อาจจะจริงอยู่ว่าในปัจจุบัน รถยนต์รุ่นใหม่ ก็ถือว่ามีค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ที่แพงกว่ารถยนต์ในยุคก่อนหน้าอยู่แล้ว เพราะเหตุผลในเรื่องความซับซ้อนทางเทคโนโลยีที่มากกว่า แต่จากการให้ข้อมูลโดยผู้เชี่ยวชาญล่าสุด กลับระบุว่ามันจะยิ่งแพงขึ้นไปอีก เมื่ออุบัติเหตุเหล่านี้เกิดขึ้นกับรถยนต์จากแบรนด์ Tesla

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เป็นข้อมูลจากสื่อดังสัญชาติสหรัฐอเมริกา Automotive News ที่ระบุว่าจากผลการสำรวจ และการเก็บข้อมูลร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ เผยให้เห็นว่าเมื่อรถยนต์จากแบรนด์ Tesla เกิดอุบัติเหตุ หรือตัวรถได้รับความเสียหายขึ้นมา ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมที่เจ้าของรถต้องจ่ายจะมากกว่าเจ้าของรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือรถยนต์ทั่วๆไป ที่เกิดอุบัติเหตุในลักษณะคล้ายๆกันถึงราวๆ 25%

และไม่เพียงเท่านั้น เมื่อมองจากค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการซ่อมแซมรถ Tesla ที่มีตัวเลขราวๆ 2 แสนบาท ขณะที่รถจากแบรนด์คู่แข่ง (รถยนต์ไฟฟ้าด้วยกัน) จะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการซ่อมแซมที่ราวๆ 1.6 แสนบาท ในประเทศสหรัฐอเมริกา ก็จะเห็นได้ว่าทางฝั่งรถยนต์ไฟฟ้าจาก Tesla ก็ยังมีค่าซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกันมากกว่าคู่แข่งถึงราวๆ 20% อยู่ดี

แน่นอน สาเหตุที่ทำให้รถยนต์จาก Tesla มีค่าเสียหายที่ผู้ใช้ต้องจ่ายมากกว่ารถยนต์ทั่วๆไป หลักๆแล้วก็เป็นเพราะความล้ำสมัย และลูกเล่นต่างๆในตัวรถที่ถูกใส่เข้ามาเยอะกว่า และมีความซับซ้อนกว่ารถยนต์จากแบรนด์อื่นพอสมควร

“รถยนต์เหล่านี้มาพร้อมกับเทคโนโลยีขั้นสุดสำหรับความปลอดภัย และการเชื่อมต่อผู้ใช้เข้ากับรถ, และทุกสิ่งทุกอย่างที่ว่ามา ก็ส่งผลถึงตัวรถเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับมัน” Ryan Mandell หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่ร่วมเก็บข้อมูลกับสื่อฯ Automotive News ระบุในบทความ

“คุณอาจมีปัญหากับระบบป้องกันการชนทางด้านซ้าย ที่บางครั้งก็จะมีผลหรือมารบกวนการทำงานของระบบเซนเซอร์ป้องกันการหลุดออกนอกเชนทางด้านขวาของตัวรถ, บางทีมันอาจจะต้องถูกถอดเปลี่ยน หรือไม่ก็ต้องเอาไปตั้งค่าใหม่”

“เมื่อคุณลองดูไปที่ตัวเลข(ราคา)เฉลี่ยของชิ้นส่วนที่ต้องถูกเปลี่ยน (เมื่อรถมีปัญหา), ก็จะเห็นว่ามันเพิ่มสูงขึ้นทุกๆปี, ถ้าคุณดูความถี่ที่เกิดขึ้นในงานซ่อมแซม ก็จะเห็นเลยว่ามันถี่ขึ้นเรื่อยๆ”

“แต่หากคุณได้ลองดูตัวเลขราคาชิ้นส่วนของรถยนต์แบรนด์อื่นๆที่พอจะนึกออก พวกมันเองก็มีค่าเฉลี่ยสูงขึ้นเช่นกัน และทั้งหมดที่ว่ามาจึงส่งผลให้เราต้องจ่ายค่าเสียหายเมื่อรถเกิดอุบัติเหตุที่สูงขึ้นตามไปด้วย”

และด้วยเหตุนี้ Ryan Mandell จึงหวังว่า นอกจากต้นทุนชิ้นส่วนบางอย่างของรถยนต์ไฟฟ้าจะถูกลง ตามจำนวนการผลิตที่มากขึ้น (ยิ่งผลิตมาก ต้นทุนการผลิตต่อชิ้นยิ่งน้อยลง) เช่น ค่าแบตเตอรี่ ที่ในช่วงขวบปีที่ผ่านมา มีมูลค่าต่ำลงราวๆ 11% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาไล่เลี่ยกันของปีก่อน

เจ้าตัวก็อยากให้ผู้ผลิตเน้นการสร้างแพลตฟอร์มรถยนต์ที่มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเมื่อเกิดอุบัติเหตุต่ำลงด้วย เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของลูกค้า ซึ่งหลายรายอาจจะไม่ต้องจ่ายค่าซ่อมแซมรถเองโดยตรง แต่ทางบริษัทประกันภัยก็ต้องเรียกเก็บเบี้ยประกันสูงขึ้นแทนอยู่ดี

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่
Tags: