หนึ่งในรถตระกูล EQ ของทางค่ายตราดาวรุ่นขายดีเช่นตระกูลซี-คลาส ล่าสุดเรามีโอกาสได้ลอง Mercedes-Benz C300e ซีดานหรู Plug-in Hybrid ขุมพลังใหม่ 320 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตันเมตร พร้อมระยะวิ่งด้วยไฟฟ้าเพิ่มเป็น 50 กม.

ปลายเดือนมิถุนายนท้องฟ้ามืดครึ้มมีเมฆปกคลุมอยู่หนาแน่น โดยเฉพาะบริเวณกรุงเทพฯ ปริมณฑล และรวมถึงดินแดนด้ามขวานแถบภาคใต้ของไทย คงไม่ใช่ฤดูกาลที่เหมาะกับการท่องเที่ยวทะเลเป็นแน่แท้ แต่ถ้าเป็นการลงไปเพื่อทำกิจกรรมดีๆ เพื่อสังคม อันนี้ไม่ว่าจะฝนตกหรืออากาศร้อนเพียงใด เราก็พร้อมที่จะลงไปยังพื้นที่ดังกล่าวทันที

เราทีมงาน Ridebuster ได้รับคำเชิญจากเบนซ์ ประเทศไทย ให้มีโอกาสร่วมทริปลงใต้ไปขับรถรุ่นใหม่ (C300e) ซึ่งมีเพียง 2 คันเท่านั้นจากรถในกลุ่มกว่า 18 คัน แน่นอนว่าจุดหมายปลายทางครั้งนี้อยู่ที่โรงเรียนเยาววิทย์ อันตั้งอยู่ที่อำเภอกะปง จังหวัดพังงา ซึ่งทางเบนซ์ได้สนับสนุนในด้านต่างๆ แก่โรงเรียนเยาววิทย์ ในจังหวัดพังงานับตั้งแต่เกิดเหตุสึนามิถล่มเมื่อปีพ.ศ. 2547

เอาล่ะเรื่องการทำความดีของสื่อมวลชนร่วมกับเบนซ์มีมากมายจนเราไม่สามารถนำมาบรรยายได้หมด บอกได้แค่ว่ากิจกรรมครั้งนี้ทำให้เราเห็นรอยยิ้มจากทั้งผู้ให้และผู้รับ ในแบบที่ทุกคนแสดงออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจอย่างแท้จริง

รีวิว Mercedes-Benz C300e

รีวิว Mercedes-Benz C300e

รีวิว Mercedes-Benz C300e

Mercedes-Benz C300e AMG Dynamic ซีดานบ้าพลัง ใครไม่แรงจริงอย่าจี้ตูด

หลังจากลงเครื่องบินมาก็ได้ทราบข่าวสุดสนุกว่ารถรุ่นใหม่อย่าง C300e จะมีเพียงสองคันสีดำรุ่น Avantgarde ส่วนสีขาวรุ่น AMG Dynamic ทำให้บรรดาทัพสื่อต้องวัดดวงเสี่ยงจับสลากว่าใครจะได้ขับรถคันไหน ซึ่งผลปรากฏคือผมจับได้รถสีขาวป้ายแดงรุ่น C300e AMG Dynamic เป็นพาหนะในวันที่สองของกิจกรรม

เบื้องต้นนั้นภายนอกไม่ได้ต่างอะไรไปจาก C350e AMG Dynamic ซักเท่าไหร่ จะมีก็ตรงป้ายบ่งบอกรุ่นบริเวณกระโปรงท้ายเท่านั้นที่เขียนว่า C300e ซึ่งเจ้านี่เป็นซี-คลาส ปลั๊กอินไฮบริด เจนเนเรชั่นที่ 3 ต่อจาก C300 Bluetec Hybrid กับ C350e โดยทางเบนซ์ลดรุ่นย่อยเหลือเพียง 2 แบบ ได้แก่ Avantgarde กับ AMG Dynamic ราคา 2,699,000-3,215,000 บาท ตัดรุ่น Exclusive สไตล์หรูออกไป

