ในวันที่เร่งรีบคุณสตาร์ทรถไม่ติด แบตเตอร์รี่ (ฺBattery) กลายเป็นจำเลยสำคัญที่หลายคนมักจะลืมดูแมันไปอย่างไม่น่าเชื่อ แบตเตอร์รี่รถยนต์ ปกติ มีอายุการใช้งาน 2 ปี และ นานกว่านั้นสำหรับแบตเตอร์รี่น้ำ รวมถึงรถยนต์ที่ใช้งานประจำต่อเนื่อง

แต่เรื่องน่าแปลเกิดขึ้น เมื่อเราจะต้อพงเปลี่ยนแบตเตอร์รี่ มักได้ยินคำพูด ทั้งจากเพื่อนที่เชี่ยวชาญเรื่องรถ ไปจนถึงร้านแบตเตอร์รี่  ว่า เราควรเปลี่ยนแบตเตอร์รี่ ให้มีความจุไฟฟ้ามากขึ้น (แอมป์ฮาว Ah สูงขึ้น) ด้วยเหตุว่า สตาร์ทง่ายและขับดีกว่า…. แบตเตอร์รี่เดิม จากโรงงาน

แบตเตอร์รี่รถยนต์

การเพิ่มขนาดความจุไฟแบตเตอร์รี่ใหญ่ขึ้น ตามมาด้วยค่าตัวที่พุ่งสูงขึ้น แม้นว่าบางครั้งมันจะเพิ่มไม่มาก แต่คุณจะจ่ายเงินเพิ่ม 500-1000 บาททำไม ในเมื่อขนาดเดิมอาจจะพอเพียงต่อการใช้งาน และไม่ได้มีความจำเป็นเลยจะต้องเพิ่มขนาดประจุจากเดิมที่ผู้ผลิตแนะนำ

ความคิดเปลี่ยนแบตเตอร์รี่ใหม่ให้ใหญ่ขึ้นเมื่อมีโอกาส อยู่กับคนไทยมาช้านาน ด้วยความเข้าใจว่าแบตเตรอ์รี่ที่มีความจุมากจะสตาร์ทรถง่ายกว่า ทั้งที่จริงแล้วความจุแบตเตอร์รี่เป็นเรื่องของกำลังไฟที่ให้กับรถ ถ้าคุณใช้ไฟในรถมากขึ้น อาทิติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มเข้ามา เช่นวิทยุชุดใหญ่สุดกระหึ่ม หรือ มีอุปกรณ์ต่อพ่วงในรถเยอะขึ้นแบบนี้ จะเหมาะที่เราควรมองหาแบตเตอร์รี่ขนาดใหญ่ขึ้น

กลับกันขนาดแบตเตอร์รี่ที่มีประจุมากขึ้น กลับถูกนำไปโยงเข้ากับความง่ายหรือยากในการสตาร์ทเครื่องยนต์ให้ทำงาน ทั้งที่เป็นคนละเรื่องเดียวกัน มอเตอร์สตาร์ท หรือ ไดสตาร์ท จะทำงานหมุนตัวมันขับให้เครื่องยนต์เริ่มต้นการทำงานได้ จากกระแสไฟฟ้าต่อเนื่อง จนมีรอบหมุนพอจะให้กำลัง (Watt) เพียงพอจะหมุนเครื่องยนต์ให้เริ่มต้นการทำงานรอบเดินเบาอย่างสม่ำเสมอ

แบตเตอร์รี่รถยนต์

การกระทำดังกล่าวมาจาก 2 ส่วน ครับ คือ 1. แรงดันไฟฟ้าในแบตเตอร์รี่หรือ  Volt   ส่วนอีกตัวที่มีความสำคัญ คือ แอมปํ ปริมาตรประจุของไฟฟ้าที่ปล่อยจากแบตเตอร์รี่ (ส่วน  Ah  หรือ แอมป์ ฮาว เป็นค่าประจุแบตเตอร์รี่ ที่มีการวัดว่า ในหนึ่งชั่วฌมง จะปล่อยประจุได้เท่าไร) ทั้ง 2 ทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดกำลังขับหรือ  Watt   ที่มอเตอร์สตาร์ท จนเครื่องยนต์ทำงาน

และด้วยเหตุนี้คนไทย จึงเชื่อว่าแบตเตอร์รี่ที่มีขนาดใหญ่ มีประจุไฟ หรือ แอมป์ชั่วโมงสูงกว่า จะช่วยให้สตาร์ทรถง่ายขึ้น ทั้งที่การสตาร์ทรถในแต่ละครั้งใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที และไม่ได้ต้องการกำลังไฟฟ้าเยอะมากอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ มีข้อเท็จจริงสำคัญที่เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ต้องการแบตเตอร์รี่ลูกใหญ่ขึ้น เพื่อจะมีกำลังพอสตาร์ทเครื่องยนต์ ด้วยขนาดไดสตาร์ทใหญ่กว่าเครื่องยนต์ขนาดเล็ก

ในระยะหลังเราได้เห็น การโฆษณาแบตเตอร์รี่ ในแนวทางใหม่ ด้วยค่าขับเคลื่อนที่เรียกว่า   CCA   มันย่อมาจาก   Cold Crank Amp  ถูกแบรนด์แบตเตอร์รี่ชั้นนำ นำมาโฆษณาถึงศักยภาพการทำงานแบตเตอร์รี่ของมัน เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ในภาวะเครื่องเย็น หรือ   Cold Start

