แม้จะโดนดักหน้า โดย Porsche 911 Dakar แต่ฝั่ง Lamborghini Huracan Sterrato เอง ก็ได้รับความสนใจจากเหล่าสาวกไม่แพ้กัน และในตอนนี้มันก็ได้ถูกเผยสเป็คอย่างเปด็นทางการออกมาแล้วเป็นที่เรียบร้อย

นอกจากงานออกแบบภายนอกที่ถูกปรับใหม่ ให้ดูดุดัน พร้อมลุยมากขึ้น อย่างที่เราได้เคยไล่เรียงไปก่อนหน้านี้ เจ้า Lamborghini Huracan Sterrato มาพร้อมจุดเด่นสำคัญที่ทำให้มันแตกต่างจากพี่น้องร่วมตระกูลด้วยกันอยู่หนึ่งข้อ นั่นคือช่วงล่างที่ถูกยกสูงขึ้นจากเดิม(เทียบกับ Huracan EVO) อีก 1.7 นิ้ว หรือ 44 มิลลิเมตร ซึ่งอาจจะดูเหมือนเยอะ แต่ถ้าเทียบกับรถยนต์นั่งทั่วๆไป ก็ดูเหมือนว่ามันจะสูงกว่ารถเก๋งซีดานขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในส่วนความสูงใต้ท้องรถ

ดังนั้นเพื่อให้การขับเจ้ากระทิงดุคันนี้บนทางกรวดมีความอุ่นใจมากขึ้น แผ่นปิดใต้ท้องรถของมัน จึงเปลี่ยนมาใช้วัสดุแผ่นอลูมิเนียมใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิม เช่นเดียวกับชุดยาง AT ขอบ 19 นิ้ว สเป็คพิเศษ Bridgestone Dueler AT002 ขนาด 235 และ 285 ตามลำดับหน้า-หลัง ที่ไม่ได้มีดีแค่ตัวดอกยางออกแบบมาเพื่อการวิ่งบนทางกรวดโดยเฉพาะ แต่ยังเป็นยางแบบรันแฟลต ที่สามารถวิ่งได้เป็นระยะทางราวๆ 80 กิโลเมตร ด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง เมื่อลมยางอ่อน หรือยางรั่วได้อีกด้วย

นอกนั้นในส่วนชิ้นแก้มข้างที่เห็นเป็นชุดโป่งแบบขันน็อตหกเหลี่ยมยึดเอาไว้ ก็ถูกติดตั้งเข้ามาเพื่อ ให้รับกับความกว้างฐานล้อที่เพิ่มขึ้นมาอีก 30 มิลลิเมตร ทางด้านหน้า และ 34 มิลลิเมตร ทางด้านหลัง ส่วนช่องดักลมที่เห็นอยู่ทางด้านบนแผ่นปิดเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของตัวรถ ก็แน่นอนว่ามีไว้เพื่อดักอากาศเข้าสู่หม้อกรองไอดี และเหตุผลที่มันต้องอยู่ในจุดนี้ ก็เพื่อรับอากาศที่สะอาดที่สุดเท่าที่จะหาได้เมื่อรถต้องลุยทางฝุ่นนั่นเอง

ด้านขุมกำลังของมัน แม้จะยังคงเป็นบล็อค V10 5.2 ลิตร ไร้ระบบอัดอากาศ เหมือนกับเหล่าพี่น้องร่วมตระกูล Huracan แต่ด้วยโจทย์การใช้งานที่ต่างออกไป จึงทำให้พละกำลังสูงสุดที่เครื่องยนต์ลูกนี้ในตัวมันสามารถทำได้ ถูกปรับลดลงมาเหลือ 610 PS กับแรงบิดสูงสุดอีก 565 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 สปีด ไปยังชุดล้อทั้งสี่แบบ AWD ที่มีระบบล็อคเฟืองท้ายทางสำหรับชุดล้อคู่หลังมาให้ด้วย

และด้วยน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นจาก Huracan EVO AWD ขึ้นมาอีก 48 กิโลกรัม เป็น 1,470 กิโลกรัม ในขณะที่พละกำลังสูงสุด และแรงบิดสูงสุดลดลง จึงทำให้ตัวเลขเวลาในการทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ของมันช้าลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 3.4 วินาที และในส่วนความเร็วสูงสุด ก็ถูกปรับลดลงเหลือเพียง 260 กิโลเมตร/ชั่วโมง จากเดิมที่พี่น้องร่วมตระกูลจะมีความเร็วสูงสุดราวๆ 322 กิโลเมตร/ชั่วโมง กันแทบทั้งสิ้น ซึ่งทั้งนี้ก็เข้าใจได้ว่าด้วยเหตุผลทางกายภาพของตัวรถที่ไม่เอื้อต่อการทำความเร็วสูงๆมากเท่าไหร่นัก

น่าเสียดายที่ในการเปิดตัวครั้งนี้ ท้ายที่สุดแล้วทางค่ายก็ยังไม่ได้มีการเปิดเผยข้อมูลในส่วนของภาพงานตกแต่งภายในตัวรถ หรือแม้กระทั่งจำนวนการผลิต และราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการของตัวรถรุ่นนี้ออกมา จึงทำให้เราจำเป็นจะต้องมารอติดตามข้อมูลชุดนี้กันอีกครั้งในภายหลังกันต่อไป

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่