ยุคหนึ่งตลาดรถยนต์นั่งขนาด B-Segment เครื่องเบนซิน 1.5 ลิตร หรือที่เรียกกันติดปากว่า “ซิตี้คาร์” เป็นที่นิยมกันไปทั่วบ้านทั่วเมือง แต่หลังจากการมาถึงของ “อีโคคาร์” ภาพดังกล่าวเริ่มแปรเปลี่ยน

“เฮ้ย จะซื้อรถเก๋งมาขับเอาฮอนด้า ซิตี้เครื่องพันห้าก็พอ” หรือ “อยากได้รถทนๆ ศูนย์เยอะอะไหล่ถูก แนะนำโตโยต้า วีออก ไปได้ทั่วไทย” คำพูดเหล่านี้เราหลายคนเคยได้ยินกันบ่อยครั้งในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ในยุคสมัยที่รถยนต์นั่งยังมีเพียงขนาด B-Segment เครื่องเบนซิน 1.5 ลิตร (ซิตี้คาร์) กับ C-Segment เครื่องเบนซิน 1.8 ลิตร เรียกว่ารถสองขนาดนี้ได้รับความนิยมเป็นจำนวนมาก แต่อนาคตต่อจากนี้เราคิดว่ามันคงจะไม่เหมือนอดีตอีกต่อไป…

รถเครื่องเบนซิน 1.5 ลิตร

เหตุผลสำคัญที่ทำให้ตลาดรถเครื่องเบนซินพันห้า หรือ ซิตี้คาร์ เสื่อมถอยลงต่อเนื่อง มาจากการโครงการรถอีโคคาร์ที่รัฐบาลส่งเสริมมาหลายปี เริ่มผลิดอกออกผลกันจนเบียดบังรถชนิดเดิมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยหากเปรียบเทียบรถอีโคคาร์กับรถเครื่องเบนซินพันห้า อย่างเดียวที่รถเบนซิน 1.5 ลิตร นำหน้าก็เห็นจะเป็น ประเด็นความแรงของเครื่องยนต์ นอกเหนือจากนั้น เช่น ความประหยัด อุปกรณ์มาตรฐาน ระบบความปลอดภัย และความกว้างขวาง เหล่านี้อีโคคาร์หลายคันได้แซงหน้าไปแล้ว

รถเครื่องเบนซิน 1.5 ลิตร
รถเครื่องเบนซิน 1.5 ลิตร

 เราได้หาข้อมูลตัวเลขที่จะทำให้ผู้อ่านเห็นภาพชัดเจนขึ้น โดยเราได้ยกข้อมูลยอดขายรถยนต์นั่งขนาด B-Segment เครื่องเบนซิน 1.5 ลิตร ในเดือนกรกฎาคม ปี 2561 มาเทียบกับกลุ่มอีโคคาร์ช่วงเดือนเดียวกัน ซึ่งจะนำรถขายดี 3 อันดับแรกเท่านั้นมาเปรียบเทียบ…

รถเครื่องเบนซิน 1.5 ลิตร

สิ่งที่ปรากฏให้เราทราบพอจะใบ้อะไรให้ผู้อ่านได้เข้าใจสถานการณ์มากขึ้น เนื่องจากรถเครื่องเบนซิน 1.5 ขนาด B-Segment ที่อันดับแรกเป็น Honda City ขายได้ 2,679 คัน ที่สอง Honda Jazz ขายได้ 2,141 คัน และที่สาม Toyota Vios ขายได้ 849 คัน ยอดทั้งหมดของรถสามคันรวมกันได้ 5,669 คัน

รถเครื่องเบนซิน 1.5 ลิตร

ต่อด้วยยอดขายอีโคคาร์ในช่วงเดือนเดียวกัน อันดับหนึ่งตกเป็นของ Toyota Yaris ขายได้ 3,051 คัน ที่สอง Toyota Yaris Ativ ขายได้ 2,068 คัน และที่สาม Nissan Almera ขายได้ 1,562 คัน ยอดขายทั้งหมดของสามคันรวมกันได้ 6,681 คัน

