เป็นเวลากว่า 8 เดือน นับตั้งแต่ที่ทางทีมงาน   Ridebuster   มีโอกาสไปงาน   Winter Test   ของรายการแข่งขันมอเตอร์อันดับหนึ่งของโลก   Moto GP   จนในที่สุดการแข่งขันนัดประวัติศาสตร์ก็เดินทางมาถึงประเทศไทยเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

แฟนๆ หลายคนเดินทางไปยังสนามอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ทั้งไปโดยการขี่มอเตอร์ไซค์ไป , ขับรถไป รวมถึงบรรดาสื่อมวลชนหลายคน ที่พาไปบริษัทรถยนต์ นี่เรายังไม่นับบรรดาทีมงานทางการตลาดกองทัพนับสิบที่ไปงานนี้อย่างน่าชื่นตาบาน เป้นส่วนหนึ่งของประวัต์ศาสตร์ วงการมอเตอร์สปอร์ตไทย

Thai Moto GP (ไทย โมโต จีพี)

หากคำถามสำคัญ กลับเป็นคำถามเรียบง่ายว่า … ประวัติศาสตร์หน้านี้ สำเร็จและเข้าถึงใจคนไทยมากแค่ไหนกัน??

คงไม่บ่อยนักที่การแข่งระดับโลกจะมาให้ดูกันถึงเมืองไทย แต่ความสำเร็จของงานระดับโลกครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์สมควรจะสำเร็จแค่ไหน เป็นคำถามที่น่าสนใจ

ตามรายงานยอดเข้าชมการแข่งขัน   Moto GP   สนามประเทศไทย ตลอด 3 วัน ตั้งแต่วันซ้อมจนวันแข่งขัน 5-7 ตุลาคมมีรายงานว่า มีผู้เข้าชมรวมถึงทั้งสิ้น 222,535 คน จากรายงานของ   Moto GP  แต่ตามรายงานเดิมที่ออกมาจากสื่อไทยรัฐระบุว่า มีคนเข้าชมเพียง 205,000 คน จากการให้สัมภาษณ์ของนาย พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นคนไทย  แบ่งเป็นชาวไทย ประมาณ 153,750 คน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 75 ของผู้เข้าร่วมงานทั้งหมด  ส่วนคนบุรีรัมย์เข้าชมเพียง 10,250 คน (ไม่นับที่มาร่วมงานในฐานะเจ้าหน้าที่ต่างๆ) หรือเพียงร้อยละ 6 เท่านั้น

Thai Moto GP (ไทย โมโต จีพี)

ส่วนชาวต่างชาติมาดูโมโต จีพีบ้านเราเพียง 51,250 คน หรือ ประมาณร้อยละ 25 โดยส่วนใหญ่ มาจาก ออสเตรเลีย สวิตเซอร์แลนด์ และอังกฤษ ตามลำดับ

ถ้ามองตามตัวเลขผู้เข้าชมตลอด 3 วัน จะพบว่า ยอดผู้เข้าชมการแข่งขัน   Moto GP   ในไทย ถือว่าน้อยกว่าที่สมควรจะเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใช้รถจักรยานยนต์ในประเทศไทย ก็มีจำนวนมากโดยเฉพาะปีที่ผ่านมา เชื่อว่าตลาด 2 ล้อ มียอดขายรวมถึง 950,000 คัน  และปี 2018 เชื่อว่าจะจบที่ 935,000 คัน

ตัวเลขประมาณระดับเฉียดล้านคัน หรือปีก่อนหน้านี้ก็ราวๆ  7-8 แสนคัน มาโดยตลอด กับยอดชมรายการระดับโลก ตลอด 3 วัน 2 แสนคน ถือว่าน้อยมาก 

เมื่อเห็นตัวเลขยอดผู้ชมตลอด 3 วัน 2 แสนคน บางคนบอกว่า นั่นเพราะโมโตจีพี ส่วนใหญ่เข้าถึงกลุ่มคอคนขี่บิ๊กไบค์ มากกว่า รถมอเตอร์ไซค์ปกติ ซึ่งก็มีข้อเท็จจริงอยู่บ้าง เมื่อมองเชิงความใกล้ชิดของผลิตภัณฑ์กับการแข่งขัน

Thai Moto GP (ไทย โมโต จีพี)

ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ลงทุนแมน   ที่ออกมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2018  ในหัวเรื่อง “ตลาดบิ๊กไบค์ใหญ่แค่ไหน” ชี้ให้เห็นว่าตลาดรถมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ หรือ ที่คนไทยเรียกเนียนติดปาก ว่า “บิ๊กไบค์” มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จนถึงครึ่งแรกปี พ.ศ. 2560 (ไม่รวมปี พ.ศ. 2561)ตลาดรถมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่มียอดขายรวม 97,277 คัน และมีความเป็นไปได้ที่ในปีพ.ศ. 2561 จะมียอดขายถึง 2 หมื่นกว่าคัน เมื่อจบปีนี้

