หลายปีที่ผ่านมาบรรดาค่ายรถหรูพากันเปิดตัว รถยนต์ลูกครึ่งปลั๊กอินไฮบริดเป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้ใช้หลายคนมีข้อสงสัยมากมาย ว่ารถชนิดนี้จำเป็นต้องเสียบชาร์จไฟอยู่ตลอด หรือว่ายังไงกันแน่?

เชื่อหรือไม่ว่าผู้คนส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับรถ Hybrid กับ Plug-in Hybrid แม้ว่าเหล่าบริษัทรถหรูจะนำเอารถปลั๊กอินไฮบริดมาวางขายเป็นจำนวนมาก ทว่าการให้ความรู้ข้อมูลที่ถูกต้องกลับไม่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ดีนัก หลายคนยังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วรถไฮบริดกับปลั๊กอินไฮบริดนั้นทำงานเหมือนกันทุกประการ ต่างเพียงข้อเดียวเท่านั้นคือ…

Hybrid vs Plug-in Hybrid?

อันดับแรกเรามาทำความเข้าใจพื้นฐานของรถไฮบริดกับรถปลั๊กอินไฮบริดกันก่อน โดยปกติแล้วรถทั้งสองชนิดที่กล่าวมาจะมีหัวใจสำคัญอยู่ 3 ส่วน ได้แก่ เครื่องยนต์ (เบนซิน,ดีเซล) มอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี ซึ่งหากเป็นรถไฮบริดปกติความจุแบตเตอรีจะเก็บไฟฟ้าได้ไม่มาก ทำให้รถไฮบริดวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าอย่างเดียวได้ระยะทางไม่เกิน 7 กม. คิดง่ายๆ ว่ารถชนิดนี้เหมาะกับการขับโหมดไฮบริดปกติ พลังไฟฟ้ากับเครื่องยนต์จะถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

กรณีของรถปลั๊กอินไฮบริดต่างกันอยู่เล็กน้อย เนื่องจากรถชนิดนี้มีความจุแบตเตอรีขนาดใหญ่กว่ามาก ให้ความจุตั้งแต่ 6-11 กิโลวัตต์ชั่วโมง เพียงพอให้วิ่งด้วยกำลังจากไฟฟ้าได้ระยะทางราว 20-40 กม. ด้วยสภาพการใช้งานจริง ซึ่งจุดเด่นนี้เองเหมาะอย่างยิ่งสำหรับใครก็ตามที่ใช้รถต่อวันไม่เกิน 40 กม. ทำให้ประหยัดเงินค่าน้ำมันได้ดีทีเดียว

รถปลั๊กอินไฮบริด

สองระบบนี้อะไรดีกว่ากัน?

จากที่เรานำเสนอข้อมูลไปก่อนหน้าว่ารถไฮบริดวิ่งด้วยไฟฟ้าอย่างเดียวได้ระยะทางต่ำกว่า แต่ใจความสำคัญของมอเตอร์ไฟฟ้ากับแบตเตอรีบนรถไฮบริด คือ ช่วยเพิ่มสมรรถนะการขับที่ความเร็วต่ำ ช่วยในการเร่งแซง ซึ่งมาทดแทนน้ำมันจำนวนมากที่ต้องถูกเผาไปในการขับเงื่อนไขดังกล่าว พูดง่ายๆ คือช่วงไหนกินน้ำมันมากที่สุด มอเตอร์ไฟฟ้าจะทำหน้าที่แทนเครื่องยนต์ นั่นหมายความว่ารถไฮบริดไม่จำเป็นต้องมีแบตฯ ความจุสูงก็ทำงานได้ดีตามจุดประสงค์ที่ออกแบบไว้ ส่วนข้อดีคงเป็นเรื่องที่เวลาแบตฯ เสื่อมไม่ต้องจ่ายเงินสูงมาก

