ออสเตรเลียเป็นประเทศล่าสุดที่เปิดตัว Honda CR-V เจเนอเรชันที่ 6 อย่างเป็นทางการโดยคาดว่าเป็นรถนำเข้าจากเมืองไทยนั่นเอง

หล่อทั้งคันตั้งแต่กระจังหน้าดีไซน์พิมพ์นิยมแบบ Piano Black ตกแต่งด้วยโครเมียม กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว ปรับไฟฟ้าพร้อมพับเก็บอัตโนมัติ ไฟหน้าและไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED และไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ LED Sequential ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED ไฟท้ายแบบ LED หลังคาซันรูฟไฟฟ้าแบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof) ฝากระโปรงท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า เสาอากาศครีบฉลาม ปลอกท่อไอเสียสเตนเลสคู่ ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาด 18 นิ้ว

พร้อมการตกแต่งสไตล์ RS เอกซ์คลูซีฟรอบคันด้วยสัญลักษณ์ RS บนกระจังหน้า กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวสีดำ Piano Black  กันชนหน้าและหลังสีเดียวกับตัวรถ ชายกันกระแทกด้านข้างสีเดียวกับตัวรถ คิ้วตกแต่งประตูข้างสีดำ Gloss Black ไฟตัดหมอกหลังแบบ LED  สปอยเลอร์หลังสีเดียวกับตัวรถและสีดำ Piano Black เสาอากาศครีบฉลามสีดำ Piano Black  ล้ออัลลอย 19 นิ้ว

ภายในห้องโดยสารกว้างขวางพร้อมเติมเต็มประสบการณ์ที่ดีตลอดเส้นทางตกแต่งภายในลายอะลูมิเนียมปัดเงาและสีดำ Piano Black เบาะหนังสีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดง พวงมาลัยสีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดง แป้นเหยียบคันเร่งและเบรกแบบสปอร์ตครบครัน ควบคุมประตูแบบอัจฉริยะ พร้อม Honda Smart Key Card ไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร (Ambient Light) ระบบฟอกอากาศภายในห้องโดยสาร Plasmacluster ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้าย/ขวา แบบ i-Dual Zone ช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารแถวที่ 3 ไฟอ่านหนังสือด้านหลัง LED แบบสัมผัส

พร้อมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ด้วยเบาะโดยสารแบบ 5 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง เชื่อมต่อไลฟ์สไตล์แบบสมาร์ต กับหลากหลายเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ทั้ง ระบบแสดงข้อมูลบนกระจกหน้า (Head-up Display: HUD) เครื่องเสียง BOSE พร้อมลำโพง 12 ตำแหน่ง ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ เครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสแบบ Advanced Touch ขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สาย Android Auto

มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 10.2 นิ้ว (ยกเว้นรุ่น E ขนาด 7 นิ้ว) อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) ช่องเชื่อมต่อ USB 4 ตำแหน่ง (USB Type-C 3 ตำแหน่ง ได้แก่ ด้านหน้า 1 ตำแหน่ง และด้านหลัง  2 ตำแหน่ง)

ขับเคลื่อนสู่ทุกจุดหมายอย่างมั่นใจ กับทางเลือก 2 ขุมพลังที่พร้อมตอบโจทย์ทุกการขับขี่ รุ่น ทั้งเบนซิน e:HEV 2.0 ลิตร ให้กำลัง 148 แรงม้า แรงบิด 183 นิวตันเมตร ในภาคเครื่องยนต์พร้อม มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive) ให้กำลัง 184 แรงม้า แรงบิด 335 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกันจะได้พลังแรงสุด 207 แรงม้า

พร้อมโหมดการทำงานได้อย่างชาญฉลาด เหมาะสมกับการขับขี่ในทุกสถานการณ์ใน 3 โหมด ได้แก่ โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) และโหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode) คู่กับเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) แต่ว่ารุ่นนี้ขายแค่ขับหน้าเท่านั้น และเบนซินเทอร์โบ Di VTEC TURBO 1.5 ลิตร 190 แรงม้า แรงบิด 240 นิวตันเมตรคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT ทั้งคู่เลือกได้ทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD

ความปลอดภัย Honda SENSING ให้ครบในทุกรุ่นย่อยตั้งแต่ ผสานการทำงานของกล้องด้านหน้าและเรดาร์ ในการตรวจจับรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีฟังก์ชันการทำงานหลัก ๆ ดังนี้ ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS), ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS) เตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning : RDM with LDW) ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF) ปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB) ไฟหน้า LED อัจฉริยะ (Adaptive Driving Beam: ADB) และ เตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)

Honda CR-V ใหม่ จำหน่ายที่ออสเตรลีย มีให้เลือกทั้งหมด 7 รุ่นย่อย ในราคาเริ่มต้น $44,500- $59,900 หรือ 1,021,000-1,371,000 บาท ขายจริง 1 กันยายนนี้

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่