ในจำนวนนี้ดังกล่าว หากประเมินว่าความเป็นจริง น่าจะมีรถอาจจะกำลังเปลี่ยนมือหรือไม่สะดวกมาร่วมงานประมาณ 10%   ของจำนวนรถหรือประมาณ 9,728 คัน จะเหลือยอดที่ยังใช้งานจริงประมาณ 87,549 คัน 

หากการเดินทางมาชมโมโต จีพี โดยส่วนใหญ่แล้วน่าจะมากัน 2 คน มาเป็นคู่แฟน หรือสามีภรรยา เท่ากับหากนำยอดบิ๊กไบค์มาคูณด้วย 2 สมควรจะต้องมียอดคนไทยเข้าชมประมาณ 175,000 คน โดยประมาณ นี่ยังไม่นับรวมคนที่อาจจะมาพร้อมกับคณะขี่รถ ซึ่งอาจจะขับรถตามมา หรือรถเซอร์วิส ซึ่งอาจดูแลประมาณ 5 คัน ต่อ 2 คน เท่ากับ น่าจะมีคนเพิ่มมาอีก  17,000 คน โดยประมาณ 

หรืออาจกล่าวได้ว่า สุทธิของสาวกบิ๊กไบค์ มอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ที่น่าจะมุ่งสู่บุรีรัมย์พร้อมทีมงาน สมควรจะมีอย่างน้อยเฉียด 2 แสนคนเข้าไปแล้ว

ในมุมหนึ่งที่น่าสนใจ ดูจะเป็นยอดชมจากชาวต่างชาติ ซึ่งมีจำนวนร้อยละ 25 หรือประมาณ 1 ใน 4 ของยอดผู้ชมทั้งหมด ซึ่งจำนวน 5 หมื่นคนก็ไม่ได้เป็นตัวเลขที่เยอะมากมายนัก

แฟนคลับจากต่างแดนนั้น เป็นสีสันสำคัญของงานโมโต จีพี ซึ่งในงานนี้เหมือนจะยังกร่อยๆ มีต่างชาติมาดูเยอะจริง ในระดับที่น่าพอใจ แต่กลายเป็นว่า คนจากเพื่อนบ้านที่ข้ามแดนรายการแข่งระดับโลกในบ้านเรานั้น ยังไม่มากเท่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะจากทางมาเลเซียข้ามเข้ามาดูรายการแข่งขันชั้นนำในไทยน้อยมาก เมื่อเทียบกับ คนไทยสายบิ๊กไบค์ ที่ต้องมีสักครั้งในชีวิต ขี่ไปชมถึงสนามเซปังกันมาแล้ว หรือจะทางลาว – กัมพูชา เวียดนาม ที่ก็คงมีบ้างที่สนใจอยากจะมาชม

Thai Moto GP (ไทย โมโต จีพี)

ในจำนวนยอดคนที่เข้าชมก็ไม่แน่ใจว่าหักกลบลบหนี้บรรดาสื่อมวลชนออกไปหรือยัง นอกจากนี้ยังมีแขกวีไอพี และผู้ติดตาม ซึ่งเชื่อว่าอาจจะยังอยู่ในจำนวน 2 แสน 3 วัน หลายร้อยชีวิต

มุมหนึ่งที่ดูจะน่าสนใจและเป็นประเด็นที่ทางผู้ที่เกี่ยวของการแข่งขันควรจับมาแก้เกมในปีหน้า คือการโปรโมทให้เข้าถึงจิตใจคนไทยที่ใช้รถมอเตอร์ไซค์มากกว่านี้

จากที่เห็นตั้งแต่มีการสรุปเซ็นสัญญาว่า โมโตซีพี เอ้ย !! โมโตจีพี จะมาแข่งขันในไทยกับทาง ดอร์น่าสปอร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์การแข่งขัน  จะพบว่าการใช้สื่อ เพื่อโปรโมทการแข่งขันในปีที่ผ่านมาน้อยมาก

Thai Moto GP (ไทย โมโต จีพี)

มีเพียงการแถลงข่าว และโปรโมทออกมาเป็นช่วงๆ เช่นในช่วง   Winter Test  หรือจะเป็นการนับถอยหลังก่อนการจัดงาน หรือใช้สื่อเว็บไซต์ และสื่อสังคมออนไลน์ ของเพียงสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ซึ่งก็สร้างกระแสได้บ้าง

