Pirelli Daiblo Rosso ถือเป็นหนึ่งในซีรี่ย์ยางที่ชาวมอเตอร์ไซค์สายทางเรียบรู้จักกันดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Pirelli Daiblo Rosso III ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติเด่นหลายๆด้าน ว่าแต่ในการใช้งาน รีวิว จริง มันจะดีสักแค่ไหนกันล่ะ ?

ก่อนอื่น สำหรับยาง Pirelli Daiblo Rosso III ที่เราได้นำมา รีวิว ในครั้งนี้ แท้จริงแล้วยางรุ่นนี้ไม่ใช่ยางซีรีย์ใหม่ เพราะมันถูกเปิดตัวและวางขายในตลาดโลกมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี จนตอนนี้มันได้มีรุ่นน้องอย่าง Pirelli Rosso IV คลอดตามออกมาแล้วเสียด้วยซ้ำ

แต่จุดที่น่าสนใจของมันก็คือ หากมองจากรูปแบบการใช้งานทั่วๆไป อันที่จริงเจ้า Rosso III ก็ถือว่ามาพร้อมกับคุณสมบัติต่างๆที่ถือว่าเหลือเฟือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเทียบกับรุ่นพี่อย่าง Rosso II เราก็จะเห็นได้ว่ามันคือยางที่ถูกสร้างมาให้ดูถูกใจผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์สายสปอร์ตขึ้นมาก

หรือหากเทียบกับยางอีกหนึ่งรุ่นที่ถูกสร้างมาด้วยโจทย์การใช้งานใกล้เคียงกัน แต่เป็นรุ่นรองกว่าอย่าง Rosso Sport เจ้า Rosso III เอง ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ดูเหมาะแก่การอัพตังค์ขึ้นมาเพื่อซื้อมันไว้ใช้งาน

เริ่มจากหน้าตาของยาง

ที่สะดุดตาด้วยลายดอกยางแบบ “ลายสายฟ้า” อันเป็นเอกลักษณ์ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากยางสปอร์ตกึ่งสนาม “Pirelli Diablo Supercorsa” และช่วยให้มันดูสวยกว่ารุ่นพี่ Rosso II เป็นอย่างมาก แถมยังมีการพิมพ์ตัวอักษรชื่อรุ่นไว้ด้านข้างยาง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ค่อยพบเห็นเท่าไหร่นักในยางแบรนด์อื่นๆอีก ก็ยิ่งทำให้มันน่าใช้มากขึ้นไปกันใหญ่

แต่ด้วยความเป็นยางที่เน้นการใช้งานบนถนนเป็นหลัก ซึ่งในหลายครั้งสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เราก็ต้องเจอกับถนนลื่น หรือถนนเปียกท่ามกลางฝนตก ลายดอกยางของมันจึงมีความกว้าง และถี่กว่ากันอย่างเห็นได้ชัด เพื่อการรีดน้ำที่ รวดเร็ว และฉับไว

และทั้งนี้ คุณก็ไม่ต้องกลัวว่าลายดอกยางของมัน จะทำให้หน้ายางสูญเสียพื้นที่ผิวสัมผัสกับพื้นถนน เมื่อวิ่งบนทางแห้ง เพราะหากคุรสังเกตให้ดี ก็จะพบว่าตัวลายดอกยางกินพื้นที่มาตรงกลางยางไม่มากเท่าไหร่นัก ดังนั้นหากเป็นการวิ่งขี่ด้วยความเร็วสูงช่วงทางตรง ตัวยางก็ยังสามารถยึดเกาะผิวถนนได้ดี ส่งกำลังจากเครื่องยนต์ผ่านล้อสู่ผิวถนนได้อย่างเต็มเปี่ยม

