ทุกวันที่เราใช้รถยนต์ในชีวิตประจำวัน เรื่องหนึ่งที่เราต้องทำประจำก็คงไม่พ้น “การเติมน้ำมัน” เพื่อเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง ที่ผ่านมาเราเติมน้ำมันบ่อยมาก แต่ไม่มีใครเคยบอกว่า แค่การเติมน้ำมันให้ถูกต้อง ก็ช่วยเซฟค่าน้ำมันได้มากโข

การเติมน้ำมันเป็นเรื่องใกล้ตัวมากๆ  และที่ผ่านมา ไม่มีใครเคยบอกคุณใช่ไหมว่า ใช้น้ำมันให้ถูกประเภทต้อง จะช่วยประหยัดการขับขี่  ลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้ถูกลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ …

 

รู้จัก “ออกเทน”…ตัวการความแตกต่าง

ถ้าไม่เล่นรถซิ่งหรือเรียนเรื่องวิศวกรรมยานยนต์มา  เชื่อเลยว่า คนจำนวนไม่น้อยก็พอจะรู้อยู่บ้างว่า ตัวเลข 91 – 95 ที่มีตามปั้ม คือค่าออกเทนในน้ำมันเชื้อเพลิงที่เราใช้ แต่เคยสงสัยไหม ว่าค่าออกเทนคืออะไร แล้วมันสำคัญไฉนกัน

ค่าออกเทน เป็นค่าที่เราใข้กันมายาวนานในปั้มน้ำมัน เพื่อบอกว่า น้ำมันชนิดนั้นไวไฟมากแค่ไหน ยิ่งออกเทนมากยิ่งไวไฟน้อย เนื่องน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นสารไฮโดนคาร์บอน ถูกกกลั่นแยกออกมาจากในน้ำมันดิบ แต่ส่วนที่นำมาใช้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงมี 2 ชนิด คือ ค่า isooctane (คาร์บอน 8 อะตอม ไฮโดรเจน 18 อะตอม และอีกค่าคือค่าของ  Heptane (คาร์บอน 7 อะตอม ไฮโดรเจน 16 อะตอม) ที่ส่งผลต่อการชิงจุดระเบิด

เพื่อแยกชนิดน้ำมันให้เข้าใจตรงกันแล็ปทั่วโลกจึงใช้ค่าดังกล่าวในการอ้างอิง แต่ยิ่งค่า isooctane   มาก อาการชิงจุดระเบิดจาก  Heptane   ก็น้อยลง (ไวไฟน้อย) นานมาแล้วผู้ผลิตน้ำมันบางรายนำเรื่องนี้มาใช้การโฆษณา ว่าช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานเต็มประสิทธิภาพในการจุดระเบิดมากขึ้น ส่งผลเรื่องการทำงานและพละกำลังของเครื่องยนต์ จนคนทั่วไป จำเพียงค่า “ออกเทน” และเชื่อว่ายิ่งมากยิ่งดี

 

ค่าออกเทน เติมตามที่ต้องการ ก็เริ่มประหยัดแล้ว

การเติมน้ำมันก็เหมือน การตีตั๋วเข้าชมแข่งฟุตบอล แค่คุณมีเงินพอในระดับหนึ่งคุณก็สามารถชมแมทช์สำคัญทีมโปรดได้ ค่าออกเทนในน้ำมันเหมือนที่นั่งในสนามฟุตบอล ยิ่งเยอะไม่ได้เกี่ยวกับความแรง อย่างที่เข้าใจ  

หากค่าออกเทนที่เหมาะสมสำหรับรถที่ใช้ จะถูกกำหนด โดยวิศวกรผู้สร้างเครื่องยนต์ ว่าเครื่องยนต์ในรถของคุณต้องเติมน้ำมันอะไร ออกเทนเท่าไร คุณเพียงต้องศึกษาค่าออกเทนที่เครื่องยนต์ต้องการ ก็สามารถเริ่มประหยัดทันที อย่างน้อย 30 สตางค์ เช่น เติมน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 91 แทน 95 เป็นต้น สามารถเซฟเงินไปได้หลาย 10 บาท ถ้าเติมเต็มถัง

