ทุกวันนี้เราเห็นโฆษณารถยนต์มากมายอวดอ้างสรรพคุณว่าแรงอย่างนั้น ประหยัดน้ำมันอย่างนี้ แต่เอาเข้าจริงแล้วมีการสำรวจพบว่า รถยนต์ที่ขายอยู่ในท้องตลาดกินน้ำมันมากกว่าที่ระบุถึง 75% เลยทีเดียว

 

น่าตกใจมากเมื่อรู้ว่ารถเครื่องดีเซลที่ออกขายในปี 2016 เป็นกลุ่มรถที่เผาพลาญน้ำมันมากที่สุด โดยข้อมูลที่น่าสนใจนี้ถูกเปิดเผยโดย Carly บริษัทผู้พัฒนาแอพฯ Connected Car บนสมาร์ทโฟนที่ทำงานบน iOS รวมถึง Android ซึ่งมีการรวบรวมข้อมูลจากผู้ใช้แอพฯ จำนวนกว่า 1 ล้านคนทั่วโลก พร้อมด้วยตรวจดูแนวโน้มความประหยัดน้ำมันตลอดทุกปี ในช่วงเวลาระหว่างปี 2004 ถึงปี 2016 และผลลัพธ์คือ… รถยนต์ส่วนใหญ่บนท้องถนนกินน้ำมันกว่าที่ระบุไว้ตามคำโฆษณาถึง 75% นี่อาจดูเหมือนเรื่องเล็กน้อย แต่หากพูดกันตามจริงแล้วมันกำลังบอกอะไรเราอยู่หรือเปล่า?

 

รถกินน้ำมัน
Connected car แอพพลิเคชั่นจาก Carly ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจจากผู้ใช้รถกว่า 1 ล้านคัน ตั้งแต่ปี 2004 ถึง 2016

 

จากข้อมูลที่น่าสนใจนี้มีส่วนหนึ่งระบุว่า ในปี 2016 รถยนต์เครื่องดีเซลที่จำหน่ายในปีนั้นทั้งหมดกินน้ำมันกว่าที่ระบุไว้ถึง 75% นับว่าเป็นปีที่ความจริงกับคำโฆษณาคลาดเคลื่อนต่างกันหรือแย่มากที่สุด โดยคาร์ลีได้ประเมินว่าผู้ขับขี่ที่ขับรถระยะทาง 12,000 ไมล์ (19,300 กิโลเมตร) ต่อปีอาจจ่ายน้ำมันถึง 1,152 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 36,864 บาท) ซึ่งมากกว่าที่คาดไว้

 

รถกินน้ำมัน
ปี 2016 คือช่วงที่บรรดาค่ายรถระบุอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันไว้สูงกว่าความจริงถึง 75% นี่นับว่าเป็นปีที่แย่ที่สุด

 

นี่อาจเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาเรื่องการโกงค่าไอเสียดีเซลที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน เพราะค่ายรถทราบดีว่าลูกค้าต้องการรถยนต์ที่แรง ส่วนรัฐบาลของแต่ละประเทศต้องการรถที่ปล่อยมลพิษน้อย ทว่าการทำเช่นนั้นต้องใช้งบพัฒนาวิจัยจำนวนมหาศาล ซึ่งแน่นอนว่าการบอกข้อมูลที่ทำบนเงื่อนไขในห้องทดลองนั้นให้ความประหยัดน้ำมันสูงกว่าความเป็นจริง แต่เมื่อลูกค้าใช้งานจริงบนถนนนั้นย่อมต้องกินน้ำมันมากกว่าอยู่แล้ว แต่ทางผู้ผลิตก็สามารถยืนยันได้ว่าพวกเขาได้ทดสอบแล้วในทางทฤษฎี

 

ถามว่าเมื่อใดที่เราจะได้เห็นตัวเลขอย่างเป็นทางการที่ตรงกับการใช้งานจริงมากที่สุด เราทราบมาว่าภายใน 6 เดือนนับจากนี้ทางสหภาพยุโรปจะออกมาตรฐานเกี่ยวกับค่าไอเสีย รวมถึงกำหนดวิธีการทดสอบความประหยัดน้ำมันใหม่หมด ที่สามารถจำลองสถานการณ์จริงขณะที่ผู้บริโภคใช้รถของพวกเขาขับไปบนท้องถนน ซึ่งมาตรฐานใหม่นี้จะเริ่มใช้งานจริงได้ตอนต้นปี 2019 ที่จะถึงนี้

 

ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com

 

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่