หรือแม้กระทั่งในการเอียงโค้งหนักๆ ตัวดอกยางก็จะยิ่งน้อยลงอีก เพื่อเพิ่นพื้นที่ผิวสัมผัสของยางให้มากขึ้นเช่นกัน เพราะฉะนั้น ในวันที่ถนนแห้ง และคุณมีทักษะมากพอ พื้นถนนปลอดภัยมากพอ ที่จะเอียงรถจนหมดขอบ เราก็สามารถเอียงรถได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องกลัวว่ายางจะสูญเสียการยึดเกาะแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ดูเหมือนยาง Rosso III ที่ส่งเข้ามาขายในประเทศไทย จะมีการทำสีตัวอักษรชื่อยาง และรุ่นยาง ที่แก้มยาง เป็นสีแดง ให้ด้วย จึงทำให้ยางดูสวย และล้อรถของคุณยิ่งดูโดดเด่นขึ้นไปอีก

ซึ่งนี่คือทั้งหมดที่สามารถเห็นได้ด้วยตา

ส่วนคุณสมบัติอื่นที่ถูกซ่อนเอาไว้ในตัวยางรุ่นนี้

ก็เรียกได้ว่าค่อนข้างครบครัน ในแบบที่ยางสปอร์ตระดับกลางค่อนไปทางสูงควรจะเป็น ไม่ว่าจะเป็น

  • การใช้โครงสร้างเรเดียล ที่ช่วยให้ยางมีความสเถียร เมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง, มีความแข็งแรง ไม่เสียรูปง่าย เมื่อเจอกับแรงกระทำจากสภาวะต่างๆ ไม่ว่าจะการทิ้งโค้งด้วยความเร็วสูง หรือการตกหลุมโดยไม่ตั้งใจ (แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า มันจะไม่มีโอกาสได้รับความเสียหายเลย หากหลุมที่ตกไปนั้นลึกจริงๆ)

    และยังทำให้ยางมีน้ำหนักเบา กว่ายางที่ใช้โครงผ้าใบ ช่วยให้รถสามารถเรียกอัตราเร่งได้เร็ว พลิกเลี้ยวได้เร็วกว่าเดิมขึ้นไปอีก
  • รูปทรงหน้ายางแบบกึ่งๆ V-Shape ช่วยให้รถสามารถพลิกเลี้ยวได้ไวขึ้น เพิ่มความคล่องตัวขณะเล่นโค้ง และยังทำให้ยางมีพื้นที่ผิวสัมผัสทางด้านข้างมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ทำให้เราสามารถทิ้งโค้งได้อย่างมั่นใจ
  • เนื้อยางมีการผสมสารซิลิกา ช่วยลดการช็อค หรือแข็งตัวกระทันหันของยางเมื่อเจอน้ำ หรือฝน ทำให้ยางมีการสูญเสียความสามารถในการยึดเกาะผิวถนนยามฝนตกน้อยลง และยังช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานยิ่งขึ้น
  • คอมพาวน์ยางค่อนข้างนุ่ม จึงทำให้มันสามารถสร้างแรงยึดเกาะได้ดีกว่ายางถนนทั่วๆไป แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่ามันจะสึกไว เพราะอย่างที่เราได้เกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ ว่ายางมีการผสมสารซิลิกา ที่ช่วยยืดอายุการใช้งาน และลดการสึกหรอเอาไว้แล้ว

    แถมยางหลังยังมีการปรับคอมพาวน์ยางไว้ 2 ระดับ นั่นคือ เนื้อยางแบบค่อนข้างแข็งนิดๆ (Medium Hard) ตรงกลาง เพื่อยืดอายุการใช้งานของยางให้มากขึ้น สำหรับการวิ่งในชีวิตประจำวันที่คงไม่ค่อยมีใครได้ทิ้งโค้งมากเท่าไหร่นัก

    ส่วนเนื้อยางด้านข้าง ก็มีการปรับคอมพาวน์ไว้ให้นุ่มกว่าตรงกลาง เพื่อความสามารถในการสร้างแรงยึดเกาะที่หนึบกว่าเดิมในยามทิ้งโค้ง

แล้วสัมผัสจากการใช้งานจริงล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง ?