และยิ่งค่าออกเทนในน้ำมันเยอะ ก็หมายความว่า น้ำมันเชื้อเพลิงจะถูกกลั่นออกมาจากหอกลั่นหลายขั้นตอนมากขึ้น จึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมน้ำมันออกเทนเยอะแพงกว่า 

 

ออกเทนไม่ได้ ปลดล็อค แต่สารแต่งเติมมีส่วนช่วย

“ความประหยัด” ไม่ได้หมายความว่า คุณลดค่าใช้จ่ายอย่างเดียว แต่กลับกัน การใช้สิ่งต่างๆ ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด เป็นอีกหนทางของแนวทางความประหยัดที่สามารถเลือกได้  ซึ่งในเมืองนอกเรียกว่า “การใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ” ( Fuel   Efficiency)

การเติมน้ำมันได้ออกเทนตามเครื่องยนต์ต้องการก็เพียงพอ โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายในระหว่างการขับขี่ แต่ก็มีหลายคนกล่าวอ้างและมั่นใจว่า เมื่อเติมน้ำมันไฮออกเทน รถของพวกเขากลับตอบสนองดีกว่าในการขับขี่ จนโยงมาถึงความเชื่อผิดๆ ว่า ยิ่งออกเทนสูง รถยิ่งแรง

มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่เครื่องยนต์จะตอบสนองดีกว่าจากน้ำมันที่มีค่าออกเทนสูงกว่า เนื่องจากค่าออกเทนถูกทำให้ทนการชิงจุดระเบิดในขั้นตอนการอัดของเครื่องยนต์ แต่สาเหตุสำคัญอีกด้านหนึ่งคือการใส่สารต้านชิงจุดระเบิดก็มีผลต่อการตอบสนองเครื่อง

สารประเภท  Oxygenate ถูกแนะนำใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 (โดยประมาณ) แทนสารตะกั่วที่เคยผสมน้ำมันต่อต้านการชิงจุดระเบิด  โดยสารชนิดถูกผสมเข้ากับน้ำมันเพื่อต่อต้านการชิงการจุดระเบิด (เพิ่มค่าออกเทน) ลดปริมาณคาร์บอนที่เกิดจากการเผาไหม้ และยังเพิ่มโมเลกุลออกซิเจนในน้ำมัน ยิ่งค่าออกเทนสูงก็ยิ่งเติมมากขึ้น ทำให้เมื่อเผาไหม้จึงมีความรุนแรงกว่าเล็กน้อย เราจึงรู้สึกว่าเครื่องยนต์ตอบสนองดี แล้วโยงความเชื่อไปยัง “ค่าออกเทน”

 ปัจจุบันสารนี้ถูกแทนที่ด้วยเอทนอลในเนื้อน้ำมัน ที่เราใช้กันในนาม “แก๊สโซฮอลล์” น้ำมันประเภทใหม่ๆ อย่าง  E20  และ   E85  จึงไม่มีการกำกับเลขออกเทนอีกต่อไป

เติมน้ำมัน

อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีการกำหนดออกเทนขั้นต่ำที่เครื่องยนต์ต้องการในการทำงาน แต่หากคุณเติมน้ำมันออกเทนสูงกว่าจะเป็นอย่างไร …

ด้วยความทันสมัยของเครื่องยนต์สมัยใหม่ ควบคุมระบบการทำงานด้วยอิเล็กทรอนิกส์ สามารถตรวจจับคุณลักษณะของการเผาไหม้ที่เกิดขึ้นจากการทำงานของเครื่องยนต์ได้

ถึงแม้ผู้ผลิตจะยังไม่มีการออกแบบเซนเซอร์ตรวจสอบเนื้อน้ำมันว่ามีส่วนผสมน้ำมันเป็นอย่างไร แต่ระบบควบคุมเครื่องยนต์ที่ทำงานโดยหน่วยประมวลผลคอมพิวเตอร์สามารถตรวจวัดการเผาไหม้ได้จาก ออกซิเจนเซ็นเซอร์ (O2 Sensor) ที่ติดตั้งบริเวณท่อไอเสีย

