นอกจากการปรับ Honda CB500X เป็น Honda NX500 ในวาระเดียวกันนี้เอง ทาง Honda ก็ไม่ลืมที่จะปรับโฉม Honda CBR500R ร่างปี 2024 และแน่นอนว่ามันเองก็มาพร้อมกับการปรับออพชันที่น่าสนใจขึ้นมากเช่นกัน

2024 Honda CBR500R คืออีกหนึ่งรถมอเตอร์ไซค์จากทางค่ายปีกนกที่ได้รับการปรับโฉมครั้งใหญ่ และเปิดตัวออกมาในงาน EICMA Show 2023

โดยหลังจากที่ในตัวรถเจเนอเรชันที่ 4 หรือรุ่นก่อนหน้า ไม่ได้มีการปรับงานออกแบบภายนอกใดๆ นอกไปจากการใส่ออพชันสุดคุ้มในฝั่งระบบช่วงล่าง

คราวนี้ CBR500R รุ่นใหม่ล่าสุดก็มาพร้อมกับการปรับเปลี่ยนงานดีไซน์แฟริ่งเปลือกนอกใหม่ที่ทำให้มันดูโดดเด่นสะดุดตา และใกล้เคียงกับเหล่ารถซุปเปอร์สปอร์ต หรือ สปอร์ตเรพลิก้า รหัส “RR” มากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ชุดแฟริ่งหน้าใหม่ ที่ดูแหลมและลู่ลมกว่าเดิม แถมยังครอบทับบนชุดไฟ LED คู่หน้าแบบใหม่ ซึ่งดูเฉียบคมมากขึ้น พร้อมขั้นกลางด้วยช่องดักลม ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจาก CBR1000RR-R

ไม่เพียงเท่านั้น ตัวแฟริ่งข้างเอง ก็มีกลิ่นอายที่ได้มาจากพี่ใหญ่ด้วยเช่นกัน กับแฟริ่งแบบซ้อนกัน 2 ชั้น พร้อมครีบไล่อากาศด้านใน เพื่อความลู่ลมในช่วงความเร็วสูงที่มากขึ้น แม้กระทั่งแฟริ่งอกล่าง ก็ยังไม่ลืมที่จะออกแบบให้มีช่องระบายลม 2 ชั้น

ด้านถังน้ำมัน ยังคงมีรูปทรงเหมือนเดิม และความจุเท่าเดิมที่ 17.1 ลิตร แต่ในด้านชุดแฟริ่งใต้ถังได้ถูกปรับใหม่ ให้รับเข้ากับความสปอร์ตของชุดแฟริ่งหน้าและแฟริ่งข้างมากขึ้น เช่นเดียวกับช่วงครึ่งท้าย ซึ่งหากมองผ่านตา อาจรู้สึกไม่ต่างกัน ทั้งแฟริ่งใต้เบาะคนซ้อน ขายึดทะเบียนกับบังโคลน และปลายท่อไอเสีย

แต่ในความจริงแล้วมันได้รับการเปลี่ยนชุดไฟท้าย LED แบบใหม่ ที่ดูเรียวยาวมากขึ้น ช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ความปราดเปรียวให้กับตัวรถได้เป็นอย่างดีเมื่อมองจากด้านหลัง

จุดเปลี่ยนสำคัญ ในเรื่องออพชันที่เห็นได้ด้วยตายังไม่หมดแค่นั้น เพราะมันยังได้รับการติดตั้งชุดหน้าจอมาตรวัดแบบ Full Digital TFT ขนาด 5 นิ้ว แบบเดียวกับ Honda NX500 ซึ่งหมายความว่ามันรองรับการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือทั้ง iOS และ Android ได้ผ่านระบบ Honda RoadSync

และเพื่อการควบคุมหน้าจอที่มีลูกเล่นยิบย่อยเยอะกว่าเดิม ตัวประกับแฮนด์ด้านซ้ายของมัน ก็ถูกปรับใหม่ ให้มาพร้อมกับปุ่มควบคุมแบบใหม่ นั่นคือปุ่มกดแบบ 4 ทิศทาง ซึ่งสามารถใช้ในการเล่นเพลง เพิ่มเสียง ลดเสียง หรือป้อนคำสั่งในส่วนของระบบนำทางได้เลย หากคุณมีบลูทูธติดหมวกกันน็อกไว้ใช้งานอยู่แล้ว

ขุมกำลังของตัวรถ ยังคงเป็นบล็อค 2 สูบเรียง DOHC 4 วาล์ว/สูบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาด 471cc เท่าเดิม และยังคงให้กำลังสูงสุด 47.6 PS ที่ 8,600 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 43 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบ/นาที เหมือนเดิม ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ทำงานร่วมกับระบบกลไกสลิปเปอร์คลัทช์ เช่นเดิม