ต้องบอกก่อนว่า สำหรับยาง Pirelli Rosso III ที่ผมได้มาในครั้งนี้นั้น แอบจะผิดไซส์จากยางเดิมที่รถส่วนตัวใช้อยู่เล็กน้อย เพราะยางไซส์เดิมติดรถที่ผมต้องใช้ ก็คือไซส์ 110/70-17 และ 140/70-17

แต่ในวันที่ผมไปซื้อยาง ปรากฏว่าที่ร้านไม่มียางหลังไซส์ 140 เหลืออยู่แล้ว จึงทำให้ต้องหันไปใส่ยางขนาด 150/60-17 ซึ่งกว้างกว่าเดิมขึ้นมาอีกหนึ่งไซส์แทน

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ แม้หน้ายางใหม่จะกว้างขึ้น แต่หากคุณสังเกตให้ดีก็จะพบว่าแก้มยางนั้นเตี้ยลง ส่งผลให้เบาะรถเตี้ยลงกว่าเดิมอย่างรู้สึกได้ และทำให้ตอนจอดรถติดไฟแดง หรือตอนขี่บนทางตรงจะรู้สึกเหมือนรถมีอาการท้ายห้อยหน่อยๆ

และมันยังทำให้มีปัญหาเวลาจอดรถนิดๆ เพราะเมื่อรถเตี้ยลง เวลากางขาตั้งข้างจอด รถก็จะตั้งตรงมากกว่าเดิม จนกลัวว่ามันจะพลิกล้มไปอีกข้างอยู่บ่อยๆ (เพราะรถมันดูตั้งตรงมากจริงๆ)

ซึ่งโชคดี ที่รถของผมใส่โช้กแต่งของ YSS เอาไว้ จึงสามารถปรับความสูงของโช้กหลังชดเชยได้ เลยลดความกังวลในจุดนี้ไปได้พอสมควร (และทั้งนี้ คุณสามารถอ่านรีวิวโช้ก YSS TDS + YSS Z1 Fork Catridge ที่ติดกับรถ Honda CBR250RR SP ของผมได้ที่นี่)

นอกจากความรู้สึกว่ารถจะท้ายห้อยนิดๆในช่วงแรก อีกสิ่งที่สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน และทำให้มีอาการเหวออยู่พักใหญ่หลังเปลี่ยนยางใหม่ๆก็คือ ความไวของหน้ารถ ที่พลิกและเอียงได้เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก

เพราะแต่แรก ยางเดิมติดรถนั้น คือซีรี่ย์ยางที่เน้นการใช้งานบนถนน ในชีวิตประจำวันเป็นหลัก และยังเน้นความทนทาน รองรับการใช้งานระยะยาวเป็นพิเศษ ทำให้ตัวยางมีโปรไฟล์ที่ค่อนข้างกลม เน้นการวิ่งทางตรงเป็นหลัก (แต่เอาจริงๆยางเดิมก็สามารถเล่นโค้งได้สบายๆ หากคุณมือถึงพอ)

คราวนี้ พอรถของตนเองที่แต่เดิมก็จัดว่าเป็นรถที่มีบุคลิกในการพลิกเลี้ยวค่อนข้างกระชับกว่าใครในคลาสอยู่แล้ว ได้มาจับคู่กับยางที่มีโปรไฟล์หน้ายางแบบ V-Shape จึงทำให้หน้ารถยิ่งพลิกเลี้ยวไปมาได้เร็วขึ้นไปอีก

จุดดีงามของมันก็คือ แม้ตอนแรกๆ ตัวผมอาจจะรู้สึกเหวอๆกับความไวในการพลิกเลี้ยวที่มากขึ้นจนปรับตัวไม่ทันไปบ้าง แต่เมื่อเราเคยชินกับอาการนี้ เราก็จะพบว่า พอพ้นจังหวะวูบวาบขณะรถกำลังเอียงลงช่วงแรกไปแล้ว

