ตลอดหลายปีที่ Mercedes-Benz สร้างสรรค์ยานยนต์หรูมัดใจสาวกอย่างอยู่หมัดแต่ละรุ่นที่เปิดตัวล้วนสร้างความประหลาดใจ

ด้วยดีไซน์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆอย่างเช่น Mercedes-Benz E-Class เก๋งมิดไซซ์ที่ครองใจมานานและวันนี้เปิดตัวเป็นเจนที่ 6 รหัส W214 ดีไซน์ตัวรถล้ำกว่าพี่ใหญ่ Mercedes-Benz S-Class V223 และ Mercedes-Benz C-Class W206 น้องเล็ก

ด้วยกระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมดีไซน์ลักชัวรีอันเป็นเอกลักษณ์เด่นแบบดาวลอย และมีกระจังหน้าทรงตราดาวขนาดใหญ่แบบ Mercedes-EQ ประกบกับไฟหน้า Digital Light LED ทรงสวยแบบทรงปีกเมื่อเข้ามารวมกับไฟ DRL แบบ LED บนโคมถึง 2 ชั้นที่เปิดประตูดีไซน์ซ่อนรูปเนียนกับตัวรถ ล้อและยางมีตั้งแต่ขนาด 17 นิ้วไปจนถึง 19 นิ้ว ไฟท้าย LED ที่สวยงามกับไส้ในเป็นตราดาวสามแฉกหรือจะเรียกว่าเป็นไฟท้ายเบนซ์ก็ว่าได้พร้อมกันชนหลังดีไซน์เท่ กรอบท่อไอเสียคู่ 2 ฝั่ง

ตัวรถใหญ่ขึ้นตั้งแต่ความยาว 4,949 มม. ความกว้าง 1,880 มม. ความสูง 1,468 มม. ฐานล้อ 2,961 มม. น้ำหนักรถ 1,915-2,265 กก. และความจุถังน้ำมัน 50 และ 66 ลิตร

ภายในสวยหรูด้วยชุดแผงคอนโซลหน้าที่คล้ายกับ Mercedes-EQ ประกอบด้วย หน้าจอมาตรวัดดิจิตอลความละเอียดสูงบริเวณด้านหน้าของผู้ขับขี่ขนาดใหญ่ลอยตัว สามารถปรับรูปแบบการแสดงผลได้ทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ “Classic”, “Progressive” and “Sporty” พร้อม 3 โหมดการใช้งาน ได้แก่ Navigation, Assistance และ Service

หน้าจอกลาง Infotainment แบบ MBUX Superscreen รวมการทำงานของเครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิกับระบบความบันเทิง MBUX (Mercedes-Benz User Experience) เอาไว้ด้วยกันพร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียงและหน้าจอสำหรับความบันเทิงฝั่งผู้โดยสารด้านหน้ารวมความยาวจอทั้ง 3 จุดรวมกัน

มีกล้องตรงคอนโซลกลางสำหรับจับพฤติกรรมการขับขี่แถมยังเป็น Video Conference สำหรับรองรับแอปพลิเคชัน Zoom และถ่ายเซลฟี่ได้ เชื่อมต่อระบบความบันเทิงทั้ง Android Auto หรือ Apple CarPlay สามารถแสดงหน้าจอมือถือเข้าผ่านทางจอสัมผัสได้โดยตรงโดยไม่ต้องเชื่อมผ่านแอปมิเรอร์ ใช้แอปพลิเคชันหลากหลายในจอได้ไม่ว่าจะเป็น Angry Birds, TikTok, Zoom, และ Webex และยังสตรีมมิ่งแอปพลิเคชันเพื่อดูหนังฟังเพลงได้เช่นกัน พร้อมลำโพงคุณภาพ Burmester 4D ลำโพงรอบคัน 21 ตัว กำลังขับ 730 วัตต์ เป็นออปชันเสริมส่วนลำโพงมาตรฐานมี 7 จุด กำลังขับ 125 วัตต์

เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแยกอุณหภูมิอิสระ THERMOTRONIC สามารถควบคุมไม่ให้เกิดฝ้าบนกระจกรถ มีระบบ ENERGIZING AIR CONTROL ดักจับฝุ่น PM2.5 กับกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ และยังฟอกอากาศได้ Air Balance และยังมี Digital Vent Control ข่องแอร์ปรับด้วยระบบไฟฟ้าหมุนเวียนอากาศให้เป็นธรรมชาติ กุญแจอัฉริยะ Keyless-Go สมัยใหม่แบบ Digital Vehicle Key ควบคุมการสตาร์ทรถเปิดประตูรถผ่าน iPhone และ Apple Watch ได้ แถมแชร์ให้คนอื่นสูงสุด 16 คนได้ใช้รถ

