หลายปีที่ผ่านมายอมรับไหมครับ ว่าภูมิทัศน์ทางด้านใช้รถยนต์ของคนไทยเปลี่ยนไป นอกจากรถยนต์นั่งขนาดเล็กจะประสบความสำเร็จ หลังจากโดนข้อกังขาเรื่องความปลอดภัยมายาวนานแล้ว รูปแบบลักษณะที่ได้รับความนิยมยังเปลี่ยนไป รถยนต์แบบใหม่อย่างรถยนต์อเนกประสงค์ก้าวเข้ามาในใจคนไทย และรวมถึงรถยนต์นั่งแบบใหม่ ที่มาพร้อมคุณสมบัติแห่งความอรรถประโยชน์

ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยครับว่า รถยนต์นั่งแฮทช์แบ็คก้าวเข้ามาในชีวิตเรามากขึ้น ทุกวันนี้เราสามารถเห็นรถยนต์นั่งที่มี 5 ประตูมากขึ้นตามถนนหนทาง มันมีตั้งแต่รถยนต์นั่งขนาดเล็ก ในบรรดาอีโค่คาร์ไปจนกระทั่งรถยนต์สุดหรูราคาหลายล้านบาท และนับวันก็รังจะทวีจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ตามกระแสความต้องการของกลุ่มผู้ใช้

 

จุดเริ่มต้นจากรถเล็ก  

โครงสร้างตัวถังแบบแอทช์แบ็ค แม้จะเพิ่งเป้นที่คุ้นหน้าตาในประเทศไทย หากความจริงมันมีจุดเริ่มต้นมายาวนาน ตั้งแต่สมัย 1930 เริ่มจากรถยนต์ในประเทศยุโรป แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมมากนัก มีเพียงรถบางรุ่นที่ได้รับการพูดถึงและถือว่าเป็นรถแอทช์แบ็คที่ประสบความสำเร็จ Austin mini   รถยนต์นั่งจากเกาะอังกฤษในยุค 60 ความสำเร็จดังกล่าวทำให้การออกแบบรถยนต์สไตล์นี้เริ่มระบาดในหมู่รถยุโรป ทั้ง   Renault , Jaguar   ต่างเอารถยนต์ทรงไปทำวางจำหน่าย

ช่วงแรกความสำเร็จของรถแอทช์แบ็คจำกัดในวงไม่กว้างนัก เนื่องจากลูกค้ายังต้องการรถยนต์นั่งมากกว่า  Jaguar  เอาทรงนี้ไปทำรถสปอร์ต   E Type  ในปี 1970 กลายเป็นรถต้นความคิดให้ทางโตโยต้าได้แรงบันดาลใจในการทำ   Toyota 200GT  และ สืบไปยัง   Nissan  สร้าง  240Z  ขึ้นมา

blue-mini-remastered-2

ในประเทศไทยรถยนต์แฮทช์แบ็คเข้ามาในระยะหนึ่งแล้วโดยแรกเริ่มอยู่ในหมู่รถยนต์หรูชั้นนำ ไม่ว่าจะ   Mercedes Benz   หรือ  BMW   ตลอดจน   Volvo  เคยนำรถสไตล์นี้เข้ามาจำหน่าย แต่ก็ไม่ถูกจริตคนไทยมากนัก ยอดขายรถสไตล์นี้ไม่แรงเท่าซีดาน แถมด้วยราคาที่สุงกว่ารถสี่ประตู เนื่องจากฟังชั่นการใช้งาน ทำให้มีคนจำนวนน้อยมากที่จะซื้อรถยนต์แฮทช์แบ็คไว้ใช้ในบ้านตัวเอง

รถแฮทช์แบ็คมานิยมจริงๆ ในช่วงปี 2004 หลัง ทางฮอนด้าเปิดตัวรถยนต์   Honda  Jazz   รุ่นแรกในประเทศไทย ถ้าไม่นับเรือนร่างเล็กกระทัดรัดน่านรักในยุคนั้น นี่คือรถยนต์แฮทช์แบ็คคันแรกที่คนทั่วไปสามารถจับต้อง ได้ ก่อนที่ทาง   Toyota   จะส่ง Toyota Yaris   เข้ามาทำตลาด ตามมาด้วย   Nissan  หอบเอา   Nissan Tida   มาตอบโจทย์ ไม่เว้นกระทั่งค่ายอินดี้  Suzuki   ที่มาตอบตลาดด้วย   Suzuki  Swift 1.5 จนกลายเป็นศึกรถแฮทช์แบ็ครุ่นเล็ก และทำให้คนไทยเริ่มรู้จักคำว่าแฮทช์แบ็คมากขึ้น

suzuki Swift RX II
suzuki Swift RX II

4ปีให้หลัง ตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็กเริ่มเติบโตเต็มที่ ทางนิสสันก็ไม่รอช้านำทัพรถยนต์อีโค่คาร์เข้าทำตลาดสนองนโยบายรัฐบาลที่เป็นวุ้นมายาวนาน การมาของ  Nissan March  เป็นการตอกย้ำว่ารถทรงแฮทช์แบ็คมีความน่าใช้งานมากขึ้น เนื่องด้วยความเป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กต้องมีพื้นที่ใช้สอยสนองความต้องการที่หลากหลาย เมื่อรัฐบาลเคาะโคร