นอกจากนี้ ยังมี   Knock Sensor   ตรวจสอบความสั่นสะเทือนในการทำงานที่ผิดปกติของเครื่องยนต์คล้ายกับ หูฟังของคุณหมอตามโรงพยาบาลชั้นนำ คอยตรวจการทำงาน เซ็นเซอร์ทั้ง2 ที่กล่าวมา เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่สำคัญของการตรวจสอบการทำงานของเครื่องยนต์

เมื่อใช้ออกเทนสูง เครื่องยนต์จึงปรับจังหวะในการทำงาน อาทิการจ่ายน้ำมันและการจุดระเบิด ทำให้เครื่องยนต์ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือว่าง่ายๆ เครื่องยนต์เผาไหม้สะอาดสมบูรณ์ขึ้น

และในเครื่องยนต์บางแบบเช่นเครื่องยนต์ที่มีกำลังอัดสูง รวมถึงเครื่องยนต์สมัยใหม่บางรุ่นที่ติดตั้งระบบเทอร์โบชาร์จ(ศึกษาในคู่มือและรายละเอียดทางเทคนิคของรถ) น้ำมันออกเทนสูงสามารถดึงประสิทธิภาพการทำงานการตอบสนองของเครื่องยนต์ให้สูงขึ้นได้เล็กน้อย

 

“ความหนาแน่นพลังงาน” ข้อเท็จจริงเพิ่มพูนสมรรถนะ

สาธยายมายืดยาวล้านแปด เชื่อว่า คงพอจะเห็นแล้วว่า “ค่าออกเทน” ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสมรรถนะ ขับมันเป็นเพียงการต้านการชิงจุดระเบิดเท่านั้น

มาถึงจุดนี้ หลายคนคงสงสัยว่า แล้วทำไมเราจึงรู้สึกถึงความแตกต่างจากำลังและการตอบสนองของเครื่องยนต์ทันที เมื่อเราเปลี่ยนชนิดน้ำมันที่เราเติมใส่รถของเรา

เติมน้ำมัน

สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่เรารู้สึก อยู่ในเนื้อน้ำมันที่เราเติม น้ำมันแต่ละประเภทมีส่วนผสม (โดยเฉพาะค่าเอทานอลที่ผสม) จะให้ “ความหนาแน่นพลังงาน” แตกต่างกันออกไป มันคล้ายกับปริมาณดินปีนในลูกระเบิด ยิ่งมากยิ่งระเบิดแรง  โดยค่าพลังงานเหล่านี้มีการวัดไว้เป็นมาตรฐานทั่วโลก ด้วยหน่วย “เมกะจูล” (MJ) ต่อหน่วยวัด (สำหรับน้ำมันคือต่อลิตร)

ในน้ำมันเบนซิน บริสุทธิ์(ไม่ผสมเอทานอล) ที่มีวางจำหน่ายในปั้มน้ำมัน น้ำมันเบนซิน 1 ลิตร จะให้พลังงาน 34.2 เมกะจูล แต่เมื่อผสมด้วยเอทานอล กลายเป็นแก๊สโซฮอล์ E10  (น้ำมัน 90% ผสมเอทานอล 10% )  ความหนาแน่นพลังงานจะน้อยลงให้พลังงานเพียง 34.2*0.90 = 30.78 เมกะจูล เมื่อรวมกับเอทานอลที่มีค่าพลังงาน 24 เมกะจูลต่อลิตร ในสัดส่วน 10%  จะได้ค่าพลังงาน 24*0.10 =  2.4 เมกะจูล  ดังนั้นแก๊สโซฮอลล E10  มีความหนาแน่นพลังงานจะเท่ากับ 30.78+2.4= 33.18 เมกะจูล

เมื่อนำค่าพลังงานที่ให้ต่อน้ำมัน 1 ลิตร มาหาค่าความแตกต่าง ระหว่างน้ำมันเบนซินปกติ กับ น้ำมันแก๊สโซฮอล์  E10 ความแตกต่างในการให้พลังงาน ต่อน้ำมัน 1 ลิตร เท่ากับ 34.2-33.18 = 1.08 เมกะจูลต่อลิตร ฟังดูน้อยก็จริง แต่ยังไงก็แตกต่าง