และเช่นเดียวกันกับ Honda NX500 ฝั่งขุมกำลังของ CBR500R เจเนอเรชันที่ 5 นี้เอง ทาง Honda ก็ได้ถูกปรับจูนระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง และกล่อง ECU ใหม่เพื่อให้เครื่องยนต์สามารถเรียกอัตราเร่งที่ติดมือได้มากขึ้นอีกนิดเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงรอบต่ำ-กลาง

ดังนั้น มันจึงได้รับการใส่ระบบ Honda Selectable Torque Control (HSTC) หรือระบบควบคุมแรงบิด ป้องกันการลื่นไถลของล้อหลังขณะมีอัตราเร่งมาให้ด้วย เพื่อความปลอดภัยของผู้ขี่

ในด้านชิ้นส่วนโครงสร้างหลักของตัวรถ ยังคงใช้ชุดเฟรมโครงเหล็ก 35 มิลลิเมตร Steel diamond-tube ดังเดิม และยังคงให้ระบบกันสะเทือนโช้กหัวกลับขนาดแกน 41 มิลลิเมตร พร้อมกลไกภายใน Separate Function Fork Big Piston (SFF-BP) ทางด้านหน้า และโช้กต้นเดี่ยว ปรับเซ็ทพรีโหลดได้ 5 ระดับ ทำงานร่วมกระเดื่องทดแรง และสวิงอาร์มเหล็กกล่องแขนคู่เช่นเดิม ไม่ได้มีการปรับแต่งใหม่ใดๆทั้งสิ้น

ระบบเบรกที่จัดเต็มอยู่แล้ว ก็ยังคงเป็นแบบ เรเดียลเมาท์คาลิปเปอร์ 4 พอท ทำงานร่วมกับจานเบรกขนาด 296 มิลลิเมตร 2 ชุด (ดิสก์คู่) ทางด้านหน้า และแบบแอกเซียลเมาท์คาลิปเปอร์ 1 พอท ทำงานร่วมกับจานเบรกขนาด 240 มิลลิเมตร 1 ชุด (ดิสก์เดี่ยว) ทางด้านหลัง ดังเดิม ไม่ได้มีการระบุถึงความเปลี่ยนแปลงใดๆ

ขณะที่ชุดล้ออัลลอยด์ที่หน้ากว้าง 3.5 นิ้ว ด้านหน้า และหน้ากว้าง 4.5 นิ้วด้านหลัง ก็ยังคงรัดด้วยยางไซส์เดิม คือ 120/70-17 และ 160/60-17 ตามลำดับ เพียงแต่รุ่นยางถูกเปลี่ยนใหม่ จาก Michellin Pilot Road 5 เป็น Michellin Pilot Road 6 เรียบร้อยแล้ว

ด้านข้อมูลรายละเอียดตัวรถอื่นๆ ยังคงเหมือนเดิมเกือบทุกประการ ไม่ว่าจะเป็น มิติตัวรถ ด้านยาว 2,080 มิลลิเมตร, ด้านกว้าง 760 มิลลิเมตร, ด้านสูง 1,145 มิลลิเมตร, ระยะฐานล้อ 1,410 มิลลิเมตร, องศาแผงคอ 25.5 องศา/ระยะเทรล 102 มิลลิเมตร, ความสูงเบาะ 785 มิลลิเมตร, และ ความสูงใต้ท้องรถ 130 มิลลิเมตร

แม้แต่อัตราการถ่ายน้ำหนักหน้า-หลัง ก็ยังคงเท่าเดิม ที่ 50.7 : 49.3 เว้นเพียงน้ำหนักตัวรถ ซึ่งเบาลงกว่าเดิม 1 กิโลกรัม เหลือ 191 กิโลกรัม เท่านั้น ที่เปลี่ยนไป ซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นเพราะชุดแฟริ่งใหม่ก็เท่านั้น

และเนื่องจากนับตั้งแต่ Honda CBR500R เจเนอเรชันแรก มันก็ได้ถูกผลิตและประกอบในประเทศไทยมาโดยตลอด ดังนั้นตัวรถรุ่นใหม่ล่าสุด เจเนอเรชันที่ 5 ปี 2024 นี้ ก็จะต้องถูกผลิตในบ้านเราด้วยเช่นกัน และนั่นก็จะส่งผลให้กำหนดการเปิดตัวในไทยเอง ไม่ได้มีความล่าช้าไปจากการเปิดตัวแบบ Wolrd Premiere เท่าไหร่นัก

หรือสรุปง่ายๆเลยก็คือ สำหรับใครที่รอคอยการมาของมันกันอยู่ ภายในสิ้นเดือนนี้ เราอาจจะได้เห็นรถตัวจริงกันแล้ว ที่งาน Motor Expo 2023 นั่นเอง

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่