เข้าสู่ปี 2024 กันเป็นที่เรียบร้อย เหล่าผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์อย่างเราๆก็คงตั้งหน้าตั้งตารอคอยรถโมเดลใหม่ๆให้ได้ลุ้น ได้ขี่กันสนุกสนานกันต่อ ว่าแต่แล้วในปีที่ผ่านมา เราได้สนุกกับรถรุ่นใหม่ๆตัวไหนกันบ้างล่ะ ? เรามาดูกันเลยดีกว่าครับ

*การไล่รายชื่อตัวรถโมเดลใหม่ๆครั้งนี้ จะขอไม่นับรุ่นปรับสีตามปี และนับเฉพาะรุ่นที่เป็นการปรับระดับ Minor Change หรือตัวใหม่ร่าง All-New เท่านั้น

Aprilia Tuareg 660

รถมอเตอร์ไซค์แนวแอดเวนเจอร์ทัวร์ริ่งไบค์สายลุยตัวจริง โดดเด่นด้วยหน้าตาอันเป็นเอกลักษณ์ แถมยังมีตำนานติดตัวตามชื่อ มาพร้อมเครื่องยนต์ 2 สูบเรียง 659cc ระบายความร้อนด้วยน้ำ กำลังสูงสุด 80 แรงม้า ที่ 9,250 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 70 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบ/นาที

และในตอนแรกใครหลายคนอาจไม่คาดคิดว่ามันจะถูกเอาเข้ามาขายในบ้านเรา แต่ด้วยกระแสตอบรับจากทั้ง Aprilai RS660 และ Aprilia Tuono 660 เป็นไปในทิศทางบวกพอประมาณ จึงทำให้มันกลายเป็นรถมอเตอร์ไซค์อีกหนึ่งคันจากอิตาลีที่ถูกนำเข้ามาเปิดตัวขายในบ้านเรา ด้วยราคา 749,000 บาท

BWM S1000RR

การปรับโฉมใหม่สำหรับตัวรถปี 2023 เรียกได้ว่าเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนไส้ในเพื่อให้ตัวรถมีความเพรียบพร้อม และการเป็นอีกหนึ่งรถซุปเปอร์ไบค์ที่ทำให้ใครหลายคนติดใจในทันทีที่ได้ลองขี่ โดยยังคงคาแรคเตอร์ความเป็นรถซุปเปอร์ไบค์ที่ขี่ง่าย แต่เร็วไม่ยั้งเช่นเดิม ด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง 999cc ระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมระบบวาล์วแปรผัน ShiftCam ให้กำลังสูงสุด 210 แรงม้า ที่ 13,750 รอบ/นาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 113 นิวตันเมตร ที่ 11,000 รอบ/นาที และระบบอิเล็กทรอนิกส์สุดฉลาดล้ำมากมาย

ที่เสริมขึ้นมาคือการแต่งหน้าทาปากเปลือกนอกใหม่ด้วยหน้าตาแบบเดียวกับ BMW M1000RR โฉมแรก ซึ่งทำให้มันดูหล่อเหลาขึ้นมากเลยทีเดียว พร้อมวางขายในบ้านเราด้วยราคาเริ่มต้น 984,000 บาท

BMW M1000R

แม้จะยังไม่มีท่าทีขาย M1000RR แต่ BMW Motorrad Thailand กลับตัดสินใจที่จะวางขายฝาแฝดร่างเนคเก็ทไบค์ของมันอย่าง BMW M1000R ในบ้านเราแทน และแม้มันจะยังคงเป็นรถเนคเก็ทไบค์ แต่สมรรถนะของมัน ก็เรียกได้ว่าต่างจากร่างต้น S1000R อย่างชัดเจน ด้วยไส้ไนแทบทุกอย่างที่ยกมาจากแฝดร่างซุปเปอร์ไบค์

โดยเฉพาะเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง 999cc ระบายความร้อนด้วยน้ำ พ่วงระบบวาล์วแปรแผน ShiftCam ที่ถูกปลดล็อคให้สามารถเค้นกำลังสูงสุดได้ 210 แรงม้า ที่ 13,750 รอบ/นาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 113 นิวตันเมตร ที่ 11,000 รอบ/นาที เทียบเท่ากับคู่แฝด และยังให้ของตกแต่งมารอบคัน จัดเต็มแทลทุกระเบียดนิ้ว ตั้งแต่แฮนด์บาร์ทรงสปอร์ต, พักเท้า M, ครอบตูดมด M, มือเบรก/คลัทช์ M, คาลิปเปอร์เบรก M, วิงเล็ทข้างแฟริ่ง, และอื่นๆอีกมากมาย พร้อมสนนราคาเริ่มต้นที่ 1,599,000 บาท