จากนั้นอาการของยางจะเป็นไปในลักษณะของการ ดูดแล้วทำให้รถเลี้ยวเข้าโค้งไปนิ่งๆ หรือว่าง่ายๆก็คือยางมันกำลังช่วยให้รถของคุณเลี้ยวเข้าโค้ง และจะรักษาจังหวะดูดโค้งเข้าไปทั้งอย่างนั้น และยางก็รักษาการยึดเกาะได้แบบนิ่งๆเนียนๆ ไปจนถึงตอนออกโค้ง ซึ่งส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณเนื้อยางด้านข้างของยางหลัง ที่มีความนุ่มเป็นพิเศษ จึงทำให้มันสามารถสร้างแรงยึดเกาะขณะเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจจริงๆ

และเมื่อคุณจับจังหวะทั้งหมดได้แล้ว ก็จะพบว่านี่แหล่ะ คือความสนุกของยางจาก Pirelli ที่ทำให้ใครหลายๆคนติดใจ เพราะมันช่วยให้เราสามารถเล่นโค้งได้อย่างเพลิดเพลินจริงๆ แม้จะเป็นการวิ่งบนถนนก็ตาม

(แต่อย่าเล่นเพลินเกินไปล่ะ เพราะยังไงบนถนนก็ยังมีปัจจัยหลายๆอย่างที่ต้องระวังอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเศษฝุ่น เศษทราย หนักๆเลยก็คือโคลน ที่ต่อให้ยางดีแค่ไหน แต่ด้วยความเป็นยางสปอร์ต ถ้าเหยียบผ่านวัตถุต่างๆเหล่านี้เมื่อไหร่ก็ลื่นพรืดได้ทุกเมื่ออยู่ดี)

นอกจากนี้ เรายังพบข้อสังเกตอีกประการคือ ด้วยตัวเนื้อยางที่ค่อนข้างนุ่ม เมื่อเทียบกับยางถนนทั่วๆไป จึงทำให้ในหลายๆครั้ง หากคุณหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องขี่รถไปบนถนนลูกรัง ซึ่งเต็มไปด้วยกรวดคมๆ

ยางของคุณอาจมีแผลต่างๆตามหน้ายาง แต่ไม่ถึงโครงสร้างยาง ตามมาได้ง่ายสักหน่อย ดังนั้นนี่จึงถือเป็นจุดที่ต้องระวังอยู่บ้าง แต่ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครเอารถสุดที่รักของตนเอง (ซึ่งส่วนใหญ่รถที่ใส่ยางรุ่นนี้ ก็มักจะเป็นรถแนวสปอร์ต หรือเต็มที่ก็เนคเก็ทไบค์) ไปวิ่งบนถนนลักษณะดังกล่าวบ่อยเท่าไหร่นักอยู่แล้ว ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ

นอกจากนี้ หลังจากที่ผมได้ติดตั้งแล้วใช้ยางไปราวๆ 2 พันกว่าโล ผมกลับมีโอกาสได้เอารถของตนเองไปเข้าร่วมกิจกรรมงาน Honda Track Xperience ด้วย และเนื่องจากเป็นการเข้าร่วมงานแบบปุบปับ จึงทำให้ผมไม่มีเวลาหายางสลิคมาใช้ และต้องเอารถของตนเอง พร้อมยาง Rosso III ไปลงสนามแบบตามมีตามเกิดทันที

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ แม้ในช่วงแรกของ…

“การลงสนาม”

ยางอาจจะยังไม่พร้อมหวดเท่าไหร่นัก เพราะผมไม่ได้มีผ้าวอร์มยาง จึงต้องเสียเวลาราวๆรอบกว่าๆ เพื่อปรับอุณภูมิยางให้พร้อม และเพื่อฝ่ากำแพงในใจว่ายางที่เราใช้ไม่ใช่ยางสลิคแต่เป็นยางถนน (การวิ่งครั้งแรกกับยางตัวนี้ จึงจะมีความกังวลหน่อยๆ)

แต่เมื่อเริ่มจับจังหวะจับทางได้ ปรากฏว่ายิ่งเราเฆี่ยนรถมากเท่าไหร่ ยางตัวนี้ ก็ยังคงสามารถทำให้เราสามารถเล่นโค้งในสนามช้างได้ดั่งใจคิด โดยเฉพาะกับล้อหน้า ที่สามารถจิกเข้าโค้งได้ตามสั่ง และไม่มีเลยสักครั้งที่จะรู้สึกว่าหน้ารถคุมไม่ได้ แม้จะกดและเบรกหนักอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6-7 รอบสนาม