มีไฟสร้างบรรยากาศภายใน 64 สี Active Ambient Lighting เคลื่อนไหวเร็วหรือช้าตามจังหวะเสียงดนตรีจากเพลง ภาพยนตร์หรือแอพสตรีมมิ่งเพลง จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า Head-up Display เบาะหนังแท้ ลายเพชร Diamond Cut ตกแต่งลายไม้แบบใหม่ที่มีแสงพื้นหลัง ยังมีการตกแต่งด้วยโลหะผสมสีเงินแบบสปอร์ตด้วย พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านหุ้มด้วยหนังดีไซน์สหกรณ์ และพื้นที่สัมภาระท้ายมากถึง 540 ลิตร และ 370 ลิตรในรุ่น Plug In Hybrid

ขุมพลังสันดาปล้วนมาแบบ Mild Hybrid สร้างและจ่ายไฟฟ้าเพื่อเลี้ยงระบบไฟฟ้าของรถโดยเป็นระบบมอเตอร์ไฟฟ้า 48V แบบพิเศษพร้อม EQ Boost ให้กำลังถึง 23 แรงม้า แรงบิด 205 นิวตันเมตร ทั้งดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร กำลังมากถึง 197 แรงม้า แรงบิด 440 นิวตันเมตรความเร็วสูงสุด 238 กม./ชม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ขม. ทำได้ 7.6 วินาที ในรุ่น E220 d และความเร็วสูงสุด 234 กม./ชม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ขม. ทำได้ 7.8 วินาที ในรุ่น E220 d 4MATIC ขับเคลื่อนสี่ล้อ เบนซินเทอร์โบ 2.0 ลิตร Mild Hybrid ให้กำลังมากถึง 204 แรงม้าแรงบิด 320 นิวตันเมตรความเร็วสูงสุด 240 กม./ชม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ขม. ทำได้ 7.5 วินาที ในรุ่น E200

ทางด้านขุมพลังเสียบปลั๊ก Plug In Hybrid ช่วงแรกมีเบนซินเทอร์โบก่อนส่วนดีเซลตามมาทีหลังโดยมีด้วยกันถึงสองความแรงแต่ขนาดเดียว 2.0 ลิตร ในรุ่น E300 e และรุ่น E300 e 4MATIC ให้กำลังในภาคเครื่องยนต์ 204 แรงม้า แรงบิดสูง 320 นิวตันเมตรจับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 129 แรงม้า ทำแรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกันให้กำลังมากถึง 313 แรงม้า แรงบิด 550 นิวตันเมตร

ความเร็วสูงสุด 236 กม./ชม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 6.4 วินาที วิ่งไกลสุด 115 กม./ชาร์จหนึ่งครั้ง WLTP ในรุ่น E300 e และความเร็วสูงสุด 234 กม./ชม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 6.5 วินาที วิ่งไกลสุด 109 กม./ชาร์จหนึ่งครั้ง WLTP ในรุ่น E300 e 4MATIC ขับเคลื่อนสี่ล้อ

และรุ่นใหญ่ E400e 4MATIC ขับเคลื่อนสี่ล้อมาพร้อมเบนซิน Plug In Hybrid 2.0 ลิตร ให้กำลังในภาคเครื่องยนต์ 252 แรงม้า แรงบิดสูง 400 นิวตันเมตรจับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 129 แรงม้า ทำแรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกันให้กำลังมากถึง 381 แรงม้า แรงบิด 650 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุด 109 กม./ชาร์จหนึ่งครั้ง WLTP ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ขม. ทำได้ 5.3 วินาที

ทุกรุ่นในตระกูลเสียบปลั๊กสาามารถชาร์จได้ทั้ง AC กระแสสลับ 11 kW และ DC กระแสตรง 55 kW ในเวลา 30 นาที พร้อมความจุแบตเตอรี่ขนาด 25.4 kWh ให้ความเร็วสูงสุดในโหมดไฟฟ้า 140 กม./ชม. และทุกขนาดความแรงจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 อัตโนมัติ 9 สปีด 9G-TRONIC พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย  (Steering – wheel Gearshift Paddles)

ช่วงล่างเป็นแบบอิสระ 4 ล้อ และยังมีช่วงล่างถุงลม AIRMATIC ให้เลือกสามารถปรับความสูงเตี้ยของตัวรถได้ตามสภาพถนน ล้อหลังเลี้ยวได้ 4.5 องศา เบื่องต้นจะมาในร่างซีดานก่อนและจะมีรุ่น Estate เจนใหม่ตามมาทีหลัง ทางด้านเมืองไทยพบกันได้ช่วงปลายปีนี้หรือปีหน้า

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่