หลายคนกำลังใส่ใจปัญหาเรื่องฝุ่นควันอาจสงสัยว่ารถยนต์ที่ใช้อยู่ มีระบบปรับอากาศที่สามารถป้องกันอากาศไม่ดีเหล่านั้นได้แค่ไหน วันนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจ

ดูเหมือนว่าปัญหาฝุ่นควันพิษจะมาเยี่ยมเยือนคนไทยในช่วงปลายปีคาบเกี่ยวปีใหม่เสมอ หลายคนที่ใช้รถเป็นประจำทุกวันเริ่มมีความวิตกกังวลว่า เครื่องปรับอากาศติดรถนั้นสามารถป้องกันฝุ่นควันพิษต่างๆ ได้ดีขนาดไหน วันนี้เราจึงจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักถึงแอร์รถยนต์ และเทคโนโลยีต่างๆ ที่บรรดาค่ายรถใส่มาให้เพื่อสุขภาพของคุณผู้ใช้รถ

 

ไส้กรองแอร์รถยนต์ของมาตรฐานติดรถกรองได้ดีขนาดไหน?

เริ่มหัวข้อกันด้วยคำถามที่ผู้อ่านมีความสงสัยใคร่รู้มากที่สุด ว่าเจ้ากรองแอร์สีขาวหรือสีออกเทาเข้มไปจนถึงดำในบางรุ่น มาพร้อมกับความสามารถในระดับใดในการกรองฝุ่นควันมิให้เข้ามา โดยปกติแล้วไส้กรองแอร์รถยนต์ในแบบพื้นฐาน มีประสิทธิภาพในการป้องกันมิให้ฝุ่นละอองขนาดเล็กเล็ดลอดเข้ามาภายในรถได้ระดับหนึ่ง

แต่หน้าที่หลักๆ ของกรองแอร์ปกติคือช่วยดักจับฝุ่นละอองในอากาศ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของแอร์ให้ดียิ่งขึ้น สำหรับรถบางยี่ห้อที่ไม่มีกรองแอร์มาให้ ก็อาจมีสิ่งสกปรกต่างๆ เช่น ฝุ่น เกสรดอกไม้ กระดาษ เศษใบไม้ เข้ามาติดอยู่กับคอยล์เย็น ส่งผลให้แอร์ไม่เย็นเท่าที่ควร ระบบปรับอากาศทำงานหนักขึ้น และกรณีที่เจ้าของรถไม่ได้เปลี่ยนกรองแอร์เลย อาจเปลี่ยนตัวป้องกันฝุ่นกลายเป็นแหล่งสร้างภัยโรคภูมิแพ้แทน

ต่อมาเป็นประเด็นที่ว่ากรองแอร์ติดรถกรองฝุ่นขนาดเล็กระดับ PM 2.5 ได้หรือเปล่า? จากการวัดด้วยเครื่องตรวจสอบฝุ่นแบบพกพาระหว่างขับรถยนต์ของผู้เขียน ซึ่งใช้กรองแอร์แบบปกติชิ้นละไม่กี่ร้อยบาท ในสถานการณ์ที่ภายนอกเต็มไปฝุ่นตัวเลขพุ่งถึงหลัก 100+ แต่ภายในรถมีฝุ่นละอองดังกล่าวอยู่ในช่วง 10-15 หน่วย ถือว่าสอบผ่านสำหรับคนที่ไม่คิดจะเปลี่ยนกรองเป็นแบบที่โฆษณาว่าป้องกันฝุ่น PM 2.5 ซึ่งล้วนแล้วมีราคาแพง

บางคนอาจพบเห็นว่ามีผู้ใช้รถยนต์แบรนด์หรูจากยุโรป อย่าง Mercedes-Benz ที่โพสลงเฟสบุ๊คหรือทวิตเตอร์ว่า เครื่องวัดฝุ่นละอองขนาดเล็กพบค่าฝุ่นในระดับต่ำมากเพียง 1-4 หน่วย ซึ่งนี่สอดคล้องกับข้อมูลอย่างเป็นทางการจากผู้ผลิตค่ายตราดาว ที่ระบุเอาไว้ว่าไส้กรองอากาศแอร์แท้ของเบนซ์ฯ สามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็ก (Fine Particles) ได้สูงถึง 93% เพื่อให้อากาศภายในห้องโดยสารนั้นสะอาด ปลอดภัยจากฝุ่นละอองหรือควันรถยนต์ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