ซึ่งแน่นอนว่าแม้ มันอาจจะไม่ได้ดูดพื้นจัดๆเหมือนยางสลิค แต่ถ้ามองจากความเป็นยางถนน ที่เผื่อไว้ร่วมงาน Track Day ได้พอหอมปากหอมคอ เจ้ายางตัวนี้ก็ถือว่าสามารถทำงานได้ดีเกินพอแล้ว เพราะเมื่อลองมาจับเวลาดูดีๆ ผมดันวิ่งได้เร็วไม่หนีจากตอนขี่รถที่ใช้ยางสลิคเท่าไหร่นักเสียอย่างนั้น (คือต่างกันเพียง 1-2 วินาทีเอง !!)

จุดสังเกตจริงๆก็คงมีแค่เพียงตัวยางหลัง ที่เมื่อถึงช่วงการขี่เซสชันท้ายๆ หลังจากหวดรถมาแล้วถึง 4 เซสชัน ดูเหมือนยางจะมีการเหลวนิดๆ จึงทำให้เริ่มรู้สึกเหมือนท้ายรถมีอาการดิ้นหน่อยๆ เนื่องจากยางคงร้อนมากแล้วเพราะเป็นการขี่รอบท้ายๆ (นับๆดูคือขี่แบบหวดหนักๆต่อเนื่องไปแล้วราวๆ 7 รอบสนาม) ในช่วงบ่ายที่อากาศยังคงร้อนอยู่

แต่ทั้งนี้อาการดังกล่าวคงไม่เกิดขึ้นสำหรับการวิ่งบนถนนง่ายๆ เพราะคงไม่มีใครมาหวดหนักเข้าโค้งต่อเนื่องขนาดนี้เหมือนการขี่ในสนามแน่นอน (ต่อให้เป็นการวิ่งทริปยาวๆ ก็คงไม่มีใครมาทิ้งโค้งหนักๆต่อเนื่องจนยางเหลวง่ายๆอยู่ดี เว้นเสียแต่ว่าคุณจะบ้าพอที่จะใช้ความเร็วแบบในสนามบนถนน โดยไม่สนความเสี่ยงอื่นๆนอกจากเรื่องของยางจริงๆ)

สุดท้ายก็คือเรื่องสำคัญที่สุด สำหรับยางที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ในมุมมองของผม นั่นคือ

ความสามารถในการยึดเกาะบนทางเปียก

หลังจากที่ได้ลองใช้ยางมาตั้งแต่ต้นฤดูฝน จนตอนนี้เจอกับช่วงที่มีพายุหนัก ถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจก็คือ ยาง Rosso III ตัวนี้ ทลายกำแพงในใจผมไปได้พอสมควร

เพราะก่อนหน้านี้เอาจริงๆตัวผมเอง ก็เคยมีใช้ยางรุ่นหนึ่งจาก Pirelli และพบว่า แม้มันจะใช้วิ่งฝนได้ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ดีดังที่เราคาดหวังสักเท่าไหร่ เพราะหากเจอถนนที่ลื่นจริงๆ ยางก็จะเริ่มออกอาการเหมือนไม่ดูดพื้น จนเราไม่กล้าที่จะบิดรถไปต่อ

แต่สำหรับเจ้ายางตัวนี้ กลับยังคงสามารถรักษาสเถียรภาพในการยึดเกาะได้ค่อนข้างดี โดยแม้ความรู้สึกดูดพื้นของมัน อาจจะดูลดลงจากตอนพื้นแห้งลงไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมายเลย และในหลายๆครั้งที่ผมต้องขี่ไปบนพื้นถนนที่ดูลื่นแบบไม่ตั้งใจ เช่นผิวถนนที่ดูเงาๆมันๆ อาจจะด้วยชั้นผิวน้ำที่หนา หรือการวิ่งไปบนเส้นขาวกลางถนน ซึ่งแต่เดิม ใครหลายๆคนคงจะรู้ว่าแค่วิ่งบนทางแห้งๆ มันก็ลื่นจะแย่อยู่แล้ว แต่ที่ผมเจอคือ วิ่งตอนถนนเปียกอีก