GPX Tuscany 150

รถมอเตอร์ไซค์แนวสกู๊ตเตอร์ออโตเมติกคันที่สองจากแบรนด์ไทย ที่คราวนี้เลือกเดินทางใหม่ ด้วยการใช้งานออกแบบแนวโมเดิร์นคลาสสิค ช่วยให้มันสามารถจับต้องลูกค้าในวงกว้างได้มากขึ้น เมื่อรวมกับอรรถประโยชน์ในการใช้งานที่หลากหลาย

และด้วยการใช้เครื่องยนต์สูบเดียว 150cc ระบายความร้อนด้วยอากาศ ซึ่งถูกพัฒนาโดย SYM บริษัทผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ชื่อดังจากไต้หวัน ที่เคยเป็นซัพพลายเออร์ในการทำรถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติกให้กับผู้ผลิตสัญชาติยุโรปและญี่ปุ่นมากบ้างแล้ว จึงทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลในเรื่องความทนทานของตัวรถ สามารถใช้งานได้อย่างสบายใจ พร้อมวางจำหน่ายด้วยราคาเริ่มต้น 59,900 บาท

Honda CBR250RR SP

หลังลากขายหน้าเดิมมากว่า 6 ปี โดยมีการปรับสเป็ค SP ไปเมื่อปี 2021 ในที่สุด Honda CBR250RR ก็ได้รับการปรับโฉมใหม่อีกครั้งโดยคราวนี้ก็มีทั้งการเปลี่ยนแปลงรูปลักภายนอก โดยเฉพาะในส่วนของชุดแฟริ่งรอบคันใหม่ทั้งหมด เพื่อให้มันมีความดุดันและสามารถแหวกลมเพื่อทะยานสู่ความเร็วสูงได้อย่างไหลลื่นมากยิ่งขึ้น

ไม่เพียงเท่านั้น ตัวเครื่องยนต์ 2 สูบเรียง 249cc ระบายความร้อนด้วยน้ำ ยังได้รับการปรับจูนใหม่ จนสามารถเค้นกำลังได้มากขึ้นเป็น 42 แรงม้า ที่ 13,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุดอีก 25 นิวตันเมตร ที่ 11,000 รอบ/นาที นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงระบบกันสะเทือนหน้าใหม่ เพื่อความมั่นคงของตัวรถในช่วงเบรกหนักๆที่ดียิ่งขึ้นอีก

ติดแค่เพียงด้วยความที่ตัวรถ CBR250RR ซึ่งเป็นรุ่น SP ร่างปี 2023 ที่นำมาวางจำหน่ายในประเทศไทยนั้น เป็นตัวรถที่นำเข้ามาจากประเทศอินโดนีเซีย จึงทำให้มันยังไม่ได้รับการติดตั้งระบบ Honda Selectable Torque Control มาให้เหมือนตัวรถสเป็คที่วางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นแต่อย่างใด และถึงอย่างนั้นมันก็ถูกวางจำหน่ายด้วยราคาแนะนำที่สูงขึ้นจากโฉมก่อน เป็น 269,000 บาท

Honda Giorno+

อีกหนึ่งรถสกู๊ตเตอร์น้องใหม่ที่ถูกส่งเข้าร่วมตลาดโดยทางค่ายปีกนก ที่ในคราวนี้ต้องบอกว่ามาพร้อมกับหลายจุดขายที่น่าสนใจ ด้วยงานออกแบบที่เน้นความร่วมสมัย และค่อนไปทางโมเดิร์นคลาสสิค ตามชื่อตระกูล มากกว่าจะเป็นรถแฟชันชิคๆคูลๆเพียงอย่างเดียวเหมือนอย่าง Honda Scoopy

นอกจากนี้ ด้วยการใช้เครื่องยนต์ Honda eSP+ ขนาด 125cc ที่ได้ชื่อว่าสามารถต่อยอดได้ไกล จึงทำให้มันไม่ใช่แค่รถที่ถูกใจผู้ใช้รุ่นใหม่ หรือผู้ใช้ที่มองหารถมอเตอร์ไซค์สกู๊ตเตอร์ง่ายๆไว้ใช้งานชิลๆสักคันเท่านั้น แต่ยังถูกใจสายซิ่งสายดัน จนรถขาดสต็อคอยู่พักใหญ่ด้วย แม้จะมีการเปิดราคาแนะนำเริ่มต้น 61,900 บาท