สรุป ความหนาแน่นในพลังงานของน้ำมันที่วางจำหน่ายในสถานีบริการ

  ความหนาแน่นพลังงาน  (เมกะจูล/ลิตร) ค่าออกเทน ราคาจำหน่าย (บาท)
น้ำมันดีเซล (พรีเมี่ยมเกรด) 38.6 27.49
ดีเซลหมุนเร็วปกติ (B7) 38.208 24.49
น้ำมันเบนซิน 95 34.2 95 33.46
แก๊สโซฮอล 95 33.18 95 26.35
แก๊สโซฮอล 91 33.18 91 26.08
แก๊สโซฮอล 95 (E20) 32.16 97-98 23.84
แก๊สโซฮอล 95 (E85) 25.65 105 19.54

หมายเหตุ ราคาจำหน่าย ณ วันที่ 6 พฤษภาคม 2560 ,

 

ค่าความร้อนจากพลังงาน เรื่องที่ตอบว่าทำไมจึงขับดีกว่า

ความหนาแน่นในพลังงานเป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้น้ำมันแต่ละชนิดที่เราดูราคาจำหน่ายเป็นหลัก มีความประหยัดและประสิทธิภาพในการขับขี่แตกต่างกัน

ถึงเราจะสรุปเบื้องต้นว่า “ความหนาแน่นของพลังงาน” ทำให้เครื่องยนต์ตอบสนองต่อน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดแตกต่างกัน การปรับการจ่ายน้ำมันและการจุดระเบิดให้เหมาะสมของเครื่องยนต์  แต่ส่วนสำคัญที่สุดอยู่ที่ค่าความร้อนที่ได้จากความหนาแน่นพลังงานในแต่ละรอบการจุดระเบิดของเครื่องยนต์

หรือพูดให้เข้าใจง่ายคือ ยิ่งน้ำมันเชื้อเพลิงมีความหนาแน่นพลังงานมาก เมื่อจุดระเบิดในการทำงานจะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น คล้ายคุณโยนระเบิดลูกใหญ่กว่าลงในเครื่องยนต์ หัวฉีดไม่จำเป็นต้องจ่ายน้ำมันมาก เพื่อให้ได้การจุดระเบิดที่มีประสิทธิภาพตามต้องการ นั่นจึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมน้ำมันแต่ละชนิดให้ระยะทางแตกต่างกัน และหมดถังช้าหรือเร็วแตกต่างกัน (แม้จะขับในเส้นทางและขับโดยคนๆ เดียวกัน)

ตารางแสดงค่าความร้อนที่ได้จากน้ำมันแต่ละประเภท

ประเภทน้ำมัน ค่าความร้อนที่ได้ (บีทียู/ US แกลลอน)
น้ำมันเบนซิน 115,000
น้ำมันแก๊สโซฮอลล์ ส่วนผสม 10% (E10) 111,070
น้ำมันแก๊สโซฮอลล์ ส่วนผสม 10% (E20) 107,140
น้ำมันแก๊สโซฮอลล์ ส่วนผสม 85% (E85) 81,595

 

ที่มา   Brattle.com -2010 Can the U.S. Ethanol Mandate be Met

 

ทดลองพิสูจน์จริง … เติมน้ำมันให้ถูก..ประหยัดได้ชัวร์


ปกติแล้วทุกครั้งที่เขียนหรือคุณได้อ่านข้อมูล แล้วเพื่อนๆ ก็ทำได้แค่นำไปลองใช้กับตัวเองก็เท่านั้น แต่ก่อนเขียนบทความชิ้นนี้ผมเองศึกษาเรื่องนี้มาสักระยะ และทดลองด้วยตัวเองก่อนแล้วว่า จริงเท็จแค่ไหน  

ผมได้มีโอกาสพิสูจน์เรื่องการใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อช่วงสงกรานต์ (2560)ที่ผ่านมา โดยผมกับเดือนมีธุระจะต้องไปยังจังหวัดนครศรีธรรมราช และเราตัดสินใจว่าการขับรถลงไปน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

 

การเดินทางผมเริ่มต้นด้วยน้ำมันแก๊สโซฮอลแบบ  E20  ในถังแรก (ขาล่อง) ในรถยนต์   Subaru  XV ใช้เครื่องยนต์ Boxer  ขนาด 2.0 ลิตร  

ตอนนั้นน้ำมัน  E20  ราคาลิตรละ 25.14 บาท หลังเติมเต็มถังจากแถวบ้านบางใหญ่ขับไปรับครอบครัวเดือนที่ปากเกร็ด จนในรถมีผู้โดยสารทั้งสิ้น 4 คน พร้อมสัมภาระของแต่ละคน แต่พี่ชายเดือนเป็นคนตัวใหญ่มากหนักประมาณ 120-130 กิโล จึงเทียบเท่ากับการนั่งในรถ 5 คน

เราเดินทางโดยออกจากกทม. ขับไปเรื่อย ด้วยความเร็วเดินทาง 100-140 ก.ม./ช.ม. แวะจอดปั้มบ้างเป็นระยะ จนพ้นช่วงประจวบจึงใช้ความเร็ว 120-140 ก.ม./ช.ม. เป็นหลัก เนื่องจากเป็นทางยาวและถนนดีตลอดทาง ผ่านลงชุมพร แล้วมาเติมน้ำมันหลังเตือนน้ำมันขีดแดง ที่ปั้มคาลเท็กซ์ที่ อำเภอ ท่าชนะ จังหวัด สุราษฎ์ธานี ก่อนเติมผมบันทึกการเดินทางไว้ 625 กิโลเมตร บนหน้าปัดโชว์ตัวเลข 8.0 ลิตร/100 กิโลเมตร หรือประมาณ 12.5 ก.ม./ลิตร

เติมน้ำมัน

 

ในถังที่ 2 ผมเติมแก๊สโซฮอล95 แต่ไม่สามารถวัดเพื่อการทดลองได้ เนื่องจากเป็นการใช้งานในเมืองสลับกับขับไปๆ มาๆ ในหมู่บ้าน จนวันกลับก่อนออกจากสุราษฏร์ธานี  จึงเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล 95  อีกถัง (แถวท่าชนะ) เพื่อทดสอบการเลือกใช้น้ำมันให้มีประสิทธิภาพ (ราคาน้ำมันลิตรละ 27.65 บาท แพงกว่า  E20 ลิตรละ 2.51 บาท)

สิ่งเดียวที่เปลี่ยนคือ เป็นเส้นทางขาขึ้นเข้ากรุงเทพ การขับก็เหมือนเดิมใช้ความเร็ว 100-140 ก.ม./ช.ม .แล้วแต่ช่วง ระหว่างทางมีการจอดแวะพักทานข้าว แวะปั้มบ้าง จนมาถึงกรุงเทพ ผมกดดูค่าอัตราประหยัดน้ำมันได้  7.4 ก.ม./ลิตร เทียบเท่าอัตราประหยัด 13.5 ก.ม./ลิตร

มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะคิดว่า ประหยัดกว่าเพียง 1 กิโลเมตรต่อลิตร เป็นตัวเลขที่น้อยจัง แถมยังต้องจ่ายเพิ่มอีกลิตรละ 2.5 บาทด้วยซ้ำ น่าจะได้ไม่คุ้มเสีย

 แต่ถ้ามาคำนวนให้ดี จะพบความแตกต่าง  8%  ในอัตราประหยัด เพียงแค่เติมน้ำมันให้ถูกต้อง โดย  Subaru XV   จะมีการเตือนน้ำมันอยู่ในระดับต่ำ เมื่อคงเหลือในถัง 7 ลิตร(อ้างอิงจากคู่มือรถยนต์  Subaru XV) ถ้าตัดระยะทางแปรผันในระหว่างที่วิ่งหาปั้มน้ำมันออกไป เมื่อน้ำมันติดแดง ผมจะต้องเติมน้ำมันทั้งสิ้น 60-7 = 53  ลิตร

