แม้ในช่วง 1-2 ปี ที่ผ่านมา Honda Forza 750 จะเคยมีข้อมูลระบุว่ามันคือรถสกู๊ตเตอร์รุ่นใหญ่ที่ไม่มีแผนจะถูกนำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย แต่ในตอนนี้ ดูเหมือนเรื่องราวจะเปลี่ยนไปแล้ว และทำไมมันถึงยังน่าสนใจอยู่ล่ะ ?

Honda Forza 750 คือรถมอเตอร์ไซค์แนวสกู๊ตเตอร์ไบค์รุ่นใหญ่สุดที่ทาง Honda เปิดตัวและมีการทำตลาดในยุโรปมาตั้งแต่ปี 2021 โดยแม้จะไม่มีการระบุอย่างเป็นทางการ แต่หลายคนต่างมองว่ามันคือตัวตายตัวแทนของอดีตรถสกู๊ตเตอร์รุ่นใหญ่อย่าง Honda Intega 750 (ไม่ใช่ Honda Integra รถยนต์) ที่เลิกขายไปก่อนหน้านั้นเพียงไม่นาน

โดยจุดเด่นหลักๆของมันก็คือการถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานร่วมกันกับ Honda X-ADV 750 อีกหนึ่งรถมอเตอร์ไซค์อเนกประสงค์ที่ชายไทยหลายคนหลงไหล แต่ด้วยความเป็นรถสกู๊ตเตอร์ที่เน้นการใช้งานแบบลูกผสมกึ่งทางดำกึ่งทางฝุ่น จึงทำให้คนมองว่า Forza 750 อาจจะตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันมากกว่า เพราะมันคือรถที่เกิดมาเพื่อวิ่งบนทางดำ 100% โดยกำเนิด

และแม้มันจะใช้โครงสร้าง หรือเมนเฟรมหลักๆที่ต่อยอดร่วมกับ X-ADV 750 แต่มันก็ได้รับการปรับปรุงชิ้นส่วนเปลือกนอกใหม่ทั้งหมด เพื่อให้สมกับความเป็นรถสกู๊ตเตอร์ทรง GT (Grand Touring) มากขึ้น ทั้งชุดแฟริ่งรอบคันที่แฝงไปด้วยความโฉบเฉี่ยวและพรีเมียมได้อย่างลงตัว บวกกับไฟหน้า LED โคมคู่ขนาดใหญ่ ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ใหม่ที่ส่งทอดมาจนถึง Forza 350 รุ่นล่าสุด

ชิลหน้าเอง ก็เป็นแบบทรงสูง ช่วยบังลมได้อย่างดี แม้จะไม่มีฟังก์ชันระบบปรับไฟฟ้าเหมือนรุ่นน้อง ตัวเบาะนั่งก็ถูกปรับใหม่ เพื่อความสะดวกสบายในการนั่งที่ดีกว่า ทั้งฝั่งผู้ขี่และผู้ซ้อน แถมยังมีความสูงถึงพื้นเพียง 790 มิลลิเมตร เท่านั้น โดยที่ใต้เบาะยังสามารถใส่หมวกกันน็อคเต็มใบได้อีก 1 ใบ ด้วยความจุ 22 ลิตร

และความสะดวกสบายของตัวรถ ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะมันยังมาพร้อมกับชุดหน้าจอมาตรวัดแบบ Full Digital TFT ขนาด 5 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านสัญญาณบลูทูธ และสามารถใช้ระบบสั่งการด้วยเสียง Honda Smartphone Voice Control system ผ่านการใช้งานร่วมกับระบบ Honda RoadSync อีกด้วย

โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องกลัวว่าแบตโทรศัพท์จะหมด เพราะที่ช่องเก็บของเล็กด้านหน้า ก็มีพอร์ทชาร์จไฟ USB มาให้ด้วยไม่ต่างจากรุ่นน้อง และแน่นอนว่าระบบกุญแจก็เป็นแบบ Keyless ทั้งในส่วนของการสตาร์ทรถ และการเปิดเบาะ รวมถึงเปิดฝาถังน้ำมัน

ด้านขุมกำลังของตัวรถ เป็นขุมกำลังเครื่องยนต์เบนซิน 2 สูบเรียง SOHC 4 วาล์ว/สูบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ความจุ 745cc ให้กำลังสูงสุด 58.6 PS ที่ 6,750 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 69 นิวตันเมตร ที่ 4,750 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ หรือ เกียร์ DCT 6 สปีด ที่ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะให้มันทำงานแบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ หรือคุมจังหวะการขึ้น-ลงเกียร์ด้วยตัวเอง ผ่านแป้นกดด้วยปลายนิ้วที่ประกับสวิทช์แฮนด์ด้านซ้าย

