หลังทำตลาดมาได้ 2 ปีกว่า ก็ถึงเวลาที่ GWM จะทำการปรับปรุงรายละเอียดของ Haval Jolion ใหม่อีกครั้ง โดยในคราวนี้ คือการประเดิมด้วยการเปิดตัวรุ่นย่อยใหม่ กับ “Haval Jolion Sport”

New HAVAL JOLION Sport มาพร้อมกับรูปลักษณ์ภายนอกอันโฉบเฉี่ยว ด้วยนิยาม “Rise Up Your Spirit – เร้าทุกมิติ” เพิ่มความสปอร์ตในทุกเส้นสาย สะท้อนอารมณ์พร้อมทะยานไปทุกเส้นทาง ด้วยดีไซน์แบบ ALL-BLACK ดุดันมากขึ้น ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ บ่งบอกตัวตน ในทุกช่วงเวลาของชีวิต ทั้ง

  • ไฟหน้า LED เต็มรูปแบบ พร้อม Daytime Running Light ดีไซน์ใหม่แบบล้ำสมัย ให้ความรู้สึกสปอร์ต
  • ไฟท้าย LED พร้อมไฟเบรกดวงที่สามแบบ LED เต็มระบบ
  • กระจังหน้า Black Symmetric ดีไซน์ใหม่สีดำล้วน โดดเด่นด้วยโลโก้ HAVAL ใหม่
  • ดิฟฟิวเซอร์ท้าย ดีไซน์ใหม่ สปอร์ตโฉบเฉี่ยวมากกว่าเดิม
  • เพิ่มขอบคิ้วซุ้มล้อ และแผ่นกันกระแทกที่ชายล่างประตู เสริมภาพลักษณ์ความแข็งแกร่ง
  • ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ต ขนาด 18 นิ้ว สีดำล้วน
  • มิติตัวรถขนาดกว้างขวาง ในมิติตัวรถ 1,874 x 4,472 x 1,626 มม. (กว้าง x ยาว x สูง) ระยะฐานล้อ 2,700 มม. ในขนาด Compact SUV
  • อุปกรณ์ตกแต่งแบบ ALL BLACK เช่น กระจกมองข้าง, Roof Rail และ Shark Fin เพื่อเพิ่มความเท่ และสปอร์ตยิ่งขึ้น

งานออกแบบภายในห้องโดยสารของ JOLION Sport โดดเด่นด้วยการออกแบบภายใต้แนวคิด “Futuristic” ที่เน้นความกว้างขวาง สะดวกสบาย และคุมโทนสีแบบ ALL-BLACK ตัดด้วยเส้นสายสีเงิน เพิ่มอารมณ์ความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น เสริมด้วยลูกเล่นสำคัญๆ ได้แก่

  • หน้าจอมัลติมีเดียแบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay, Android Auto, Bluetooth และ MP3 ให้คุณเพลิดเพลินกับการขับขี่ด้วยลำโพงจำนวน 6 ตัว มาพร้อมระบบปรับระดับเสียงอัตโนมัติตามความเร็วรถ
  • หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย-ขวา
  • เกียร์แบบ Electronic Shifter ชุดเกียร์ไฟฟ้า ดีไซน์หรู พร้อมสีพิเศษแบบ High-gloss เท่ทุกจังหวะการขับขี่
  • กุญแจ Smart Key และระบบ Push Start เพื่อความสะดวกสบายในการเปิดประตู หรือ สตาร์ทเครื่องยนต์
  • เบาะหนังสังเคราะห์ดีไซน์สปอร์ต ที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ โอบกระชับ เบาะคนขับสามารถปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทาง เพื่อช่วยจัดท่านั่งให้สบายและอยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นวิสัยทัศน์ได้ดีที่สุด
  • แผงควบคุมที่คอนโซลกลาง พร้อมที่พักแขนและที่วางแก้วน้ำ
  • ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง อีกระดับของความสบาย
  • พื้นที่ห้องโดยสารอเนกประสงค์ เบาะที่นั่งด้านหลังสามารถพับลงได้แบบ 60:40 เพิ่มพื้นที่รองรับกิจกรรมที่หลากหลายตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
  • ช่องต่อ USB สำหรับผู้โดยสารด้านหน้าและหลัง และช่องต่อ USB สำหรับกล้องบันทึกภาพ

HAVAL JOLION Sport ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 1.5L ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังรวมสูงสุด 190 แรงม้า ให้แรงบิดรวมสูงสุด 375 นิวตันเมตร ระบบเกียร์แบบ DHT ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับระบบการขับเคลื่อนที่หลากหลายของรถยนต์ไฮบริด ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้ จะคล้ายกันกับตัวรถรุ่นปีก่อนหน้า

แต่จากที่ทางทีมงาน Ridebuster ทดลองขับชิมลางมา พบว่าทาง GWM แอบมีการปรับจูนการทำงานของระบบคันเร่ง และระบบส่งกำลัง DHT ใหม่ ช่วยให้ผู้ขับสามารถใช้งานพละกำลังจากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าของตัวรถ ได้อย่างกระฉับกระเฉง ติดเท้ามากยิ่งขึ้น และที่สำคัญอีกข้อคือ ระดับความเร็วสูงสูงที่เคยถูกล็อคเอาไว้ที่ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง คราวนี้ก็ได้เพิ่มขึ้นเป็น 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ฝั่งช่วงล่างของตัวรถ ยังคงเป็นแบบเดิมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบเบรกหน้าหลัง แบบดิสก์เบรก และระบบกันสะเทือน ด้านหน้าแบบอิสระแมคเฟอร์สันสตรัท (MacPherson Strut) และด้านหลังแบบทอร์ชันบีม (Vertical Arm Torsion Beam) ซึ่งจากการทดสอบโดยคร่าวๆ พบว่ามันยังไม่ได้สร้างความแตกต่างจากตัวรถรุ่นปีก่อนหน้าเท่าไหน่นัก

