ในที่สุดค่ายรถเยอรมันจากแคว้นบาวาเรียก็เผยแผนลุยตลาดรถไฟฟ้าระยะยาว โดยพวกเขาเตรียมแนะนำยานยนต์รักษ์โลก e-roadmap จำนวน 25 โมเดลตั้งแต่ปีหน้าจนถึงปี 2025 แน่นอนว่าแม้จะรู้สึกตัวช้ากว่าคู่แข่งหน้าใหม่อย่าง Tesla แต่การออกมาเผยข้อมูลครั้งนี้ก็นับว่าเป็นนิมิตรหมายอันดีต่อวงการรถยนต์ 

 

 

BMW รุกตลาดรถไฟฟ้าหมดหน้าตักด้วยการเผยแผนเปิดตัวรถรุ่นใหม่ 25 รุ่น ตั้งแต่วันนี้จนถึงปี 2025 โดยจะเป็นรถไฟฟ้า 100% จำนวน 12 คัน สำหรับโมเดลล่าสุดที่เตรียมจะเปิดภายในปี 2018 ก็คือ BMW i8 Roadster สปอร์ตคาร์เวอร์ชั่นปรับปรุงใหม่ที่มีประสิทธิภาพและแรงเพิ่มขึ้นกว่า i8 รุ่นก่อนหน้า

 

i8 Roadster เป็นรถคันแรกที่ถูกออกแบบสร้างสรรค์ภายใต้เทคโนโลยีรถไฟฟ้าเจนฯ ที่ 4 ของ BMW หลังจากนั้นภายในปีเดียวกันจะเป็นคิวของ Mini Cooper SE Countryman All4 ครอสโอเวอร์เอสยูวีคันใหญ่สุดของตระกูลมินิ ส่วนใครที่รอคอยรถไฟฟ้า 100% ก็รอดูเจ้า Mini BEV ที่จะเปิดตัวภายในปี 2019 รอชมว่ามันจะอัดแน่นเทคโนโลยีอะไรมาบ้าง แล้วก็ต่อด้วยเอสยูวีไฟฟ้าล้วนคันแรกอย่าง BMW X3 BEV ปี 2020 และท้ายสุดเป็นคิวของ BMW iNEXT รถผู้สานต่อเจตนารมณ์ของ BMW i3 ให้รุ่งเรืองสืบต่อไป

 

 

BMW iNEXT คือรถคันแรกภายใต้เทคโนโลยีรถไฟฟ้าเจนฯ ที่ 5 ซึ่งจะออกมาอวดโฉมภายในปี 2021 โดยสิ่งที่เป็นไฮไลต์ของเทคโนโลยีนี้แท้จริงก็คือ การแชร์เรื่องโครงสร้างพื้นฐานของรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ที่สามารถปรับเปลี่ยนไปใช้กับรถขับเคลื่อนล้อหน้า ขับหลัง หรือขับเคลื่อนทั้งสี่ล้อ ในระบบเครื่องยนต์ไฮบริดหรือไฟฟ้าล้วน นอกจากนี้บรรดารถที่จะเปิดตัวใหม่ยังมาพร้อมกับระบบขับขี่อัตโนมัติ

 

 

รถไฟฟ้ารุ่นใหม่ของ BMW จะมาพร้อมฟีเจอร์ HEAT (High-integrated Electric Drive Train) ที่รวมเอามอเตอร์ไฟฟ้า ระบบเกียร์ และระบบอิเล็กทรอนิกส์ไว้รวมกันในกล่องอลูมิเนียมใบเดียว นอกจากนี้ตัวแบตเตอรียังมีถึง 3 ขนาด ได้แก่ ความจุ 60 kWh วิ่งได้ราว 450 กิโลเมตร, ความจุ 90 kWh วิ่งได้ราว 550 กิโลเมตร และ 120 kWh วิ่งได้ราว 700 กิโลเมตร

ขณะเดียวกันการใช้ชื่อรุ่นย่อยเช่น 30e กับ 40e  ในอนาคตจะเป็นตัวบ่งบอกสมรรถนะรวมถึงระยะทางที่รถสามารถวิ่งได้ ซึ่งจะใช้ตั้งแต่รถขนาดเล็กไปถึงรถยนต์นั่งสำหรับผู้บริหาร แต่เฉพาะรุ่น 50e จะอยู่ในรถรุ่นหรูหราเท่านั้น

 

 

ขุมพลังรถไฟฟ้าของค่ายใบพัดฟ้าขาวจะเป็นแบบวางด้านหน้าแล้วขับเคลื่อนสู่ล้อหน้า โดยจะให้กำลังทั้งสิ้น 134 แรงม้า รวมถึงสามารถวิ่งได้ราว 300 กิโลเมตร นอกจากนี้ในรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังจะถูกอัพเกรดความแรงชนิดที่ว่าระดับ 268 แรงม้า ซึ่งทางผู้ผลิตมั่นใจว่ารถจะถีบออกตัวจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลา 6-9 วินาที ยิ่งไปกว่านั้นหากลูกค้าต้องการระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ทางบีเอ็มดับเบิลยูก็พร้อมที่จะติดตั้งให้

หากม้าจำนวน 268 ตัวไม่เพียงพอต่อแรงเท้าของคุณ ทางบีเอ็มฯ มีรถเวอร์ชั่นแรงที่ติดตั้งมอเตอร์ทรงพลังดังกล่าวไว้ 3 ตัว โดยตัวแรกติดตั้งบริเวณด้านหน้าอีกสองตัวอยู่ที่ด้านหลัง ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วคุณจะได้ฝูงม้าจำนวนมากถึง 800 ตัวภายในรถสุดรักษ์โลก อีกทั้งยังทำให้อัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่งสู่หนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ต่ำกว่า 3 วินาที

 

 

ในภาพจะเห็นว่าขุมพลังไฟฟ้าจะมีหลายขนาดให้เลือก เริ่มจากบล็อกเล็กสุด 134 แรงม้า และ 255 แรงม้า ติดตั้งไว้ใน BEV ระดับเริ่มต้น สำหรับรถเวอร์ชั่นแรงสายซิ่งมีฝูงม้ามากถึง 335 ตัว และรุ่นแรงสุดจะมีมากกว่า 402 แรงม้า นอกจากนี้บีเอ็มฯ ก็ไม่ได้ทิ้งรถรุ่นปลั๊กอินไฮบริด เพราะพวกเขาได้พัฒนาระบบรุ่นใหม่ที่มีพละกำลัง 201 แรงม้า

 

 

ช่วยเป็นกำลังใจให้เรา

 

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่