All-New Honda CL-Series

แม้จะเป็นการเปิดตัวในช่วงที่ตลาดรถสแครมเบลอร์เริ่มเบาบาง แต่เพื่อเป็นการอุดช่องว่างที่ตนเองมี จึงทำให้ทาง Honda ตัดสินใจนำเอารถบ็อบเบอร์ตระกูล Rebel มาดัดแปลงใหม่ ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนชุดเฟรม ถังน้ำมัน ชุดระบบกันสะเทือน และเครื่องยนต์ ยาวไปถึงท่อไอเสีย เพื่อให้มันกลายเป็นรถมอเตอร์ไซค์แนวคลาสสิคกึ่งลุย

ซึ่งจากการที่เราได้เคยมีโอกาสทดสอบมัน ส่วนตัวผู้เขียนมองว่า มันไม่ได้มีความหล่อเหลาเฉพาะในเรื่องของหน้าตาเท่านั้น แต่สมรรถนะของตัวรถ ยังสามารถใช้งานได้จริง ชนิดที่ว่าหากใครต้องการรถมอเตอร์ไซค์ที่แหวกแนว แหวกกระแสสักคัน ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด

แถมมันยังมีให้เลือกทั้งรุ่น CL300 ที่เบา คล่องตัว ใช้งานง่าย ในราคาแนะนะ 149,900 บาท และรุ่น CL500 ซึ่งได้ขุมกำลังที่แรงขึ้น ดุดันมากขึ้น พร้อมให้คุณท้ายสไลด์เล่นทุกเมื่อ ด้วยราคาแนะนำ 226,800 บาท

All-New Honda 500 Series

กลายเป็นการเปิดตัวที่ทำให้ใครหลายคนหลังหักไปเยอะพอสมควร เพราะโฉมก่อนที่ใครต่างก็มองว่าคุ้มค่ามากๆ ด้วยการเพิ่มระบบโช้กอัพหัวกลับด้านหน้า และระบบเบรกดิสก์คู่ด้านหน้า รวมถึงการไล่เบาจากชุดล้อใหม่ พึ่งถูกวางจำหน่ายไปได้เพียงแค่ 2 ปี พอดิบพอดีเท่านั้น

มาคราวนี้ เหล่ารถมอเตอร์ไซค์ 3 ทหารเสือ กลับมาพร้อมการปรับเปลี่ยนในแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนชุดแฟริ่งใหม่ หลังจากที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเลย ในรุ่นเจเนอเรชันที่ 3 และ เจเนอเรชันที่ 4 โดยคราวนี้พวกมันต่างก็เน้นการปรับเปลี่ยนแฟริ่งเพื่อให้ตัวรถสามารถแหวกอากาศ และสร้างแรงกดจากลมในช่วงการวิ่งความเร็วสูง เพื่อให้รถมีความนิ่งมากขึ้นขณะใช้งานเหมือนกันทั้งสิ้น

ไม่เพียงเท่านั้น ขุมกำลังเครื่องยนต์ 2 สูบเรียง ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาด 471cc กำลังสูงสุด 47.5 แรงม้า ที่ 8,600 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 43 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบ/นาที ของพวกมันเอง แม้จะมีตัวเลขเท่าเดิม แต่ก็ได้รับการปรับจูนกล่อง ECU ใหม่เพื่อให้มันสามารถเรียกกำลังแรงบิดในย่านกว้างขึ้นได้อีก

และยังมีการเสริมระบบความปลอดภัย Honda Selectable Torque Control เข้ามา รวมถึงการเปลี่ยนไปใช้หน้าจอ TFT ที่สามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ เพื่อใช้งานฟังก์ชันระบบ Honda RoadSync ได้อีก และในฝั่งตัวลุยก็ยังได้รับการปรับเซ็ทช่วงล่างใหม่ พร้อมไล่เบาน้ำหนักส่วนเกินเพิ่มด้วย

แม้แต่ชื่อรุ่นเอง ก็ยังถูกเปลี่ยนใหม่ ทั้งในฝั่ง Honda CB500F เป็น Honda Hornet 500 และ Honda CB500X กลายเป็น Honda NX500 เพื่อให้เข้ากับทิศทางการตลาดในอนาคตด้วย โดยยังมีเพียง Honda CBR500R เท่านั้น ที่ยังใช้ชื่อเดิม เนื่องจากตัวตนรถเข้ากับชื่อเดิมนี้อยู่แล้ว และทั้งสามรุ่นก็จะสนนราคา ตั้งแต่ 217,700 – 229,700 บาท