แบตเตอร์รี่รถยนต์

สิ่งที่หลายคนไม่ทราบมาก่อน คือ ค่า   CCA   มีหลายมาตรฐาน อาจแตกต่างกันในบ้างในรายละเอียด ทว่าการทดสอบ   Cold Crank Amp   ทั้งหมด เป็นการทดสอบในห้องแล็ป จำลองภาวะความเย็นระดับ -18 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ เทียบเท่า 0 องศาเซลเซียส แล้ววัดค่าประจุของแบตเตอร์รี่ในช่วง 30 วินาทีแรก ว่ามีการปล่อยประจุได้เท่าไร

ยกตัวอย่างเช่น แบตเตอร์รี่ลูกหนึ่งวัดว่าปล่อยประจุได้ 400 แอมป์ ในช่วงเวลา 30 วินาทีแรก ของการทดสอบ ที่อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส ผลก็จะออกมาเป็น CCA 400   เป็นต้น  ซึ่งรถยนต์ปกติทั่วไป จะใช้ค่า   CCA 400   ขึ้นไป ก็เพียงพอจะสตาร์ทเครื่องยนต์แล้ว

อย่างที่คุณๆ คงรู้ว่าบ้านเรา ไม่มีโอกาสที่อยู่ในภาวะอากาศ 0 องศา เหมือนในต่างประเทศ แต่  CCA  ก็ยังหมายถึงความแรงแบตเตอร์รี่และคุณสมบัติความสามารถในการเก็บประจุไฟฟ้า โดยเฉพาะรถที่มีการจอดนานๆ ไม่ค่อยได้ใช้ ตลอดจนชนิดแบตเตอร์รี่ เช่นแบตแห้ง และ แบตน้ำ ก็มีค่านี้ต่างกัน เมื่อนานวันไปพอแบตเตอร์รี่เริ่มเสื่อมสภาพ ค่า   CCA   ก็จะเริ่มเสื่อม จนเกิดอาการสตาร์ทช้า ถ้ายิ่งแรงดันไฟต่ำ ก็จะสตาร์ทไม่ติดในที่สุด

ด้วยความเข้าใจดังกล่าว ทำให้คนไทยมุ่งประเด็นเปลี่ยนแบตเตอร์รี่ทั้งทีควรใหญ่ขึ้นจะได้สตาร์ทง่าย รวมถึงคิดว่าแบตเตอร์รี่ขนาดใหญ่ ประจุเยอะ เมื่อประกอบกับความเข้าใจว่ามีประโยชน์ต่อการใช้งานระบบไฟฟ้าในรถ ทั้งที่ ไฟจากแบตเตอร์รี่จะถูกใช้งานจริง คือในเวลาเราเปิดใช้งาน  Accessories Mode   (ไม่สตาร์ทเครื่องยนต์) ไฟจากหม้อแบต จะถูกนำมาหล่อเลี้ยง อุปกรณ์ในรถ

แบตเตอร์รี่รถยนต์ ค่า CCA

แบตเตอร์รี่ ติดรถยนต์

ส่วนเวลาเราขับรถ “แบตเตอร์รี่” จะถูกชาร์จไฟตลอดเวลาด้วยไฟฟ้าจากไดชาร์จ ไฟจากแบตเตอร์รี่จึงเต็มตลอดเวลาไม่พร่องจนเครื่องยนต์ไม่สามารถทำงานได้

ดังนั้น ถ้ามองจากข้อเท็จจริง ทั้งเรื่องการสตาร์ทเครื่องยนต์ในตอนเช้า และ หน้าที่ประจุไฟฟ้าของแบตเตอร์รี่ เราจะพบว่า ไฟฟ้าในหม้อแบตฯ ของเรา ใช้เพียงส่วนน้อยในการสตาร์ทเครื่องยนต์ และหน้าที่หล่อเลี้ยงระบบไฟในรถ ก็ถูกใช้เพียงชั่วคราวเวลาจอดดับเครื่องยนต์ แล้วต้องการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถ เท่านั้น ยามขับขี่ รถยนต์จะชาร์จไฟเข้าแบตตลอดเวลา

จากทั้งหมดที่กล่าวมา จะพบว่า เราไม่มีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนขนาดแบตเตอร์รี่ให้มากขึ้นเลย เว้นแต่ รถคุณไม่ค่อยได้ใช้ นานๆ สตาร์ทสักครั้ง หรือ ภายในรถมีอุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มเติม เช่นติดเครื่องเสียง หรือมีอุปกรณ์พ่วงมากขึ้น อาทิวิทยุสื่อสารส่วนบุคคล

ถ้าเป็นเช่นนั้น แบตเตอร์รี่ ที่มีขนาดใหญ่กว่าตอบโจทย์ และใช่ควรเพิ่มขนาดแบตเตอร์รี่ แต่ถ้ารถคุณเดิมสนิทไม่ได้อัพเดทอะไรเพิ่มเติม แบตเตอร์รี่เดิมๆ ก็นับว่าพอเพียง แล้วครับ …ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม

 

 



 

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่