ทั้งนี้ ความต่างระหว่าง C350e กับ C300e รุ่นท็อป AMG Dynamic นอกเหนือจากราคารุ่นใหม่แพงกว่า 66,000 บาท ก็ยังมีบรรดาอุปกรณ์ที่มีการเพิ่มลดให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าค่ายดาวสามแฉก อาทิ เครื่องยนต์บล็อกเดิมแต่มีการปรับจูนใหม่ มอเตอร์ไฟฟ้าแรงขึ้น ความจุแบตเตอรีเพิ่ม เกียร์เก้าสปีด เปลี่ยนช่วงล่างจากถุงลมเป็นสปริงเหล็ก ลดขนาดล้อจากเดิม 19 นิ้ว มาเป็นไซส์ 18 นิ้ว และปลีกย่อยอีกเล็กน้อยที่การตกแต่งภายในห้องโดยสาร

รีวิว Mercedes-Benz C300e

รีวิว Mercedes-Benz C300e

เพื่อไม่ให้เสียเวลาเราไปเจาะกันถึงเรื่องหลักเช่นการขับขี่กันดีกว่า ก่อนอื่นต้องบอกว่าผู้เขียนนั้นได้ขับรถคันนี้ด้วยระยะทางเพียง 127 กม. จากโรงแรมที่จังหวัดกระบี่มุ่งหน้าโรงเรียนเยาววิทย์จังหวัดพังงา ซึ่งการจับอาการอาจไม่ได้ละเอียดมากนักแต่ก็จะพยายามถ่ายทอดให้ได้มากที่สุด

เริ่มจากฟีลของพวงมาลัยนั้นมีความเบามือหมุนคล่องในความเร็วต่ำ จะว่าไปมันเหมือนกับพวงมาลัยของ C220d Avantgarde ที่เรายืมมาขับก่อนหน้านี้ แล้วเมื่อใช้ความเร็วเพิ่มขึ้นมันก็ให้ระยะหน่วงฟรีตึงมือพอดีๆ ไม่ได้เบาโหวงหรือหนืดจนรู้สึกว่าควบคุมลำบาก อันนี้คือในโหมด Comfort แต่ถ้าเป็นโหมด Sport หรือ Sport+ อาการจะเปลี่ยนไปเป็นหนืดมากกว่าเดิม เพื่อรองรับการแล่นเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง หรือขับบนทางตรงอัดกันยาวๆ แช่ความเร็วไว้

 

ต่อมาคือเรื่องระยะเบรกที่หลายคนชอบพูดกันว่า รถไฮบริดหรือปลั๊กอินไฮบริดมีอาการตอบสนองของเบรกแบบแปลกๆ ขับแล้วไม่ได้กะระยะง่ายเหมือนกับรถเครื่องสันดาปทั่วไป ซึ่งจากที่เราได้ขับก็พบว่า…มันยังเป็นเช่นนั้นอยู่ โดยจังหวะที่ขับรถมาแล้วต้องเบรกมันจะมีช่วงที่กดไปแล้วเหมือนจิ้มนิ้วลงบนก้อนเค้กนุ่มๆ ที่ตัวรถไม่ได้หน่วงลงทันทีที่เริ่มไล่น้ำหนักเท่าลงแป้นเบรก ซึ่งเมื่อรถเริ่มชะลอใกล้จะหยุดนิ่งมันจะมีอาการกระตุกเล็กน้อยจากการตัดต่อกำลังของเครื่องกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้รู้สึกบ้างในบางจังหวะ

อย่างไรก็ตาม เมื่อขับขี่ใช้งานเดินทางปกติไปจนถึงความเร็วสูง การกดเบรกแบบเต็มแรงยังให้ความมั่นใจได้มากเหมือนรถยุโรปรุ่นใหม่ๆ ทุกยี่ห้อ ดังนั้นต้องทำใจไว้ว่าการเบรกในช่วงความเร็วต่ำของ C300e ยังไม่ตอบสนองได้เยี่ยมเหมือนกับรถเครื่องยนต์ปกติ แต่ในสภาวะอื่นๆ จัดว่าสอบผ่านได้ในระดับดีงาม