ผมนำ 53 ลิตร มาคำนวณระยะทางที่ควรได้ในการเดินทางด้วยแต่ละชนิดน้ำมัน

น้ำมัน  E20  ระยะทางที่สามารถเดินทางได้จนติดแดง คือ 53*12.5=  662.5 กิโลเมตร

น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10  ระยะทางที่สามารถเดินทางได้จนติดแดงคือ  53*13.5= 715.5 กิโลเมตร

เบื้องต้น คุณจะได้ระยะทางเพิ่มขึ้นทันที 53 กิโลเมตร เมื่อเปลี่ยนชนิดน้ำมันใช้ในการเดินทาง

เมื่อนำมาคำนวณเพิ่มเติมระยะทางค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่เกิดขึ้น 

ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการใช้น้ำมัน   E20   คือ  53*25.14= 1,332.42 บาท ปัดเป็น 1,333 บาท  แล้วหารด้วยระยะทาง 662.5 กิโลเมตร จะตกเฉลี่ย 2.00 บาท ต่อกิโลเมตร

ส่วนค่าใช้จ่ายที่เดินทางด้วยน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10  จะเท่ากับ 53*27.65 = 1465 .45 บาท   ปัดขึ้นเป็น 1,466 บาท เติมแพงกว่า หรือเติมแพงกว่าเพียง 133 บาท แล้วหารด้วยระยะทาง 715.5 กิโลเมตร จะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 2.04 บาทต่อกิโลเมตร

เติมน้ำมัน

เมื่อมากางดูความคุ้มค่า ผมเดินทางโดย จ่ายแพงกว่าในน้ำมันแก๊สโซฮอล E10  ถึง 133 บาท แต่ไปได้ไกลกว่า  53 กิโลเมตร  เทียบกับเติมน้ำมัน  E20 และอาจจะไปได้ไกลกว่านี้ ถ้าขับด้วยความเร็วปกติชนควรทำ

ส่วนสำคัญอยู่ที่ส่วนต่างเอทานอล หากคุณเติมด้วย E20   จะมีปริมาณเอทานอล (ไม่รวมคงค้างถัง) 10.6 ลิตร  ขณะที่ E10  มีปริมาณเอทนอลเพียง 5.3 ลิตร เอทานอลที่น้อยลงทำให้มีความหนาแน่นพลังงานมากขึ้น และให้ความร้อนต่อการจุดระเบิดมากขึ้น มันดีต่อรถเมื่อขับทางไกล หรือขับรถที่มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่

ข้อสรุปของผม คล้ายกับ การวิจัยในห้องแล็ปในมหาวิทยาลัยเนบราสก้า (Mid-Level Eternal Blend Study 2009, Nebraska University)  ที่ศึกษาวิจัยเรื่องการผสมเอทานอลในน้ำมันระดับกลาง โดยจากการศึกษาวิจัย พบว่า น้ำมันที่มีส่วนผสมเอทานอลตั้งแต่ E10 ,E20 ไปจนถึง  E85  มีค่าความหนาแน่นพลังงานลดน้อยลงไปเมื่อมีการผสมเอทานอลมากขึ้น และการใช้น้ำมันเอทานอล   E20  กลับมีค่าใช้จ่ายมากว่าในความเป็นจริง โดยเฉพาะการบรรทุกหนัก (นั่งเต็มรถ) เมื่อเทียบกับการใช้น้ำมัน  E10  ในภาวะเดียวกัน

เติมน้ำมัน
แต่สิ่งหนึ่งที่กล่าวอย่างถูกต้องในการวิจัยดังกล่าว คือความหนาแน่นพลังงานไม่ใช่ทุกสิ่งของการใช้น้ำมันให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทว่าอยู่ค่าความร้อนที่ได้จากน้ำมัน จากการคำนวณ น้ำมัน  E10  มีค่าความร้อนจากการจุดระเบิด เท่ากับ 30,018 BTU / ลิตร  ส่วน  E20  มีค่าความร้อน 28,956 บีทียู/ลิตร (คำนวณ โดยเอาค่าความร้อนตามมาตรฐาน หารด้วย 3.7 ลิตร ตามค่า  US Gallon)

สรุปค่าใช้จ่ายในการเดินทาง จากการทดลองการใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ  Subaru XV 2.0  (2014)