นอกนั้นในส่วนของลูกเล่นต่างๆเรียกได้ว่าให้มาเท่าที่จำเป็นจริงๆ นั่นคือ

  • ระบบขับขี่ 4 แบบ ได้แก่ 1) มาตรฐาน 2) สปอร์ต 3) ประหยัด 4) พื้นหิมะ
  • เทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะ (Intelligent Single Pedal) ผู้ขับขี่สามารถเร่งหรือชะลอความเร็วได้เพียงคันเร่งเดียว โดยเมื่อตำแหน่งเกียร์อยู่ที่เกียร์ D ให้เหยียบคันเร่ง หรือยกเท้าออกจากแป้นคันเร่งเท่านั้น จะทำให้รถยนต์เพิ่มความเร็ว หรือลดความเร็ว และจอดรถยนต์อย่างสมบูรณ์
  • กล้องแสดงภาพขณะถอยหลัง เพื่อช่วยเพิ่มมุมมองในการถอยหลังให้ชัดขึ้น
  • ถุุงลมนิรภัยคู่หน้าและด้านข้าง เพื่อปกป้องผู้โดยสารเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ในกรณีที่ถุงลมนิรภัยทำงาน ประตูจะถูก
    ปลดล็อกโดยอัตโนมัติ และรถยนต์จะโทรติดต่อศูนย์ช่วยเหลือฉุกเฉิน พร้อมทั้งสามารถส่งตำแหน่งเพื่อขอความช่วยเหลือได้
  • ระบบช่วยลงทางลาดชัน (HDC) และ ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน (HSA)
  • ระบบตรวจความดันลมยาง (TPMS) โดยรถจะทำการวัดแรงดันลมยางอย่างต่อเนื่องและเตือนผู้ขับขี่หากมีแรงดันลมยางล้อใดลดลง
  • ระบบช่วยเตือนความเมื่อยล้าขณะขับขี่ (DFM) เมื่อผู้ขับขี่ขับรถด้วยความเร็วเฉลี่ยเกิน 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ต่อเนื่องมากกว่า 4 ชั่วโมง ระบบจะแจ้งเตือนและแนะนำให้หยุดพัก ระบบจะเตือนด้วยภาพและเสียงนาน 20 วินาที ทุกๆ 10 นาที
  • ระบบไฟกระพริบเมื่อเบรกรถกระทันหัน (ESS) เมื่อมีการเบรกแบบกระทันหัน ระบบจะเปิดไฟกระพริบเพื่อแจ้งเตือนรถคันหลัง ให้ชะลอความเร็ว
  • ระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการเกิดการชนซ้ำครั้งที่ 2 (SCM) โดยรถจะพยายามรักษาเสถียรภาพเอาไว้เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน
  • เซนเซอร์กะระยะด้านหลัง 3 จุด
  • Auto Break Hold ระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชั่นหยุดอัตโนมัติขณะรถหยุุดนิ่ง
  • ระบบล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อถึงความเร็วที่กำหนด
  • ระบบควบคุุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ (VSS)
  • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล (TCS)

ดังนั้นหากเทียบรายละเอียดออพชันต่างๆแล้ว จะพบว่ามันได้ถูกตัดตอนลูกเล่นไปหลายส่วนเมื่อเทียบกับตัว Ultra ซึ่งทั้งนี้ก็เพราะทาง GWM ตั้งใจให้ตัวรถรุ่นนี้ เป็นรถที่เหมาะกับมนุษย์วัยเริ่มทำงาน ที่มองเพียงเรื่องการขับขี่เป็นหลักอย่างแท้จริง และไม่ได้สนใจเรื่องลูกเล่นต่างๆ ที่ไม่ค่อยได้ใช้ และทำให้ตัวรถมีราคาแพงเกินไปโดยใช่เหตุ

และเมื่อเทียบกับรุ่น Ultra สิ่งที่หายไปอย่างแน่นอน ในตัวรถรุ่น Sport ก็คือในส่วนระบบ ADAS ทั้งหมด หรือหากเทียบกับรุ่น Pro ที่กำลังจะถูกเจ้ารุ่นย่อยใหม่นี้แทนที่

มันก็ยังมีถูกตัดลูกเล่นบางส่วนจากรุ่น Pro ออกไปอีกเล็กน้อยด้วย เช่น ระบบเปิดกระจกข้างแบบ One-Touch ที่จะเหลือเพียงฝั่งผู้ขับเท่านั้น ไม่ได้มีให้กระจกประตูทั้ง 4 บานอีกต่อไป, ระบบกล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา ก็ถูกถอดออก, ระบบ Adaptive Cruise Control ก็ไม่มีมาให้ หรือเพียงระบบล็อคความเร็วธรรมดาๆเท่านั้น

เรียกได้ว่าเจ้า Jolion Sport นั้น ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเน้นการใช้งานเท่าที่จำเป็นอย่างแท้จริง แต่มันจะคุ้มค่าหรือไม่ ? ยังไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ทั้งสิ้นในตอนนี้ จนกว่าจะถึงวันประกาศราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 25 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่