 

มาถึงประเด็นช่วงล่วงนั้น ตอนแรกเราบอกผู้อ่านแล้วว่าเบนซ์ได้ตัดสินใจถอดระบบช่วงล่างถุงลม Airmatic ออกไป อาจด้วยสาเหตุที่มีคนบ่นว่ามันชอบเสียบ่อยครั้ง หรือจะเป็นเรื่องที่ผู้ผลิตต้องการลดต้นทุนอุปกรณ์ลง เพื่อจะเสริมอุปกรณ์อื่นๆ ที่โดนใจลูกค้าตราดาวได้มากกว่าเดิม โดยพวกเขายกสปริงเหล็กมาใส่แทนที่ทั้งสองรุ่นย่อย

เราแอบคิดก่อนจะได้ลองขับ C300e ว่ามันต้องมีช่วงล่างแข็งแน่ๆ จากการเปลี่ยนมาใช้สปริง แต่ผลที่ออกมาคือมันไม่ได้แข็งเท่าที่เราคาดการณ์เอาไว้ ตัวรถยังคงซับแรงสะเทือนจากผิวถนนที่ขรุขระรวมถึงรอยต่อคอสะพานเตี้ยๆ ได้ในเกณฑ์ที่คนนั่งจะไม่บ่นว่า ขับเบาๆ หน่อย มิหนำซ้ำ ตอนที่เราขับด้วยโหมด Comfort แล้วเข้าโค้งก็ไม่ได้รู้สึกว่ารถโยนย้วยแต่อย่างใด (ความเร็ว 80-100 กม./ชม.) ถือว่าสอบผ่านสำหรับการใช้งานในโหมดผู้คนทั่วไป

อย่างไรก็ตาม เราได้ลองสวมโหมดเป็นนักขับเท้าหนัก เจอโค้งเป็นต้องเร่งใส่ อาการตอบสนองของช่วงล่างสปริงเหล็กชุดนี้ จะทำให้รู้สึกว่า…ยกคันเร่งเตรียมเบรกก็ดีนะ เพราะด้วยการที่มีน้ำหนักแบตเตอรีกดลงที่ท้ายรถ คุณไม่สามารถต้านทานหลักฟิสิกส์ได้แน่นอน คือท้ายรถจะเริ่มออกอาการลอยๆ หวิวๆ ตามแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ที่ยานพาหนะทุกชนิดต้องพบเจอ จริงๆ อาการที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้แย่หรอก เพียงแต่คุณอาจใช้ความเร็วที่มาจากการปรับปรุงใหม่มากจนเกินไป…

จากย่อหน้าที่แล้วเราจะพาผู้อ่านมารู้จักกับขุมพลังเดิมแต่ปรับปรุงใหม่ของ C300e ซึ่งยังคบหากับเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 2.0 ลิตร รหัส M274.920 บล็อกเดียวกับที่อยู่บน C350e ให้แรงม้าสูงสุด 211 ตัว ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,200-4,000 รอบต่อนาที แล้วเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติจากเดิม 7 สปีด มาเป็น 9 สปีด

รีวิว Mercedes-Benz C300e

รีวิว Mercedes-Benz C300e

ทั้งนี้ อีกจุดที่ถือว่าเป็นไฮไลต์ก็คงเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าที่ได้มีการปรับปรุงใหม่ คือเพิ่มชุดตัดต่อกำลังจากมอเตอร์จากเดิมมีแค่คลัทช์เปียก ยังใส่ชุดทอร์คคอนเวอร์เตอร์ให้มาเพื่อความนุ่มนวลระหว่างตัดต่อกำลังจากเครื่องสู่มอเตอร์ไฟฟ้า ส่งผลให้กำลังจากพลังไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 122 แรงม้า แรงบิดแบบไม่ต้องรอรอบพุ่งมาที่ 440 นิวตันเมตร ซึ่งเมื่อรวมสองระบบเข้าด้วยกันจะมีพละกำลังสูงถึง 320 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตันเมตร

ตัวเลขในกระดาษดูสวยงามแล้ว แต่การขับขี่ของจริงยิ่งการันตีว่า C300e โฉมใหม่ สร้างรอยยิ้มให้กับผู้ขับชนิดอ้าปากค้างไม่ยอมหุบ เพราะแค่โหมด Comfort ทันทีที่กดคันเร่งมิดแป้นตัวรถก็พุ่งทะยานพร้อมล้อหมุนฟรีทิ้งเล็ก ถีบรถซีดาน 4 ประตูลูกผสมเครื่องกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้แล่นจาก 0-100 กม./ชม. ด้วยเวลาต่ำกว่า 6 วินาที แบบไม่ต้องลุ้น ส่วนการเร่งแซง 80-120 กม./ชม. ข้อนี้ก็ไม่ต้องกังวล แค่กดลง 1 ใน 4 รถก็ทะยานแซงรถคันหน้าเหมือนไม่ต้องใช้แรงให้มากมาย

ความแรงของ C300e มันมากเกินสำหรับคนทั่วไปที่ขับรถไปทำธุระในเมือง หรือขับออกต่างจังหวัดไกลๆ อนึ่งคันเร่งของรถรุ่นนี้มีความไวเป็นพิเศษ ไม่ต้องเข้าโหมด Sport แค่โหมดปกติแล้วกดคันเร่งเบาๆ ตัวรถก็ไหลความเร็วขึ้นแบบไม่ต้องลุ้น ข้อนี้จะพูดว่าเป็นจุดเด่นก็ได้ไม่ผิดแปลกอะไร แต่ถ้าคนขับยังด้อยประสบการณ์ก็มองอีกมุมหนึ่งว่าเจ้านี่ออกจะอันตรายไม่น้อย หากเผลอกดคันเร่งหนักๆ บนทางเปียก บางทีระบบช่วยควบคุมการทรงตัวอาจทำงานได้ไม่ทันท่วงที

รีวิว Mercedes-Benz C300e

คำถามต่อมาคือ ถ้าใช้รถในเมืองแล้วอยากวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าจากแบตฯ ล้วนล่ะ C300e มันทำได้ไกลกว่า C350e หรือเปล่า คำตอบคือได้มากกว่าครับ เพราะหากดูสเป็คแล้วแบตเตอรีรุ่นใหม่มีความจุเพิ่มขึ้นเป็น 13.5 kWh จากเดิม 6.38 kWh มากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว แต่ทางวิศวกรเบนซ์บอกว่าประสิทธิภาพสูงขึ้น 30% เท่านั้น โดยเราคาดว่าใครที่ชาตแบตฯ จนเต็มจะวิ่งได้ด้วยไฟฟ้าอย่างเดียวได้ราว 36 กม. เป็นอย่างต่ำ (C350e วิ่งได้ 26-28 กม.) คงไม่ถึงตัวเลข 50 กม. ตามที่ผู้ผลิตได้ระบุเอาไว้

มาถึงช่วงสุดท้ายของบทความนี้ เรื่องการตกแต่งภายในนั้นมีหลายสิ่งเปลี่ยนไป รวมๆ แล้วหรูหราทันสมัยกว่ารุ่นเดิม พร้อมด้วยฟีเจอร์ความปลอดภัยครบถ้วน ความบันเทิงกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบจบในคันเดียว แต่ความดีงามของ C300e โฉมใหม่ที่ชัดแจ้งที่สุด คือความแรงกับการขับขี่อันสุดสนุก ซึ่งคุณสามารถขับรถแรงตัวเลข 0-100 กม./ชม. ด้วยเวลาต่ำกว่า 6 วินาที ในราคาจ่ายไม่เกิน 3.3 ล้านบาท ณ เวลานี้ ถือว่าคุ้มค่าน่าใช้เป็นอย่างยิ่ง

ทีมงาน Ridebuster ขอขอบคุณบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เชิญให้ร่วมกิจกรรมครั้งนี้

ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com

[ngg src=”galleries” ids=”1181″ display=”basic_thumbnail”]

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่