    สมมุติฐาน เติม 53 ลิตร เมื่อขีดแดง  
  ค่าน้ำมัน ต่อลิตร  (บาท) ราคาเต็มถัง (บาท) ระยะทางที่วิ่งได้ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตร (บาท) ค่าความร้อน ต่อลิตร
(BTU
)
แก๊สโซฮอล E10 (95) 27.65 1,466 (+133) 715.5(+53) 2.04 (+0.04) 30,018
แก๊สโซฮอล E20 (95) 25.14 1,333 622.5 2.00 28,956 (-1,062)

 

สามารถสรุปได้ว่า ค่าความร้อนจากการจุดระเบิดในการเผาไหม้ ของ  E10  ดีกว่า เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากกว่า ทำให้วิ่งระยะทางมากกว่า คุณอาจจะเติมถังเดียวอาจวิ่งยาวถึงปลายทาง  และมีแนวโน้มดีกว่านี้หากคุณใช้ความเร็วน้อยกว่าที่ผมขับขี่ในการทดลอง ไม่มีปัจจัยในการบรรทุกผู้โดยสารหรือสิ่งของ หรือเป็นเครื่องยนต์ประเภทเทอร์โบชาร์จหรือเครื่องยนต์รุ่นใหม่ ที่มีกำลังอัดในเครื่องยนต์สูง

***ในทางกลับกันกับการทดลอง ถ้าคุณเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล e10  ใช้ในเมืองผ่านพื้นที่รถติด เครื่องยนต์ถูกติดใช้งานโดยไม่ได้ขับเคลื่อน น้ำมันที่มีราคาถูกกว่า  E20 น่าจะตอบเรื่องค่าใช้จ่ายถูกกว่า

 

สรุป เลือกเติมน้ำมันให้ดี เพียงเปลี่ยนก็ประหยัดคุ้มค่ากว่า

อ่านมายาวนาน หลายคนคงเริ่มละสงสัยว่า เพียงแค่เติมน้ำมันจะประหยัดคุ้มค่ากว่า จริงหรือ

ก่อนอื่น ให้คุณลบความคิดเรื่อง “ค่าออกเทน” ไปก่อน ว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับการทำงานของเครื่องยนต์ให้ดีขึ้นแต่อย่างใด ค่าออกเทนเพียงทำให้เครื่องยนต์คุณไม่ชิงจุดระเบิดเท่านั้น และไม่มีส่วนเกี่ยวเนื่องกับการให้พลังงานอย่างที่เข้าใจ แม้ว่าน้ำมันที่มีออกเทนสูงจะมีราคาแพงกว่า นั่นเพราะยิ่งออกเทนสูงยิ่งต้องผ่านกระบวนการกลั่นมากกว่า

แต่สิ่งที่อยู่ในน้ำมันและทำให้เครื่องยนต์ขับดีขึ้นจุดระเบิดมีประสิทธิภาพ คือค่าความหนาแน่นพลังงาน (Energy Density)  มันให้ “พลังงานความร้อน” เมื่อเกิดการจุดระเบิดต่างกันออกไป ตามส่วนผสมในน้ำมัน โดยเฉพาะส่วนผสมเอทานอล และยังรวมถึงสารประกอบอื่นๆ  (Addictive)  ที่ทางผู้ผลิตปรุงแต่ง

เติมน้ำมัน

การจะเติมน้ำมันให้คุ้มค่า อาจจะต้องดูหลายองค์ประกอบเป็นส่วนสำคัญ โดยเริ่มจากตัวคุณเองเป็นสำคัญ คือ

1.รถยนต์ที่ใช้รองรับพลังงานทางเลือก ได้ขนาดไหน ปัจจุบันรถยนต์ส่วนใหญ่ที่วางจำหน่ายส่วนใหญ่สามารถเติมน้ำมัน   E20   ได้ และบางยี่ห้อ-บางรุ่นสามารถเติม   E85   ได้