สิ่งที่เห็นแท้จริงนั้นเกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ต่อจากนี้มันจะยิ่งเปลี่ยนแปลงชัดเจนขึ้นมาก เพราะรถยนต์นั่ง B-Segment เครื่องเบนซินพันห้าหลายโมเดล จะผันตัวเองเข้ามาอยู่ร่วมกันในกลุ่มอีโคคาร์ เนื่องจากต้องการใช้มาตรการช่วยเหลือด้านภาษีจากรัฐ ซึ่งต่อไปนี้คือตัวอย่างที่เราจะหยิบยกมาให้ผ่านได้เห็นภาพชัดขึ้นไปอีก

Honda City เจนฯ ถัดไปจะคบหาขุมพลังเบนซิน 1.0 ลิตร ผสมมอเตอร์ไฟฟ้า Mild-Hybrid 
โดยมันจะเผยโฉมเร็วสุดภายในปี 2020

หากทุกท่านติดตามข่าวสารจาก RideBuster อยู่เป็นประจำ จะพอจำได้ว่าเราเคยนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับ Honda City และ Honda Jazz โมเดลถัดไป ซึ่งเจ้ารถขนาด B-Segment สองคันนี้มีความเป็นไปได้สูงว่าจะละทิ้งขุมพลังเบนซิน 1,500 ซีซี แล้วหันไปคบค้าเครื่องเบนซิน 1.0 ลิตร ที่มาพร้อมกับระบบเทอร์โบชาร์จ เพราะต้องการเข้าไปอยู่ในโครงการอีโคคาร์ เฟส 2 อันมีข้อกำหนดเรื่องมาตรฐานไอเสีย และอัตราความประหยัดน้ำมันที่ดีกว่าเดิม

เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 3 สูบ ขนาด 1.0 ลิตร 127 แรงม้า แรงบิด 200 นิวตันเมตร ประจำการอยู่บน Honda Civic โฉมยุโรป ซึ่งในอนาคตเครื่องบล็อกนี้อาจมาอยู่บน City, Jazz แต่ปรับแรงม้าให้น้อยลง

แน่นอนว่าผู้ใช้รถหลายท่านอาจรู้สึกว่าเสียดายกลุ่มรถเบนซินเครื่อง 1.5 ลิตร อยู่บ้าง แต่ในทางปฏิบัติแล้วรถเครื่องเบนซินเทอร์โบ 1.0 ลิตร หรือ 1.2 ลิตร ที่มีระบบอัดอากาศ สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนได้ครบถ้วน เนื่องจากขุมพลังบล็อกเล็กแต่พ่วงหอยมีแรงม้าอยู่ในระดับเกิน 120 ตัว ที่สำคัญแรงบิดมีมากกว่า แถมมาตั้งแต่รอบต่ำราว 1,500-2,000 รอบต่อนาที ต่างจากเครื่องเบนซินพันห้าไร้ระบบอัดอากาศ ที่ลากรอบจนถึงช่วง 3,800-4,000 รอบต่อนาทีถึงจะได้แรงบิดสูงสุด ทำให้รถยุคต่อไปมีความแรง และประหยัดน้ำมันสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด

จากที่เราอธิบายมาทั้งหมดก็พอทำให้ผู้อ่านหลายคนเข้าใจอยู่บ้าง ไม่ว่าอนาคตรถเครื่องเบนซินพันห้าจะหายไป แล้วแทนที่ด้วยรถเครื่องเบนซินเทอร์โบ บล็อกเล็กกว่า สุดท้ายแล้วประโยชน์ทั้งหมดจะตกไปอยู่กับตัวผู้บริโภคทุกหยาดหยด แถมส่งผลต่อเนื่องถึงสภาพแวดล้อมบนโลกใบนี้ ที่การันตีได้ว่าก๊าซพิษจะถูกปล่อยออกมาน้อยลง รวมถึงเงินทองที่ชาติต้องจ่ายเพื่อซื้อน้ำมันเข้าในประเทศ ยิ่งจะลดลงเป็นเงาตามตัวด้วยเช่นกัน

ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่