มาถึงเรื่องราวฝั่งรถปลั๊กอินไฮบริดกันบ้าง อย่างที่ทุกคนทราบดีว่ารถชนิดนี้สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ แน่นอนว่าเมื่อชาร์จไฟจนเต็มช่วยให้คุณขับรถไปที่ไหนก็ตามในระยะทาง 20-40 กม. โดยที่เครื่องยนต์ไม่ถูกสตาร์ทขึ้นมาทำงานเลย หลายคนที่ใช้รถปลั๊กอินไฮบริดจึงชื่นชอบความสามารถในด้านนี้เป็นอย่างมาก และแน่นอนว่ากรณีการขับรถแบบปกติ พลังไฟฟ้ากับเครื่องยนต์ก็จะทำงานในรูปแบบเดียวกับรถไฮบริดไม่มีผิดเพี้ยน อย่างไรก็ตาม ข้อด้อยของรถชนิดนี้คือต้องจ่ายเงินค่าแบตฯ กรณีเสียมากกว่ารถไฮบริด

รถปลั๊กอินไฮบริด

อ้าว!! แล้วรถปลั๊กอินไฮบริดไม่ต้องชาร์จแบตฯ จะเป็นอะไรไหม?

คำถามนี้ผุดขึ้นมาในหัวของใครหลายคน แต่เราอยากจะให้ทุกท่านเข้าใจว่า รถปลั๊กอินไฮบริดขับแบบไม่เสียบไฟชาร์จแบตฯ ก็สามารถวิ่งได้ปกติ เพราะโดยพื้นฐานแล้วเวลาขับรถไปตามปกติระบบควบคุมกลางก็จะสั่งจ่ายไฟพร้อมกับชาร์จไฟเข้าแบตฯ โดยอัตโนมัติเมื่อรถเร่ง เบรก หรือชะลอความเร็วลงอยู่เสมอ แต่ในกรณีที่แบตเตอรีหมดความแรงกับความประหยัดที่รถเคยทำได้สูง จะด้อยลงกินจุแถมเร่งอืดกว่าปกติมาก เนื่องจากรถต้องใช้กำลังเครื่องปั่นไฟป้อนแบตเตอรี

ทีนี้ยังมีประเด็นหนึ่งที่ผู้ผลิตรถระบุว่า รถปลั๊กอินไฮบริดควรชาร์จไฟจนเต็มประจุ 1 ครั้งทุกสัปดาห์ เพื่อเป็นการกระตุ้นเซลล์เก็บประจุให้ทำงานครบ ช่วยลดการเสื่อมของแบตฯ ในการใช้งานระยะยาว ข้อนี้เองที่ทำให้รถชนิดนี้ต่างจากรถไฮบริดปกติ ที่ขับไปยังไงก็ได้ไม่ต้องมากังวลเรื่องต้องหาที่เสียบปลั๊กชาร์จไฟ

รถปลั๊กอินไฮบริด

สรุป รถปลั๊กอินไฮบริดควรชาร์จไฟจนเต็มสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

ขอออกตัวก่อนว่าเราเองก็มิใช่ปรมาจารย์ด้านรถไฮบริดหรือปลั๊กอินไฮบริด แต่ที่เราบอกว่าผู้ใช้รถปลั๊กอินไฮบริดควรชาร์จไฟจนเต็มสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง มาจากการศึกษาข้อมูลบวกกับอ่านคู่มือการใช้รถ เพราะถ้าพิจารณาตามความจริง ว่ารถชนิดนี้มีแบตเตอรีความจุสูง นั่นหมายความว่าการขับขี่แบบปกติจะไม่ทำให้กระแสไฟชาร์จเข้าเต็มระบบได้เลย ดังนั้นการเสียบชาร์จไฟจึงถือว่าช่วยให้แบตฯ ทำงานเต็มประสิทธิภาพ และยังส่งผลถึงการเสื่อมสภาพในระยะยาวอีกต่างหาก

ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่