หากการรับรู้ของคนไทย ก็ถือว่าน้อยมากในทางปฏิบัติ เนื่องจากคนที่ทราบว่าจะมีการแข่งขันก็ทราบอยู่แล้ว ซึ่งโดยมากจะเป็นกลุ่มคนที่ติดตามการแข่งขันมาก่อนหน้านี้ด้วยส่วนหนึ่ง หรือเป็นแฟนคลับนักบิดขวัญใจ

หากกระแสพูดถึงยังเป็นเพียงในวงสังคมคนเล่นมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่และบางส่วนในวงการผู้ใช้มอเตอร์ไซค์ทั่วไป ไม่ได้เข้าถึงคนไทยส่วนใหญ่ ที่อาจจะไม่เคยรู้จัก และไม่ได้ชื่นชอบกีฬามอเตอร์สปอร์ตมาก่อน 

Thai Moto GP (ไทย โมโต จีพี)

แถมกระบวนการใช้สื่อเพื่อการประชาสัมพันธ์ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมเด่นชัดในการโปรโมท ไม่ว่าจะผ่านสื่อสังคมออนไลน์เฟซบุ๊ค ซึ่งเป็นสื่อที่คนไทยใช้ติด 1 ใน 3 ของ ระดับโลก อย่าง Facebook   หรือการโปรโมทผ่านช่องทางอื่นๆ เช่น โทรทัศน์ หรือวิทยุ ยังถือว่าน้อยมาก ที่จะมีการพูดถึงการแข่งขันโมโตจีพีในไทย ช่วง 2-3 เดือนก่อนงาน ซึ่งสมควรจะเป็นกระแสพูดถึงระดับวงสังคมกับเรซแรกที่คนไทยมีโอกาสชมในบ้านเกิด และถือเป็นหน้าประวัติศาสตร์สำคัญของวงการกีฬาความเร็วด้วย ซึ่งอาจมีผลกระทบทำให้เกิดความนิยมมากขึ้น

แม้ว่าในความเป็นจริงจะดูสำเร็จด้วยดี ด้วยเข้าชมสูงสุดในฤดูกาลแข่งขันปีนี้  และยังเหนือกว่าแข่งขันในออสเตรีย ที่  Red Bull Ring – Spielberg แต่หากมองด้วยความเป็นจริง ภาพของการจัดงานแข่งระดับโลกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ประเทศไทย ที่มีมอเตอร์สปอร์ตชั้นแนวหน้า ระดับเดียวกับการแข่งขันฟอร์มูล่าร์วันเข้ามาแข่งขัน ไม่ได้มีมาเลย นับตั้งแต่มีกีฬาแข่งรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย

Thai Moto GP (ไทย โมโต จีพี)

ถ้ามองในมุมมองนั้นก็ถือว่า ยังน้อยอยู่มาก เพราะคนไทยจริงๆ เพียงแค่ราวๆ 150,000 คนเท่านั้น เมื่อเทียบกับจำนวนคนวัยทำงาน 38.11 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีรถมอเตอร์ไซค์ขับขี่ใช้งาน ไม่ว่าจะขับจ่ายกับข้าวหรือใช้เดินทางไปทำงาน และถ้ามองลึกไปอีก ยังไม่ครบเท่าตามจำนวนที่มีผู้ใช้งานบิ๊กไบค์จริงๆ ในประเทศไทย ถึงแม้จะหักลบส่วนที่อาจไม่สะดวกมาแล้วก็ตามที

หรือ ถ้าเอาตัวเลขมาจำนวนคนไทยที่เข้าชมกับวันทำงานมาหาร้อยละของคนที่เข้าชมการแข่งขันรายการกีฬาความเร็วระดับโลกที่ไม่เคยจัดในไทยเลยตั้งแต่มีมา พบว่าคิดเป็นเพียงร้อยละ 0.39 ของชนวัยแรงงาน เท่านั้น

หลายคนอาจจะมองว่า บทความนี้เป็นการติการจัดงานทั้งที่ผ่านไปแล้วด้วยดี และทุกคนก็ดูจะแฮปปี้กับสิ่งที่เกิดขึ้นคืนความสุขให้กับชาว 2 ล้อ ผู้รักความเร็ว หากบางสิ่งที่ตกหล่นหายไปในการโปรโมทในปีนี้ก็เป็นโจทย์ที่สำคัญ สมควรจะต้องกลับมาแก้เกมใหม่ในปีหน้า

ทั้งเพื่อรักษายอดคนให้กลับมาชมการแข่งขันอีกครั้ง เพิ่มการเข้าถึงทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ว่าบ้านราก้รักกีฬาความเร็วเช่นกัน และของดีมีให้ดูใกล้บ้าน ไม่ต้องบินไกลไปถึงญี่ปุ่นหรือออสเตรเลียก็ได้

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่