ปัญหาโลกแตกที่เกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อมีรถยนต์เปิดตัวใหม่ก็คือ “เลือกรุ่นไหนดี” โดยคำถามดังกล่าวมีเป้าประสงค์ที่ต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่ครั้งนี้เราจะมาฟันธงว่า Mazda CX-5 โมเดลล่าสุดนี้ รุ่นย่อยใดคุ้มค่าเงินและเหมาะสมที่สุดตามหลักเหตุผล เพราะถ้าซื้อด้วยอารมณ์ นักขับเท้าโหดคงกระโดดจับรุ่นท็อปเครื่องดีเซลแบบไม่ต้องคิด

 

 

ช่วงบ่ายวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 นับว่าเป็นวันสำคัญของทางมาสด้า ในการแนะนำรถยนต์อนกประสงค์   Mazda CX-5   สุ่ตลาดไทย เรื่องรูปลักษณ์คงไม่ต้องพูดกันมากความ เนื่องจากโลกอินเตอร์เน็ตข้อมูลด่วนเผยความน่าสนใจมาตั้งแต่เปิดตัวในต่างประเทศ แต่วันนี้สิ่งชี้ชะตารถรุ่นนี้ก็ไม่พ้นราคาจำหน่าย

หลังคุณ ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด ได้ประกาศราคาอย่างเป็นทางการ เราก็มีความคิดในใจเกิดขึ้นสองอย่างคือ รุ่นท็อปดีเซลราคา 1.77 ล้านบาทแพงเกินไป… สองคือรุ่นท็อปเบนซินก็พอแล้วถ้าซื้อ อย่างไรก็ตามสิ่งที่คิดไม่ได้ถูกต้องเหมาะสมที่สุดเสมอไป จนยังคำถามว่า  Mazda CX-5 รุ่นย่อยใดคุ้มค่าที่สุดในแง่หลักเศรษฐศาสตร์

 

 

 

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Mazda CX-5 ก่อน เจ้านี่เป็นรถยนต์ในกลุ่ม รถอเนกประสงค์หรือเอสยูวี ซึ่งตอนนี้มันก้าวเข้าสู่เจนเนเรชั่นที่ 2 เป็นที่เรียบร้อย นอกจากนี้ยังมีการตั้งเป้ากลุ่มหมายหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ ผู้บริหารรุ่นใหม่ คู่รักที่มีไลฟ์สไตล์ทันสมัยและชอบความหรูหรา และสุดท้ายคือครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งมีลูก แม้ว่าการตั้งเป้าหมายจะดูชัดเจน แต่การจ่ายเงินจำนวนเกินกว่า 1.5 ล้านบาทขึ้นไปก็ต้องคิดมากกว่าใช้อารมณ์ตัดสิน

 

 

เอาล่ะถ้าเราบอกว่าต้องใช้เหตุผลในการตัดสินใจเลือกรถหนึ่งคันมาใช้ เราเชื่อว่าหลายท่านคงมีความคิดในใจว่า “สุดท้ายก็เลือกที่ชอบอยู่ดี แม้จะแพงแต่ก็ต้องเอามาครอบครองให้ได้” เราตอบได้เลยว่า “คุณคิดถูก” แน่นอนความคิดของคนทุกคนย่อมต่างกัน แต่เราอยากให้คุณลองเปิดใจพิจารณาเม็ดเงินที่จ่ายไปสักนิด มาดูกันว่าทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไปนั้น หากเลือกรุ่นย่อยใดของ CX-5 แล้วจะคุ้มที่สุด

เริ่มด้วยคันแรกรถรุ่นพื้นฐาน Mazda CX-5 2.0 C AT (2WD) ราคา 1,290,000 บาท เจ้านี่ถือว่าอัดอุปกรณ์ที่จำเป็นมาแบบครบถ้วนไม่ขาดตกบกพร่อง อาทิ

  1. ไฟหน้า Projector Lens แบบ LED, ระบบเปิด-ปิด ไฟหน้า แบบอัตโนมัติ, ระบบปรับระดับไฟหน้า สูง-ต่ำ อัตโนมัติ
  2. เบาะนั่งคนขับ ปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมระบบดันหลังไฟฟ้า เบาะนั่งด้านหลัง พับอิสระ 40 : 20 : 40 พร้อมปุ่มควบคุมการพับเบาะจากที่เก็บสัมภาระ
  3. ระบบกุญแจ Smart Keyless Entry, ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์, กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ
  4. จอสัมผัส 7 นิ้ว, เบรกมือไฟฟ้า, ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย-ขวา, ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง,
  5. ระบบควบคุมเสถียรภาพ, ระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง, ระบบแจ้งเตือนรถในมุมอับ, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ, ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง, กล้องมองหลัง
  6. เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร Skyactiv-G 165 แรงม้า 210 นิวตันเมตร

 

 