มาดูฝั่งสวีเดนกันบ้างทาง Volvo เขาก็มีฟีเจอร์ Cleanzone ที่มีระบบ Interior Air Quality System (IAQS) คอยตรวจจับอากาศที่ไหลเวียนเข้าสู่ห้องโดยสารจากภายนอก หากระบบตรวจพบว่าอากาศมีฝุ่นละออง ก๊าซพิษ หรือสารใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดอันตราย ระบบจะทำการปิดช่อง​อากาศ​ที่เข้ามาจากภายนอกรถ ​และ​การ​หมุนเวียน​อากาศ​จะทำงาน

สำหรับการใช้งานทั่วไปแค่กรองแอร์ปกติก็ทำหน้าที่ได้เหมาะสม แต่หากใครมีความกังวลใจว่ากรองเดิมๆ จะป้องกันได้ไม่ดีพอ การซื้อกรองแอร์ที่การันตีว่ากรองฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 ได้ก็ไม่ใช่เรื่องขัดข้องแต่ประการใด เพราะยังไงกรองที่มีฟีเจอร์ดังกล่าวช่วยให้คุณหายใจได้อากาศที่สะอาดขึ้นกว่าอยู่แล้ว

ระบบฟอกอากาศในรถยนต์ หรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องมีอะไรบ้าง?

บรรดาผู้ผลิตรถยนต์ต่างรู้ดึถึงความต้องการที่เหนือกว่าของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นสุขภาพที่ละเอียดอ่อนในลูกค้าบางกลุ่ม นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมรถยนต์บางยี่ห้อบางรุ่นถึงมีการติดตั้งระบบฟอกอากาศ รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ ที่มาคอยช่วยกรองและกำจัดฝุ่นรวมถึงก๊าซพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์

เริ่มด้วยระบบฟอกอากาศในรถยนต์ที่คุ้นหน้าคุ้นหูคนไทยมากที่สุด นั่นก็คือ nanoeTM ที่มีบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำ Panasonic เป็นผู้คิดค้น ซึ่งบริษัทรถยนต์จากญี่ปุ่น อาทิ Toyota, Mistubishi, Suzuki, Mazda และ Subaru มีการซื้อเทคโนโลยีดังกล่าวไปติดตั้งกับเครื่องปรับอากาศบนรถที่ขายสู่ตลาด

เครื่องปรับอากาศที่มาพร้อมเทคโนโลยี nanoeTM จะปล่อยอนุภาคที่ประกอบด้วยน้ำกับอนุมูล OH ระดับ 5-20 นาโนเมตร ออกมาช่วยกำจัดกลิ่น ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและไวรัส รวมถึงมีประสิทธิภาพในการกำจัดฝุ่นเพื่อสภาพแวดล้อมภายในห้องโดยสารรถยนต์ให้สดชื่นและสะอาดยิ่งขึ้น

โดยรถที่มีระบบดังกล่าวติดตั้งและขายอยู่ในเมืองไทยเท่าที่เรารวบรวมข้อมูลมาได้มีดังนี้ Toyota Altis รุ่น Hybrid High, Toyota C-HR รุ่น HV Hi, Toyota Camry Hybrid ต่อมาเป็น Mitsubishi Pajero Sport รุ่น 2WD-4WD GT Premium นอกเหนือจากนี้ยังพบข้อมูลการมีอยู่ของระบบฟอกอากาศจากพานาโซนิค

จบกันไปสั้นๆ สำหรับเรื่องเครื่องปรับอากาศในรถยนต์ว่ามีประสิทธิภาพในการกรองฝุ่นขนาดไหน เราหวังว่าผู้อ่านจะคลายกังวลกับสถานการณ์ที่มีฝุ่นควันปกคลุมหลายพื้นที่ในประเทศไทย ส่วนใครที่รู้ตัวว่าตนเองหรือคนในครอบครัวเป็นภูมิแพ้ เราแนะนำว่าควรหาเปลี่ยนกรองแอร์ให้เป็นแบบที่กรองฝุ่นได้ละเอียด ไม่ก็ซื้อหาเครื่องฟอกอากาศติดรถยนต์เอาไว้ในช่วงอากาศแย่จะเหมาะสมกว่า

ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเราทีมงาน Ridebuster.com

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่