All-New Honda 650 Series

นอกจากการปรับโฉม Honda 500 Series ในช่วงเวลาเดียวกันเอง ทางค่ายยังได้มีการเผยโฉมรถมอเตอร์ไซค์ตระกูล 4 สูบเรียงยอดนิยมในไทยอย่าง 650 Series ด้วย และในคราวนี้พวกมันเอง ทั้ง CBR650R กับ CB650R ต่างก็ได้รับการปรับโฉมในระดับ All-New ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น การปรับจูนเครื่องยนต์ 649cc 4 สูบเรียง DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ กำลังสูงสุด 95 แรงม้า ที่ 12,000 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 63 นิวตันเมตร ที่ 9,500 รอบ/นาที ของมันใหม่ เพื่อให้ตัวรถมีกำลังในรอบต่ำมากขึ้น ปรับเซ็ทแชสซีย์ใหม่ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของตัวรถ

และแน่นอนที่สุดคือการปรับปรุงชุดแฟริ่งเปลือกนอกใหม่หมดทั้งคัน มีเพียงถังน้ำมันเท่านั้นที่ยังเหมือนเดิม และที่เสริมเข้ามาคือชุดหน้าจอมาตรวัด Full Digital TFT ที่สามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ เพื่อใช้งานฟังก์ชันระบบ Honda RoadSync ได้เช่นเดียวกับเหล่า 500-Series พร้อมวางจำหน่ายด้วยราคาเริ่มต้น 312,100 – 327,300 บาท

ติดแค่เพียงตรงที่ แม้จะมีการเปิดตัวเทคโนโลยีไปแล้ว แต่ทาง Thai Honda ยังไม่ได้มีการเปิดให้สื่อได้ทดสอบ หรือวางขายตัวรถซึ่งมาพร้อมกับออพชันระบบคลัทช์ไฟฟ้า หรือ Honda E-Clutch แต่อย่างใด อย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงช่วงปลายไตรมาสแรกของปี 2024 นี้

Honda CB750 Hornet

สปอร์ตเนคเก็ทไบค์รุ่นใหม่ ซึ่งเปรียบเสมือนกับเป็นตัวเบิกร่องชื่อตระกูล “Hornet” ให้กลับมาโลดแล่นในโลกมอเตอร์ไซค์อีกครั้ง และด้วยชื่อ “แตนต่อย” ของมัน ย่อมหมายความว่าคราวนี้ มันจะมาพร้อมกับงานออกแบบซึ่งเน้นความโฉบเฉี่ยว แหลมเรียวทั้งคัน ตั้งแต่หัวจรดท้าย

ไม่เพียงเท่านั้น แม้ความจุเครื่องยนต์จะมีตัวเลขที่คุ้นหู แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันคือเครื่องยนต์ 2 สูบเรียง 755cc ระบายความร้อนด้วยน้ำ (S)OHC บล็อคใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อมันโดยเฉพาะ และจะเน้นไปที่การเรียกอัตราเร่งที่ติดมือในย่านกว้างยิ่งกว่าเครื่องยนต์ 750 ลูกที่เราเคยรู้จักกันดี ด้วยตัวเลขกำลังสูงสุด 90.5 แรงม้า ที่ 9,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุดอีก 75 นิวตันเมตร ที่ 7,250 รอบ/นาที

รวมถึงยังมีการใส่ระบบลูกเล่นอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาครบครัน ไม่ว่าจะเป็นคันเร่งไฟฟ้า, ระบบปรับโหมดการทำงานของเครื่องยนต์, ระบบป้องกันล้อลื่นไถล (HSTC), ระบบคุมเอนจิ้นเบรก, หน้าจอมาตรวัด TFT พร้อมฟังก์ชัน RoadSync อีก และสนนราคาจับต้องได้ง่ายที่ 319,000 บาท เท่านั้น

Honda Transalp 750

อีกหนึ่งโมเดลที่ถูกเปิดตัวออกมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับ Hornet 750 ก็คือ Transalp 750 ซึ่งหากให้มองเทียบกันแล้ว มันก็เหมือนกับเป็นคู่แฝดของเจ้าแตนต่อย ในร่างที่ถูกปรับเปลี่ยนให้พร้อมลุยมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันก็มีแค่เพียงไม่กี่ชิ้นส่วนเท่านั้นที่ใช้ร่วมกัน ได้แก่ หน้าจอมาตรวัด, ไฟหน้า, ไฟท้าย, และเครื่องยนต์

นอกนั้นก็ได้ถูกปรับใหม่ เพื่อให้เหมาะสมกับภาพลักษณ์ และการใช้งานแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ชุดแฟริ่งรอบคันสไตล์ Dakar Rally, ชุดเฟรมโครงเหล็ก ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่เพื่อมันโดยเฉพาะ, ระบบกันสะเทือนหน้า-หลัง ช่วงยุบเยอะ, และการใช้ชุดล้อซี่ลวด เพื่อความยืดหยุ่นในการซับแรงจากอุปสรรคต่างๆบนผิวทางขรุขระ