จะเห็นได้ว่าอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นมีแบบเหลือเฟือ แม้ว่าความหล่อเหลาอาจด้อยกว่ารุ่นอื่น เนื่องจาก 2.0c ให้ล้ออัลลอย 17 นิ้ว กับยาง 225/65 R17 มา แต่นั่นถือเป็นข้อดีได้เช่นกัน เพราะคุณได้รับความนุ่มนวลขณะขับขี่มากขึ้น แถมค่าใช้จ่ายตอนเปลี่ยนยางยังสบายกระเป๋าอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นความสบายกับความหรูของห้องโดยสารก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ารุ่นย่อยอื่น เพราะคุณจะได้ทั้งเบาะหุ้มหนังสีดำรวมถึงเบาะคนขับที่ปรับด้วยไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง ขณะเดียวกันความปลอดภัยที่ให้มาจัดว่าอัดแน่น ทั้งแง่การหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุและขณะเกิดอุบัติเหตุ

สำหรับรุ่น 2.0 S AT (2WD) ที่มีราคา 1,400,000 บาท (เพิ่มจากรุ่น 2.0 C มา 110,000 บาท) เราคิดว่ารุ่นนี้ดูไม่คุ้มค่าเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มเท่าไหร่นัก เพราะสิ่งที่คุณจะได้เพิ่มเป็นในเรื่องความสวยงามเสียมาก อาทิ

  1. ไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบแอลอีดี, ไฟท้ายแบบแอลอีดี, ระบบปรับมุมลำแสงไฟหน้าอัตโนมัติตามการเลี้ยวของรถ
  2. วัสดุตกแต่งเสา B-Pillar ด้านนอก สีดำ Piano, วัสดุตกแต่งภายในห้องโดยสาร Metal Wood และ สีเงิน Satin Chrome, วัสดุตกแต่งพนักวางแขนบนแผงประตู หนังสีดำ เดินตะเข็บด้ายสีน้ำตาล และวัสดุตกแต่งกล่องเก็บของคอนโซลกลาง หนังสีดำ เดินตะเข็บด้ายสีน้ำตาล
  3. ระบบบันทึกความจำตำแหน่งฝั่งคนขับ 2 ตำแหน่ง, เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้า ปรับด้วยไฟฟ้า 6 ทิศทาง, ฝาท้ายเปิดปิดด้วยไฟฟ้า, เซนเซอร์ช่วยจอดด้านหน้าและหลัง

อย่างที่เห็นจะเป็นการเพิ่มส่วนสวยงามเสียมาก ข้าวของที่มีประโยชน์จริงๆ นั้นดูเหมือนไม่มี เพราะสิ่งที่เพิ่มเข้ามานั้นเป็นของเล่นจุกจิกไว้ประดับรถ เอาเข้าจริงแล้วการจ่ายเงินเพื่ออุปกรณ์ที่เพิ่งมาเหล่านี้ยังไม่คุ้มค่าเงินเท่าไหร่

 

 

ทิ้งท้ายรุ่นเครื่องเบนซินด้วย 2.0 SP AT (2WD) ราคา 1,530,000 บาท (แพงกว่ารุ่นเริ่มต้น 240,000 บาท) ที่อาจโดนใจใครหลายคนที่ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์และอุปกรณ์ความปลอดภัย อาทิ

  1. ล้ออัลลอย ขนาด 19 นิ้ว, ระบบไฟหน้าอัจฉริยะ ALH
  2. เครื่องเล่น DVD ,ระบบเครื่องเสียง BOSE พร้อมลำโพง 10 ตำแหน่ง
  3. ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน, ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติ, ระบบเตือนการชนด้านหน้า และ ช่วยเบรกอัตโนมัติ, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน

 

 

จะเห็นได้ว่ารุ่นท็อปเบนซินต่างจากรุ่นย่อยที่ต่ำกว่าในประเด็นล้อ 19 นิ้ว กับระบบไฟหน้าอัจฉริยะ รวมถึงการติดตั้งเครื่องเสียงจาก BOSE แต่ที่เราให้คะแนนพิเศษก็ได้แก่ระบบความปลอดภัยที่สูงกว่ารุ่นย่อยอื่นทั้งหมด สำหรับเรานั้นถ้าต้องเลือกรุ่นเครื่องเบนซินมาใช้ คงเลือกอยู่ 2 รุ่นเท่านั้น คันแรกคือรุ่น 2.0 C ถ้าเงินทุกบาทที่จ่ายไปต้องคุ้มเงินที่สุด และสองคือรุ่น 2.0 SP ถ้าอยากได้ความหล่อสุด ไฮเทคสุด และปลอดภัยที่สุด

 

 