2.ดูความต้องการของเครื่องยนต์ในรถ ถึงค่าออกเทนจะไม่มีส่วนตามเรื่องความแรงอย่างที่เราเข้าใจ แต่มันมีส่วนสำคัญต่อการทำงานของเครื่องยนต์ ไม่ให้เกิดการทำงานผิดพลาด เกิดการชิงจุดระเบิดจนเครื่องยนต์ได้รับความเสียหาย และยิ่งสำคัญ ถ้ารถคุณออกแบบให้มีกำลังอัดสูงและหรือติดตั้งระบบเทอร์โบชาร์จในเครื่องยนต์ สมควรสำรวจค่าออกเทนจากผู้ผลิต หรืดดูจากสมุดคู่มือประจำรถ

3.ใช้น้ำมันให้ถูกสถานการณ์ หลายคนมักคิดว่าเติมน้ำมันแบบไหนก็เหมือนกันในการขับขี่แต่บางครั้ง คุณต้องว่าคุณกำลังเดินทางแบบใดด้วย การทำงานของเครื่องยนต์อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน คุณอาจจะจำเป็นต้องใช้น้ำมันที่ให้ค่าความร้อนในการเผาไหม้มากกว่า แม้ว่าจะเติมแพงกว่า แต่เมื่อเครื่องยนต์ปรับตัวให้สอดคล้องแล้ว จะให้ประสิทธิภาพในการทำงานดีกว่า ส่งผลให้ไปได้ไกลกว่า และถึงราคาต่อลิตรจะแพงกว่า 2-3 บาท แต่เมื่อมาดูค่าใช้จ่ายจริงๆ จะพบว่าต่างกันไม่มาก

4.ภาวะการบรรทุกน้ำหนัก น้ำหนักที่มากขึ้นส่งผลต่อการประหยัดน้ำมันอย่างไม่ต้องสงสัย แต่การเติมน้ำมันที่ถูกต้องย่อมส่งผลต่อการขับขี่มากขึ้น โดยเฉพาะถ้าคุณบรรทุกสิ่งของหรือโดยสารเต็มคันในการเดินทาง

จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยเนบราสก้า ซึ่งทดลองเรื่อง “Mid-level Ethanol Blend Study: Chassis Dynamometer Study of Flex Fuel Vehicles” ที่ทำการศึกษาเมื่อปี 2009 ให้ผลสรุปที่น่าสนใจ ว่า รถที่มีน้ำหนักมากกว่า จะให้ประสิทธิภาพคุ้มค่าใช้จ่ายในการเดินทางมากกว่า ถ้าใช้น้ำมันออกเทนสูง และให้ค่าพลังงานสูง

โดยจากการทดสอบในรถยนต์ 3 รุ่น ของการวิจัย ดังกล่าว ชี้ชัดว่าน้ำมันแบบ   E10  หากขับด้วยความเร็วคงที่ด้วยความเร็ว 105 ก.ม./ช.ม. จะให้ประสิทธิภาพลังงานในการจุดระเบิดดีกว่า  และยิ่งใช้เครื่องยนต์ที่มีขนาดใหญ่การเติมน้ำมันที่ให้พลังงานมากกว่า มีความเกี่ยวข้องมากขึ้นในการเลือกใช้น้ำมัน

 

การเติมน้ำมันเป็นเรื่องง่ายที่เราทำกันเป็นประจำ แต่การเติมน้ำมันให้คุ้มค่าเป็นเรื่องที่ยากกว่าที่คิด มันมีหลายเรื่องที่เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะราคาจำหน่ายที่อาจจะทำให้คุณอยากจะประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ทั้งที่บางครั้งการเติมแพงกว่ากลับให้ประสิทธิภาพในการขับขี่และระยะทางมากกว่า เพียงจ่ายมากกว่าแต่ได้ความคุ้มค่าตอบการเดินทางอย่างไม่น่าเชื่อ … งวดหน้าลองเปลี่ยนแนวคิดการเติมน้ำมัน จากดูราคาลิตรละ ลองคำนวณค่าใช้จ่ายรวมที่จะได้ น่าจะดีกว่า และใช้ประสิทธิภาพจากน้ำมันมากกว่า

 

เรื่อง โดย ณัฐยศ ชูบรรจง

 

ชอบกดไลค์ใช่กดแชร์ ขอบคุณทุกกำลังใจสำหรับพวกเรา   ridebuster.com 



แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่