โดยแม้จะถูกเปิดราคาช้าไปบ้าง แต่ในที่สุด Honda Transalp 750 ก็พร้อมขายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ด้วยราคา 389,000 บาท

Husqvarna Norden 901

อีกหนึ่งตัวลุยที่ถูกนำมาจัดจำหน่ายในประเทศไทยแบบสุดเซอร์ไพรซ์ เพราะในตอนแรกต่างไม่มีใครคาดหวังว่ามันจะถูกนำมาวางจำหน่ายในบ้านเราเลยสักนิด แต่ด้วยความหล่อเหล่าจากหน้าตาอันเป็นเอกลักษณ์ และมีความร่วมสมัยถูกใส่เข้าไปอย่างลงตัว จึงทำให้มันกลายเป็นรถมอเตอร์ไซค์แนวแอดเวนเจอร์ไบค์ทรง Dakar Rally หน้าตาโมเดิร์นคลาสสิคที่มีความสวยงามเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ ด้วยความที่โดยพื้นฐานแล้ว ขุมกำลัง 2 สูบเรียง DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ ความจุ 889cc ของมัน คือเครื่องยนต์แบบเดียวกันกับที่อยู่ใน KTM 890 Duke จึงทำให้ใครหลายคนสามารถคาดหวังประสบการณ์ในเรื่องของพละกำลังจากตัวมันได้อย่างแน่นอน ด้วยตัวเลขกำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 8,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุอีก 100 นิวตันเมตร ที่ 6,000 รอบ/นาที

และไม่เพียงเท่านั้น ยังมาพร้อมกับลูกเล่นเป็นชุดระบบกันสะเทือนจาก WP ที่โดดเด่นในเรื่องของการทำโช้กสำหรับตัวลุยอีก จึงทำให้มันเป็นรถมอเตอร์ไซค์อีกหนึ่งรุ่นที่น่าใช้อย่างมาก สำหรับสายป่าทัวร์ริ่งทั้งหลาย พร้อมสนนราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทยที่ 599,800 บาท

Kawasaki ZX-4R

สปอร์ตเรพลิก้าไบค์ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออุดช่องว่างระหว่าง Kawasaki ZX-25R รถมอเตอร์ไซค์ 4 สูบเรียง เสียงหวาน กับ Kawasaki ZX-6R รถซุปเปอร์สปอร์ตไบค์ต้นดี ยอดนิยม โดยจุดเด่นของ ZX-4R ที่ว่านี้ แม้จะไม่ได้อยู่ที่ชุดแฟริ่งเปลือกนอกรอบคัน เพราะมันก็ใช้แฟริ่งเดียวกันกับรุ่นน้อง ไม่เว้นแม้กระทั่งชุดเฟรมและสวิงอาร์มหลัง

แต่ขุมกำลังของมัน ถือว่าเป็นการกลับมาครั้งแรกของเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง 400cc ในรอบหลายสิบปี และแม้มันจะสามารถเรียกแรงบิดสูงสุดได้เพียง 39 นิวตันเมตร ที่ 13,000 รอบ/นาที แต่ก็โดดเด่นด้วยความสามารถในการเรียกกำลังได้มากถึง 75 PS ที่ 14,500 รอบ/นาที ซึ่งแรงกว่า Kawasaki Ninja 650 เสียอีก

นั่นจึงทำให้มันกลายเป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก สำหรับใครก็ตามที่อยากจะเปิดสัมผัสรถมอเตอร์ไซค์ซึ่งใช้ขุมกำลังที่เน้นการใช้คันเร่งและการเปิดรอบเพื่อเค้นกำลัง แบบโลกของรถซุปเปอร์สปอร์ตไบค์ และในคราวนี้ มันก็มีการสนนราคาที่ 320,000 – 369,000 บาท แล้วแต่ว่าคุณจะซื้อรุ่นไหน ระหว่างตัวธรรมดา และตัว SE ที่ได้ของตกแต่งเพิ่มเติมอีกหลายรายการ

Kawasaki ZX-6R

แม้จะดูเงียบเหงาในช่วง 1-2 ปีก่อนหน้านี้ แถมยังมีข่าวว่าจะถูกยุติสายการผลิตไป เพราะข้อกำหนดมาตรฐานไอเสีย แต่เพื่อไม่ให้น้อยหน้ารุ่นน้อง และพี่ๆ ในที่สุด Kawasaki ZX-6R ที่มาพร้อมกับการปรับปรุงเครื่องยนต์ใหม่ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น

