตพาเราไปไกลถึงสวนนงนุช เมืองพัทยา ที่ได้ทำเซ็ทอัพสนามทดสอบ 3 รูปแบบ โดยสถานีแรกเป็นการทดสอบยางที่ดอกยางใกล้จะหมด มีการนำยางยี่ชั้นนำอีก 4 ยี่ห้อมาทดสอบเปรียบเทียบ ผลปรากฏว่ายาง XM2+ ทำระยะเบรกได้สั้นกว่าราว 2.6 เมตร บนสภาพพื้นผิวถนนเปียก บนเงื่อนไขการใช้รถ Toyota Vios คันเดียวกันตลอด แต่มีการทดเปลี่ยนยาง 4 เส้นทุกครั้งเมื่อเสร็จภารกิจ

ส่วนการทดสอบระยะเบรกบนทางเปียกในเงื่อนไขยางใหม่เหมือนกันนั้น ทางผู้จัดไม่ได้ทดสอบให้ดู บอกเพียงข้อมูลว่ายาง XM+ มีระยะเบรกสั้นกว่าคู่แข่งอีก 4 ราย อยู่ที่ 1.5 เมตร ซึ่งก็ถือว่าเป็นข้อมูลที่น่าสนใจเลยทีเดียว

ยาง MICHELIN Energy XM2+

เอาเข้าจริงประสบการณ์ยางใกล้หมดดอกของผู้ใช้แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางท่านที่เป็นผู้ชายพอมีความรู้เรื่องรถยนต์อยู่บ้าง พวกท่านก็พอจะดูว่ายางบนรถคันโปรดใกล้หมดอายุหรือยัง แต่หากเป็นคุณสุภาพสตรีที่ใช้รถอย่างเดียว เผลอๆ อาจลืมเติมลมยางด้วยซ้ำ เจ้า XM2+ ก็นับว่าเป็นคำตอบที่น่าสนใจไม่น้อย ในแง่ความปลอดภัยที่ช่วยให้ระยะเบรกสั้นกว่าตั้งแต่ยางใหม่ไปจนถึงใกล้หมดดอก

ยาง MICHELIN Energy XM2+

เสียงรบกวนกับซับแรงสะเทือนเงียบกว่าคู่แข่งนิดหน่อย

สถานีต่อมาที่เราได้ทดลองขับยังคงใช้รถยี่ห้อเดิม รุ่นเดิม ต่างกันเพียงยางที่ห่อหุ้มล้อแม็กอยู่เท่านั้น ซึ่งครั้งนี้เป็นการทดสอบเรื่องเสียงรบกวนในช่วงความเร็วต่ำขับไม่เกิน 50 กม./ชม. กับการซับแรงสะเทือนจากถนนที่ถ่ายทอดมาสู่ห้องโดยสาร

เริ่มแรกเราขับออกตัวไปด้วยความเร็ว 40 กม./ชม. บนรถที่ติดตั้งยาง MICHELIN Energy XM2+ ความรู้สึกที่สัมผัสได้คือมันเงียบนะ เสียงยางบดถนนหรือที่บางท่านเรียกว่าเสียงยางหอนไม่มีให้ได้ยิน แม้ว่าพื้นผิวถนนจะเป็นแบบคอนกรีตมีรอยต่อชัดเจนก็ตาม ขับเลยมาอีกเล็กน้อยจะมีแท่นเหล็กวางอยู่ติดๆ กัน คาดว่าทำไว้เพื่อจำลองเส้นเตือนหลับในบนถนนทางตรงสายยาว ตรงจุดนี้แรงสะเทือนเรารู้สึกว่าไม่ได้กระด้างสู้มือหรือโยกจนตัวสั่นอะไร มีเพียงเสียงช่วงล่างถูกกระแทกดังตามปกติ

ยาง MICHELIN Energy XM2+

หลังจอดรถสนิทก็สลับมาขับคันที่ติดตั้งยางของคู่แข่งค่ายสีเหลืองรุ่นฮิตกันบ้าง ไม่รอช้าเข้าเกียร์ D กดคันเร่งออกตัวตามรถคันหน้าให้ไว ตอนแรกที่ขับคันใส่ยาง XM+2 ไม่ได้รู้สึกว่าจะดีเลิศเลอขนาดนั้น แต่พอขับคันที่ใส่ยางคนละแบบ ความแตกต่างก็เริ่มลอยมาบอกในหัวเราแบบชัดเจน คือเสียงยางหอนเวลาวิ่งบนทางคอนกรีตดังขึ้นมาแผ่วๆ ในโทนต่ำชัดเจนกว่า เพราะถ้าเป็น XM2+ รายนั้นมันเงียบสนิทไปเลย ต่อมาถึงช่วงถนนที่มีแท่นเหล็กวาง อาการสะเทือนสู้มือก็ค่อนข้างตึงตังกว่าแต่ไม่ถึงกับมากมาย