หลังจากเปรียบเทียบรุุ่นย่อยเครื่องเบนซินจนครบก็ถึงคราวกระโดดข้ามมาที่รุ่นเครื่องดีเซล ซึ่งรุ่นย่อยกลุ่มนี้เป็นที่พูดถึงกันอย่างมากในหมู่ผู้บริโภค เพราะสิ่งที่คุณจะได้เหนือกว่ารุ่นเบนซินแน่นอนก็คือ ความแรงและความประหยัดน้ำมัน เพื่อไม่เสียเวลาเชิญอ่านต่อได้เลย

 

 

ในรุ่น 2.2 XD AT (2WD) ราคา 1,560,000 บาท (อุปกรณ์มากกว่ารุ่นย่อยเครื่องเบนซินเล็กน้อย) ดูจะเป็นรุ่นย่อยที่เอาใจขาโหดที่ชอบแรงบิดไว้เรียกแซงบ่อยครั้ง แต่ก็ไม่อยากจ่ายแพงมากไปเล่นรุ่นท็อปสุด ทั้งนี้ในแง่ความสวยงามที่มีก็ไม่ได้ตัวแพงกว่าแต่อย่างใด เพราะคุณจะได้ทั้งล้อ 19 นิ้ว ภายในตกแต่งเหมือนกันทุกอย่าง จะด้อยก็ตรงที่ขาดหลังคาซันรูฟ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เครื่องเสียง BOSE และระบบความปลอดภัยขั้นสูงเหมือนที่มีในรุ่นท็อปเบนซิน

 

 

ปิดท้ายด้วยรุ่นท็อปสุดของรถโมเดลนี้อย่างรุ่น 2.2 XDL AT (4WD) ราคา 1,770,000 บาท (แพงกว่ารุ่นดีเซลเริ่มต้น 210,000 บาท และแพงกว่ารุ่นท็อปเบนซิน 240,000 บาท) โดยก่อนหน้านี้เราได้เทียบกับรุ่นเริ่มต้นเครื่องดีเซลไปแล้ว จะเห็นว่าอุปกรณ์ที่เพิ่มเข้ามาจะหนักไปตรงส่วนระบบความปลอดภัย ซึ่งความสวยงามมีต่างกันแค่จุดเดียวเท่านั้นคือหลังคาซันรูฟ

 

 

คำถามข้อสุดท้ายเกิดขึ้นแล้วว่า… รุ่นย่อยไหนคุ้มที่สุดล่ะ? ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าบทความนี้เขียนขึ้นจากมุมมองส่วนตัวของผู้เขียน แต่เราพยายามเผยแพร่ความคิดที่เล็งเห็นถึงความคุ้มค่าเงินทั้งตอนซื้อและเป็นเจ้าของ โดยรุ่นที่คุ้มที่สุดในสายตาเราก็คือ 2.0 C AT 2WD แม้ว่าจะขาดระบบความปลอดภัยขั้นสูงไปบางอย่าง แต่มันก็มีระบบพื้นฐานที่จำเป็นครบถ้วน ทั้งนี้ความปลอดภัยก็ให้ระบบเตือนรถในมุมอับด้านข้างและด้านหลัง ระบบควบคุมการทรงตัว และถุงลมนิรภัย 6 ใบ

 

้
เครื่องดีเซล 2.2 ลิตร แรงและประหยัดกว่า

 

อย่างไรก็ตามอาจมีคนบอกว่าเครื่องเบนซิน 2.0 ลิตร มันไม่แรงหรือประหยัดเท่าดีเซลนะ แต่เรามองว่าคนส่วนใหญ่ที่ขับรถไม่ได้ต้องการอัตราเร่งสุดโหดตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้นการใช้งานรถสักคันย่อมต้องทำความรู้จักบุคลิกของมันอยู่แล้ว ดังนั้นด้วยม้าจำนวน 165 ตัวกับแรงบิด 210 นิวตันเมตรจึงพอเพียงสำหรับการใช้งานของคนส่วนใหญ่ ที่สำคัญมันมีส่วนต่างกับรุ่นเริ่มต้นของเครื่องดีเซลถึง 270,000 บาท ซึ่งเปลี่ยนเป็นค่าน้ำมันให้ใช้งานได้ระยะทางถึง 130,000 กิโลเมตร (คิดจากน้ำมันแก๊ซโซฮอล์ 95 ราคา 28.25 บาท อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 13.5 กิโลเมตรต่อลิตร)

ท้ายที่สุดแล้วแม้เราจะบอกถึงเหตุผลไปมากเท่าใด แต่ถ้าคุณมีรถรุ่นย่อยใดอยู่ในใจแล้วก็จงไปคว้ามันมาเป็นเจ้าของ เพราะคุณและครอบครัวคือคนที่ต้องอยู่กับมันไปตลอดจนกว่าจะขายรถ ดังนั้นคุณต้องชอบและมีความสบายใจมากที่สุดระหว่างการเป็นเจ้าของ

 

 

ช่วยเป็นกำลังใจให้เรา

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่