โดยแม้มันจะมาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ ความจุ 636cc ที่แรงน้อยลงกว่ารุ่นก่อน แต่ด้วยตัวเลขกำลังสูงสุด 124 แรงม้า ที่ 13,000 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 69 นิวตันเมตร ที่ 10,800 รอบ/นาที ก็ถือว่ามันยังคงเป็นรถซุปเปอร์สปอร์ตไบค์คลาสกลางที่แรงเป็นอันดับต้นๆอยู่

ไม่เพียงเท่านั้น แม้จะยังใช้โครงสร้างหลักเดิม แต่แฟริ่งครึ่งหน้าของมัน ก็ยังถูกปรับใหม่ ให้ดูปราดเปรียว โฉบเฉี่ยว และทันสมัยยิ่งขึ้น รวมถึงยังสามารถแหวกอากาศได้ดีกว่าเดิม และยังมีการใส่วิงเล็ทเล็กๆ สำหรับเสริมแรงกดในยามขี่ด้วยความเร็วสูงๆเหมือนพี่ใหญ่ ZX-10R รุ่นล่าสุด

แล้วยังไม่นับการปรับปรุงระบบเบรก ปรับเซ็ทระบบกันสะเทือนใหม่ เพื่อให้มันกลายเป็นรถที่มีความเฉียบคมในการเข้าโค้งมากขึ้นอีก และพร้อมสนนราคาที่ 498,000 บาทเท่านั้น ซึ่งแม้จะแพงขึ้นมาจากเดิมพอสมควร แต่มันก็ยังคงเป็นรถซุปเปอร์สปอร์ตไบค์คลาสกลางที่มีราคาจับต้องได้ง่ายที่สุดอยู่ดี

Royal Enfield Super Meteor 650

หลังประสบความสำเร็จกับทั้ง Interceptor 650 และ Continental GT 650 จนกลายเป็นผู้ผลิตที่สามารถสร้างยอดขายรถมอเตอร์ไซค์ในคลาสกลางพิกัด 650cc ที่ดีที่สุดในไทย ในที่สุดทาง Royal Enfield ก็ตัดสินใจขยายทางเลือกให้กับลูกค้าเพิ่ม ด้วยการเปิดตัว Super Meteor 650 ออกมา

และในคราวนี้ มันก็มีความโดดเด่นในเรื่องของการใช้รูปทรงแบบรถครุยเซอร์ ที่เน้นสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้ขณะใช้งานเดินทางไกล ทั้งจากท่านั่ง ความกว้างเบาะนั่ง และยังมีออพชันเสริมให้เลือกอีกมากมาย

และแม้มันจะใช้เครื่องยนต์ 2 สูบเรียง 648cc ระบายความร้อนด้วยอากาศ+ออยคูลเลอร์ กำลังสูงสุด 47 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 52.3 นิวตันเมตร ไม่หนีจากเดิม แต่ก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ โดยเน้นไปที่การเสริมความนุ่มนวลให้มากขึ้น เพื่อลดแรงสะท้านที่อาจกวนใจผู้ขี่-ผู้ซ้อนให้น้อยลง และมันก็สนนราคาเริ่มต้นแค่เพียง 269,000 บาท เท่านั้น

Suzuki V-Strom SX

น้องเล็กตัวลุยคันใหม่จากค่ายคนบ้า ที่ถูกเปิดตัวออกมาเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดที่ทางค่ายไม่เคยเข้าร่วมมาก่อน โดยจุดเด่นของตัวรถรุ่นนี้ ก็คือการที่มันไม่ได้มาพร้อมกับภาพลักษณ์แบบรถเอนดูโร หรือดูอัลเพอร์โพสต์ แต่เป็นภาพลักษณ์แบบรถแอดเวนเจอร์ทัวร์ริ่งไบค์ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถเพลิดเพลินไปกับการเดินทางตามชื่อ “ทัวร์ริ่ง” มากกว่า

และถึงแม้จะเป็นตัวรถรุ่นใหม่ แต่มันก็ใช้เครื่องยนต์สูบเดียว 250cc ระบายความร้อนด้วยน้ำมัน ซึ่งให้แรงบิดดีตั้งแต่รอบต่ำถึงกลาง เมื่อประกอบกับน้ำหนักตัวรถ ที่เบาเพียง 165 กิโลกรัม จึงทำให้มันเป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่แม้จะดูใหญ่ แต่ก็ให้ความคล่องตัวในการใช้งานอยู่ไม่น้อย พร้อมสนนราคาเปิดเอาไว้ที่ 181,000 บาท