จากตัวเลขสมรรถนะในข้างต้น ช่วยให้รถสามารถทำเดินทางจาก 0-50 เมตร ได้ในเวลา 3.9 วินาที และการใช้ความเร็วที่ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะใช้รอบเครื่องยนต์เพียง 2,500 รอบ/นาที เท่านั้น ช่วยให้มันมีอัตราสิ้นเปลืองที่ดีถึง 27.8 กิโลเมตร/ลิตร ตามมาตรฐาน WMTC และเท่ากับว่ารถจะสามารถวิ่งได้ไกลสุดราวๆ 370 กิโลเมตร ต่อน้ำมันเต็มถังขนาด 13.2 ลิตร

นอกจากนี้ ด้วยความที่ตัวรถใช้ระบบคันเร่งไฟฟ้า Throttle By Wire ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้ทั้งหมด 4 รูปแบบ ได้แก่ Rain, Standard, Sport, และ User ซึ่งแต่ละโหมดจะมีลักษณะการเซ็ทระบบการทำงานของเครื่องยนต์กับระบบช่วยเหลือ แม้กระทั่งการทำงานของระบบเกียร์ แตกต่างกันไป

โดยในโหมดการขับขี่สุดท้ายอย่างโหมด User ผู้ใช้จะสามารถเลือกปรับตั้งค่าการทำงานของระบบช่วยเหลือต่างๆได้ตามชอบ ทั้ง ลักษณะการทำงานของระบบเกียร์ 4 ระดับ, กำลังเครื่องยนต์ (Engine Power) และ แรงดึงจากเครื่องยนต์ (Engine Brake) อย่างละ 3 ระดับ กับ ระบบควบคุมแรงบิดเพื่อป้องกันล้อลื่นไถล (Honda Selectable Torque Control) ที่สามารถปรับได้ 3 ระดับ ไม่รวมปิด ขณะที่ระบบ ABS ไม่สามารถปิด หรือปรับค่าใดๆได้ทั้งสิ้น

และแม้ตัวรถจะมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ แต่ด้วยน้ำหนักตัวรวมของเหลวถึง 235 กิโลกรัม กับฐานล้อที่ยาว 1,590 มิลลิเมตร จึงทำให้ระบบกันสะเทือนของมันจะถูกเซ็ทติ้งให้มีความสปอร์ตนิดๆ และองศาแผงคอก็แอบชันหน่อยๆ ด้วยระดับ 27 องศา กับระยะเทรลสั้นเพียง 104 มิลลิเมตร เพื่อเพิ่มความคล่องแคล่วให้กับตัวรถ

โดยตัวโช้กหน้าจะเป็นโช้กอัพหัวกลับขนาดแกน 41 มิลลิเมตร ช่วงยุบ 120 มิลลิเมตร และโช้กหลัง จะเป็นโช้กเดี่ยว ปรับค่าพรีโหลดได้ ช่วงยุบ 120 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับชุดกลไกกระเดื่องทดแรง Pro-Link และสวิงอาร์มอลูมิเนียมแขนคู่

ส่วนชุดล้อจะเป็นล้ออัลลอยด์หน้า-หลัง รัดด้วยยางขนาด 120/70-17 และ 160/60-15 ตามลำดับ ขณะที่ระบบเบรก ด้านหน้าเป็นแบบดิสก์คู่ ขนาด 310 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับปั๊มเรเดียลเมาท์ 4 พอท และด้านหลังดิสก์เดี่ยวขนาด 240 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับปั๊มโฟลทติ้งเมาท์ 1 พอท พร้อมระบบ ABS แบบ Dual-Channel

โดย Honda Forza 750 มีการตั้งราคาวางจำหน่ายในสหราชอาณาจักรที่ 10,499 ปอนด์ หรือราวๆ 460,000 บาท ซึ่งถือว่าถูกกว่าคู่แฝดอย่าง Honda X-ADV 750 อยู่ราวๆ 30,000 บาทด้วยกัน

ดังนั้นหากมันถูกนำมาวางจำหน่ายในประเทศไทย ดังที่กำลังเป็นกระแสข่าวอยู่ในตอนนี้จริง มันก็ควรจะมีราคาวางจำหน่ายในบ้านเราด้วยช่วงไม่เกิน 390,000 – 400,000 บาท เท่านั้น เนื่องจากราคาของ Honda X-ADV 750 ที่วางจำหน่ายในบ้านเรา มีราคาวางจำหน่ายที่ 425,000 บาท นั่นเอง

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่