สิ่งที่พบก็คือ ยางกลับไม่เคยมีอาการปลิ้นให้พบเจอเลย แม้หลายๆจังหวะ ผมจะขี่รถด้วยความเร็วมากกว่าที่คนปกติจะใช้กันตอนขี่กลางฝนก็ตาม (ทั้งนี้ ไม่ได้แนะนำให้ทำตามโดยเด็ดขาดนะครับ เพราะคุณอาจไม่โชคดีเหมือนผมก็ได้ หรือที่ผ่านมาผมอาจแค่โชคดีที่รอดมาได้ก็เท่านั้น)

ดังนั้น หากคุณเป็นคนที่ขี่รถกลางฝนอย่างมีสติ ใช้ความเร็วที่เหมาะสม (ตามที่คุณไหว) หรือรู้วิธีขี่กลางฝนอย่างถูกต้องได้ดีมากพอ เจ้ายางตัวนี้ ก็สามารถให้การตอบสนองที่ดีกับคุณยามวิ่งบนพื้นเปียกได้ โดยที่คุณไม่ต้องเครียดกับมันมากจนเกินไป เหมือนยางบางตัวที่เจอฝนเมื่อไหร่ หากมีที่ให้จอดได้ก็จอดเลยดีกว่าแต่อย่างใด

สิ่งที่ค้างอยู่ในการ รีวิว Pirelli Diablo Rosso III ครั้งนี้ คงเป็นเรื่องของอายุการใช้งานของตัวยาง แต่…

โดยสรุป

จากที่สังเกตหลังใช้ยางตัวนี้ในชีวิตประจำวันมาแล้วไม่น้อยกว่า 5,000 กิโลเมตร เป็นระยะเวลากว่า 5 เดือน และวิ่งมาหมดเกือบทุกรูปแบบ ตั้งแต่ทางลาดยาง ทางคอนกรีตปกติ ไปจนถึงทางเปียกฝน (ทางน้ำท่วมก็มี) ทางลูกรัง แล้วข้ามฝั่งไปลงแทร็คเดย์เต็มวัน อย่างมั่นใจดังที่ระบุไว้ก่อนหน้า

ตัวยางก็ยังไม่ได้สึกหรอจนสังเกตได้ถึงความเป็นบั้ง หรือเริ่มมีรูปทรงเปลี่ยนไปจากแบบ V-Shape เป็น U-Shape แบบฐานพร้อมตั้งแต่อย่างใด และจากการประเมินด้วยสายตา ก็คาดว่ามันจะสามารถใช้งานทะลุ 10,000 โลฯได้สบายๆแน่นอน แต่จะไปได้อีกไกลแค่ไหน ก็ยังมิอาจทราบได้

แต่ก็เท่านี้ก็ถือว่าน่าประทับใจ แถมส่วนตัวผมมองว่า คุ้มค่ามากแล้ว กับยางที่เน้นการใช้งานแบบผสมผสานระหว่างความเป็นสปอร์ต-ถนน ในราคาที่สนนตั้งแต่คู่ละ 5-6 พัน สำหรับรถมอเตอร์ไซค์พิกัด 150cc – 400cc ไปจนถึงตั้งแต่ 9 พันหน่อยๆ – หมื่นกลางๆ สำหรับรถมอเตอร์ไซค์พิกัด 500cc-1,500cc

ขอขอบคุณ : PirelliMoto Thailand ที่ให้การสนับสนุนยาง Pirelli Diablo Rosso III ในการทดสอบและรีวิวแบบใช้งานจริงในครั้งนี้, ภาพประกอบบทความบางส่วน จากเพจ แล้วแต่อาร์ท

ทดสอบ/รีวิว/เรียบเรียง : รณกฤต ลิมปิชาติ

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่