Suzuki V-Strom 800 DE

ทางเลือกใหม่ ที่จะเข้ามาสานต่อตำนานของ V-Strom 650 ซึ่งในคราวนี้ มันก็ได้มาพร้อมกับภาพลักษณ์ใหม่ ไฉไลทั้งคัน ด้วยหน้าตาที่ถูกออกแบบให้ดูทันสมัย และดุดันมากยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ยังอุดมไปด้วยเทคโลโนยีใหม่ๆมากมาย ทั้งชุดไฟส่องสว่าง LED รอบคัน, หน้าจอมาตรวัด Full Digital TFT, ระบบการขับขี่ที่สามารถปรับเซ็ทได้หลากหลายค่า

ที่โดดเด่นกว่านั้นก็คือ แม้จะเป็นรถแอดเวนเจอร์ไบค์ขนาดกลางค่อนใหญ่ แต่มันก็ได้เหล่าวิศวกร และนักแข่งจากเวทีเอนดูโร่ ซึ่งแต่เดิมก็เป็นงานถนัดของ Suzuki อยู่แล้ว มาช่วยกันพัฒนา ส่งผลให้แม้มันจะมีน้ำหนักตัวค่อนข้างเยอะถึง 230 กิโลกรัม แต่ทันทีที่รถลอยลำ คุณจะรู้สึกว่ามันเป็นรถที่สามารถควบคุมได้ง่ายไม่แพ้คู่แข่งคันอื่นๆที่ตัวเบากว่าเลยแม้แต่น้อย

ส่วนเครื่องยนต์เอง แม้จะไม่ได้ใช้รูปแบบเครื่องยนต์ V ตามชื่อ แต่องศาการจุดระเบิดระหว่างลูกสูบทั้งสอง ที่อยู่ในเสื้อสูบแบบ Inline 2 ก็เป็นแบบ 270 องศา เหมือนกับเครื่องยนต์สูบวี ดังนั้นมันจึงยังให้คาแรคเตอร์ในแบบที่ไม่หนีไปจากรุ่นพี่ร่วมชื่อ และด้วยขนาดความจุเครื่องยนต์ที่มากขึ้นเป็น 776cc จึงทำให้มันสามารถเรียกกำลังได้มากขึ้นเป็น 87.3 แรงม้า ที่ 8,500 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 78 นิวตันเมตร ที่ 6,800 รอบ/นาที พร้อมสนนราคาที่ 479,000 บาท

Suzuki GSX-8S

หลังการประกาศเตรียมยุติการขาย Suzuki GSX-S750 หลายคนก็ต่างสงสัยว่าแล้วทางค่ายคนบ้า จะมีการทำรถเนคเก็ทไบค์พิกัดกลางค่อนใหญ่ออกมาแทนที่หรือไม่ ? ซึ่งคำตอบที่ได้ ก็คือเจ้า GSX-8S คันนี้ ที่มาพร้อมกับภาพลักษณ์ใหม่ ไม่แพ้กับคู่แฝดร่างแอดเวนเจอร์ของมัน นั่นคือการปรับหน้าตาให้ดูมีความทันสมัย และหวือหวามากยิ่งขึ้น จนแทบไม่เหลือเส้นสายที่ดูอนุรักษ์นิยมเหมือนเดิมอีกต่อไป

ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยเครื่องยนต์ลูกใหม่ ที่เปลี่ยนจากแบบ 4 สูบเรียง เป็น 2 สูบเรียง และยังมีขนาดความจุที่ใหญ่ขึ้น จึงทำให้เมื่อเทียบกับ GSX-S750 แล้ว เจ้า GSX-8S จะกลายเป็นรถเนคเก็ทไบค์ที่มีความคล่องตัวในการใช้งานสูงขึ้นมากจากรุ่นพี่ของมัน ซึ่งตัวรถรุ่นนี้ก็พร้อมให้คุณสัมผัสกันแล้ว ด้วยราคาเพียง 379,000 บาท เท่านั้น

Suzuki Avenis

เจ้าลาน้อย หรือ “อียอ” ที่ตอนแรกทางผู้ใหญ่ของค่ายไม่ได้ปลื้มเท่าไหร่นักกับฉายานี้ แต่หากมองให้ดี กลับกลายเป็นชื่อเล่น ที่ทำให้มันกลายเป็นไวรัลอยู่พักใหญ่ สำหรับรถสกูตเตอร์รุ่นใหม่จากค่ายคนบ้า ซึ่งมาพร้อมกับหน้าตาอันเป็นเอกลักษณ์