จากที่ได้สอบถามทีมงานของมิชลินซึ่งนั่งรถคู่กับเราไปด้วย เขาบอกว่ารถทุกคันเติมลมยางหน้า 32 PSI หลัง 30 PSI เท่ากันทุกคัน และเป็นยางใหม่หมด 4 เส้น ก็นับว่าเคลียไม่มีข้อครหาว่าคุณเติมลมยางไม่เท่ากันหรือเปล่าให้สลายไป

ยาง MICHELIN Energy XM2+

สถานีสุดท้ายลองความมั่นใจด้วยความเร็ว

มาถึงการทดสอบสถานีสุดท้ายที่ทางมิชลินบอกเราว่า เป็นการจำลองว่าคุณผู้ใช้งานขับรถไปเที่ยวในต่างจังหวัด ซึ่งบางครั้งอาจเจอสถานการณ์อันไม่คาดฝัน ทั้งมอเตอร์ไซค์ท้องถิ่นเบียดเข้ามาในช่องจราจร หรือต้องเข้าโค้งบนสภาพพื้นผิวเปียกๆ โดยเขาให้ผู้ทดสอบขับรถ 2 คันที่ติดตั้งยาง XM2+ กับยางคู่แข่งชั้นน้ำ

เพื่อไม่เสียเวลาไม้แรกเราขับรถที่ใส่ยางคู่แข่งก่อน โดยใช้ความเร็วอยู่ที่ 40 กม./ชม. แล้วจากนั้นจะเจอทางโค้งตัว U อันมีพื้นผิวถนนเปียก แล้วต้องหักพวงมาลัยจนสุด เรารู้สึกว่ารถมีอาการโยนตัวทำให้เราต้องบังคับพวงมาลัยด้วยความตั้งใจสูง อารมณ์แบบว่าอย่าหลุดโค้งนะไม่อยากขายหน้า เมื่อผ่านพ้นจุดนั้นมาก็ตั้งรถให้ตรงแล้วเหยียบไปที่ความเร็ว 50 กม./ชม. เจอรถจอดเสียอยู่ซ้ายมือ เป็นสถานการณ์บังคับให้ต้องหักหลบกะทันหัน หรือที่ฝรั่งบอกว่า Moose Test ผลคือเราต้องหักพวงมาพร้อมกับพยายามควบคุมไม่ให้รถเสียอาการ เนื่องจากรู้สึกว่ามันโยนยวบไปมากกว่าที่คิดไว้ตอนแรก

ยาง MICHELIN Energy XM2+

หลังลองคันแรกเสร็จก็สลับกลับมาที่รถคันใส่ยางมิชลิน แล้วเราก็ขับออกไปบนเส้นทางเดิม ความรู้สึกเมื่อเข้าโค้งแรกคือพวงมาลัยมีความคมสูงขึ้น หักเลี้ยวน้อยลงแต่รถไปตามทิศทางที่คิดไว้ในสมอง อาการโยนของตัวรถน้อยลงชัดเจนกว่าของคู่แข่ง เช่นเดียวกับตอนหักหลบกะทันหันก็ความมั่นใจไม่ได้กลัวว่ารถจะหลุดออกไปชนกรวยยางที่ตั้งไว้

พอจบการทดสอบทั้งสามสถานี ผมบอกได้เลยว่าประทับใจสถานีสุดท้ายมาก เนื่องจากมันให้ความแตกต่างชัดเจนระหว่างยางของมิชลินและคู่แข่ง แม้ว่าจะไม่ได้ทดสอบยางอีก 3 ยี่ห้อที่เหลือ ก็พอจะรู้ถึงความตั้งใจที่วิศวกรได้ปรับปรุงยางรุ่นนี้ให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าเมืองไทย

สำหรับใครที่สนใจ MICHELIN Energy XM2+ คงต้องรอจนกว่าจะถึงเดือนกรกฎาคมก่อน แต่จากที่ถามไถ่ราคามาทางมิชลินบอกเพียงว่าราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 2,290 บาท มีตั้งแต่ขนาด 14-16 นิ้ว รวมแล้ว 36 ไซส์ยาง

ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com

[ngg src=”galleries” ids=”1157″ display=”basic_thumbnail”]

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่