แม้ในปัจจุบัน หลายผู้ผลิตรถยนต์ จะค่อยๆพากันยกเลิกการทำรถซุปเปอร์คาร์พร้อมขุมกำลัง “มากสูบ” เช่นขุมกำลัง V12 ไปมากขึ้นเรื่อยๆ แต่นั่นกลับเป็นสิ่งที่ทาง Aston Martin ยืนยันว่ามันจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน อย่างน้อยก็จนถึงปี 2030

ย้อนไปในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทาง Aston Martin ได้มีความพยายามนำเสนอแนวคิดของแบรนด์อยู่เสมอ ว่าพวกเขาตั้งใจจะรักษาขุมกำลังเครื่องยนต์ V12 ให้ยังคงอยู่กับแบรนด์และตลาดต่อไปให้ได้ยาวนานที่สุด แต่ดูเหมือนว่าด้วยกฏหมายข้อจำกัดด้านการปล่อยมลพิษจากเครื่องยนต์ที่เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ล่าสุดนาย Adrian Hallmark ผู้บริหารสูงสุดของแบรนด์รถยนต์ Aston Martin ก็ได้ระบุกับสื่อ Asia-Pacific และ Drive.au.com ว่า ณ ตอนนี้ เส้นตาย เครื่องยนต์ V12 ดูเหมือนจะเริ่มแน่ชัดขึ้นมาแล้วว่าคงไม่เกินช่วงปี ค.ศ. 2030
“มันคือเป้าหมายที่เราไม่สามารถจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้, หากในปี 2028 ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” นาย Adrian Hallmark กล่าว “หากว่ากันตามกฏหมาย เราอาจจะได้รับการงดเว้นด้านกฏหมาย”, “โดยหากเราต้องผลิตรถยนต์(พร้อมขุมกำลัง V12) มากกว่า 100,000 คันต่อปี, มันก็จะจบลงในปี 2028”
“แต่ถ้าเรามีการนำรถเข้าไปวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาแค่ราวๆ 150-300 คัน, เราก็จะสามารถผลิตมันต่อไปได้ ตามเงื่อนไขการผ่อนปรน และเช่นเดียวกันในยุโรป ถ้าคุณมียอดายรถแค่หนึ่งคัน คุณก็จะได้รับการผ่อนปรนได้”
“ผมคงต้องบอกความจริง ในระหว่างปี 2028 และ 2030 (ว่าเครื่องยนต์ V12 อาจถูกยุติการทำตลาดไป), หากไม่มีอะไรเปลี่ยน, ด้วยยอดขายที่คงตัวก็จะจบลงในปี 2028 แล้วหลังจากนั้นก็จะมีแต่รถที่อยู่ในตลาดเฉพาะตัวเท่านั้นจริงๆที่จะสามารถไปต่อได้”
“มันมีความเป็นไปได้อยู่เสมอ และเราก็พยายามหาทางยืดอายุของขุมกำลัง 12 สูบต่อไปท่ามกลางข้อบังคับด้านกฏหมายมลพิษอย่างที่เราบอก, แต่ภายในสิ้นทศวรรษนี้ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นจุดจบจริงๆของเครื่องยนต์ 12 สูบ เท่าที่เราจะเห็นได้ในตอนนี้”
จากข้อความข้างต้น แม้หลายคนอาจพอจับสังเกตได้ว่า การยุติการทำตลาดรถยนต์ขุมกำลัง V12 ภายในปี 2028-2030 ที่ผู้บริหารสูงสุดของ Aston Martin ระบุนั้น อาจไม่ได้หมายถึงการยุติการทำตลาดโดยสมบูรณ์ก็จริง เพราะเจ้าตัวก็ระบุว่ามันยังมีกฏหมายผ่อนปรนการทำตลาดรถยนต์กลุ่มนี้ได้หากพวกเขาไม่ได้ทำมันออกมาขายด้วยจำนวนมากมายนักตามกฏหมายกำหนด
แต่หากว่ากันตามจริง ด้วยการลงทุนด้านเทคโนโลยี และต้นทุนการผลิตเครื่องยนต์ V12 ที่ค่อนข้างสูง การที่ผู้ผลิตจะต้องมาแบกต้นทุนดังกล่าวเอาไว้ เพียงเพื่อผลิตรถไว้ขายให้กับลูกค้าได้เพียงไม่กี่คน ก็คงไม่ใช้เรื่องที่คุ้มค่าในการดำเนินธุรกิจต่อไปเท่าไหร่นัก
ดังนั้นหากจะทางผู้ผลิตสามารถขายรถได้ด้วยจำนวนน้อยเพียงเท่าที่เพดานถูกระบุไว้ข้างต้นจริงๆ การเลิกขายรถไปเลย ย่อมเป็นเรื่องที่ควรทำมากกว่าอยู่แล้วแน่นอน โดยเฉพาะในมุมของ Aston Martin ซึ่งเดิมทีก็ไม่ได้ตั้งใจจะขายรถขุมกำลัง V12 ไว้ให้อยู่ในตลาดเฉพาะมากนักอยู่แล้ว