แถมยังมีจุดขายที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ SEP บล็อกใหม่, ระบบสตาร์ทแบบกดทีเดียวเครื่องติดต่อเอง ไม่ต้องกดค้าง, หน้าจอมาตรวัดฟูลดิจิตอล, และถังน้ำมันที่ถูกติดตั้งไว้ด้านท้ายรถ พร้อมฝาสำหรับเติมเหนือไฟท้าย ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเติมเชื้อเพลิงได้ง่าย โดยไม่ต้้องเปิดใต้เบาะ ซึ่งทั้งหมดนี้ สนนราคาพร้อมวางจำหน่ายที่ 64,000 บาท เท่านั้น

Triumph 400 Series

ในอดีตที่ผ่านมา หากพูดถึงรถมอเตอร์ไซค์จากแบรนด์ Triump หลายคนมักจะนึกถึงแต่รถมอเตอร์ไซค์รุ่นใหญ่ ที่มีขนาดเครื่องยนต์ราว 900cc ขึ้นไป จนกระทั่งถึงการมาของเหล่า Triumph 660 Series ที่ทำให้ผู้คนเริ่มจับต้องได้ง่ายมากขึ้น แต่ดูเหมือนมันจะยังไม่ง่ายพอ จึงทำให้ทางค่ายเลือกเปิดตัว 400 Series ออกมาเพิ่มเติมอีก

โดยจุดขายหลักๆของตัวรถ Triumph 400 Series ก็คือการที่พวกมันทั้ง Speed 400 และ Scrambler 400 X ต่างก็มาพร้อมกับหน้าตาที่แทบไม่หนีไปจากรุ่นพี่รหัส 1200 เลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงไฟหน้า, ถังน้ำมัน, เบาะนั่ง, แฟริ่งใต้เบาะ ชนิดที่ว่า มองปราดเดียวก้รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นน้องของรถมอเตอร์ไซค์รุ่นไหน

นอกจากนี้ ขุมกำลังของมัน ยังเป็นบล็อคใหม่ล่าสุด ที่แม้จะไม่ได้ถูกสร้างโดย Triump โดยตรง แต่ก็เป็นทางค่ายที่ล็อคสเป็ค และออกแบบ พร้อมจำกัดความว่ามันจะต้องถูกนำมาใช้กับรถมอเตอร์ไซค์ของตนเองเท่านั้น และแม้จะเป็นเครื่องยนต์สูบเดียว 398cc ระบายความร้อนด้วยน้ำ DOHC แต่มันก็สามารถทำแรงม้าได้ 40 PS ที่ 8,000 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุดอีก 37.5 นิวตันเมตร ที่ 6,000 รอบ/นาที ซึ่งถือว่าสมน้ำสมเนื้อ และกำลังกลมกล่อมแล้ว กับน้ำหนักตัวราว 170-180 กิโลกรัม

ส่วนราคาที่ถูกเปิดออกมาก็ถือว่าทำเอาหลายคนช็อคไปตามๆกัน เพราะทางค่ายระบุว่ามันจะเริ่มต้นด้วยตัวเลขเพียง 157,900 บาท เท่านั้น ซึ่งถือว่าถูกมากๆเลยทีเดียว เมื่อมองว่านี่คือราคาสำหรับการซื้อรถมอเตอร์ไซค์จากแบรนด์ Triumph คันนึง

Yamaha PG-1

รถมอเตอร์ไซค์ทรงแม่บ้านทางเลือกใหม่จาก Yamaha ที่คราวนี้ไม่ได้เกิดมาแค่เพื่อเน้นการใช้งานแค่ไปซื้อของซื้อกับข้าว หรือส่งลูกสาว-ลูกชาย ไปโรงเรียน ธรรมดาๆแค่นั้นอีกต่อไป แต่เป็นรถที่เน้นตอบโจทย์โดนใจวัยรุ่นยุคใหม่ ที่เริ่มสนใจในการใช้ชีวิตสไตล์แคมปิ้ง หรือท่องเที่ยวไปยังสถานที่แนวชิคๆคูลๆทั้งหลาย ซึ่งอยู่ไม่ห่างใกลจากตัวเมืองมากนัก

นอกจากนี้ ตัวรถยังไม่ได้ดูโดดเด่นแค่ในเรื่องของหน้าตา แต่จากการที่เราได้แอบไปทดสอบมา ยังพบว่ามันเป็นรถที่ให้ความรู้สึกสนุกสนาน และการใช้งานเองก็มีความคล่องตัว ไว้ใจได้ หรือขี่ดีเอาเรื่องเลยทีเดียว หรือหากคุณลองแล้วมองว่ามันยังไม่พอ การไปต่อสำหรับตัวรถรุ่นนี้เอง ก็ถือว่าคงทำได้ไม่ยาก และมันก็มีราคาเริ่มต้นที่ 64,900 บาท เท่านั้น

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่