การรถคันแรกตามมาอย่างรวดเร็ว มันกลายเป็นยาชูกำลังที่ทำให้คนไทยมองแฮทช์แบ็คมากขึ้น

 

ออกแบบดีกว่าจนน่าสนใจ

ในช่วงแรกหลายคนอาจจะมองแฮทช์แบ็คที่ฟังชั่นการใช้งาน แต่ในระยะหลังรถยนต์แฮทช์แบ็ค เริ่มน่าสนใจมากขึ้น ด้วยการออกแบบที่ลงตัวจนบางรุ่นสวยกว่าซีดานหรือรถยนต์แบบ 4 ประตู

รถยนต์รุ่นหนึ่งที่เปิดตลาดแฮทช์แบ็คมากยาวนาน และไม่ย่อท้อต่อตลาดประเทศไทย คือมาสด้า ทางมาสด้าขายรถทรงแฮทช์แบ็คมาตั้งแต่ปีมะโว้ ยุคสมัย   Mazda 323  รุ่นที่ตลาดมือสองชอบเรียกว่า “ตาตี่” ไม่เว้นกระทั้งรุ่นใหญ่ มาสด้าโครโนส 626 ที่มีรุ่นสไตล์แฮทช์แบ็คทรงท้ายลาดหรือ Liftback  วางจำหน่ายด้วย

subaru-impreza-motorshow-2017 (3)

subaru-impreza-motorshow-2017 (2)

ในขณะที่คนไทยเพลิดเพลินอีโค่คาร์ และรถยนต์นั่งขนาดเล็ก มาสด้า เป็นบริษัทรถยนต์จากญี่ปุ่นรายเดียวในช่วงต้นปี 2000 ที่มาพร้อมรถคอมแพ็คคาร์ทรงแฮทช์แบ็ค และพวกเขาขายมันได้ดีกว่าซีดาน จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ยอดขายของรถยนต์   Mazda  ส่วนใหญ่ยังเป็นของรถแฮทช์แบ็คในอัตรา 60/40 ของยอดขายทั้งหมดในรถยนต์   Mazda 3 และที่คนซื้อ  Mazda 3 Hatchback   ก็มาจากความลงตัวของการออกแบบมากกว่า

เรื่องทำนองเดียวกันเกิดขึ้นกับ   Ford Focus  ที่มีรถยนต์แฮทช์แบ็คมากกว่าซีดาน เนื่องจากการออกแบบที่ลงตัว มากกว่า จนล่าสุดเมื่อทาง  Ford  ปรับโฉม  Ford  Focus  รุ่นปัจจุบัน พวกเขาตัดสินใจตัดรุ่นซีดานออกไป แล้วเหลือเพียงรุ่น Hatchback เท่านั้น  

 

กระแสอเนกประสงค์มาแรง ..แฮทช์แบ็คเลยโตตาม

นอกจากการออกแบจะน่าสนใจมากขึ้น จนหลายคนสนใจ กอปรกับความนิยมนั่งในรถยนต์นั่งขนาดเล็กเป็นตัวช่วยหนุนที่สำคัญ

รถยนต์อเนกประสงค์เอง ถือว่าเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ทำให้รถยนต์แฮทช์แบ็คได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้นในยุคนี้ ทว่าในหลายครั้งรถยนต์อเนกประสงค์เองก็มีลุคที่ดุดันพร้อมลุย จนผู้ซื้อบางรายไม่ได้ชอบใจ  หรือบางครั้งอาจจะเป็นเรื่องของงบประมาณที่น้อยกว่าในการซื้อรถ

เมื่อเอื้อไม่ถึงรถอเนกประสงค์แต่อยากได้ฟังชั่นในการใช้งานที่ครบครันเหมือนกัน รถยนต์แฮทช์แบ็คที่จอดอยุ่ใกล้เคียงกันนั้น จึงเป็นตัวเลือกที่น่าคบหาไม่น้อย

Review-Honda-Civic-hatchback (31)

ซื้อแฮทช์แบ็คดีกว่าอย่างไร

มาถึงตรงนี้ผมเชื่อว่า หลายคนคงจะเห็นภาพของรถยนต์นั่งhatchback แล้ว ว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร หากหลายคนก้ยังกังวลในระหว่างด้อมๆ มองๆ ว่า รถยนต์แฮทช์แบ็คที่เราจะเลือกซื้อนั้น มีประโยชน์มากกว่า คุ้มค่ามากกว่าจริงหรือเปล่า

ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก เนื่องจากที่ผ่านมา คนไทยจำนวนมากคุ้นเคยรถยนต์นั่งซีดาน มาตั้งแต่ยุคปู่ย่าตาทวด จนมาถึงรุ่นเรารถซีดานเห็นกันอย่างชินตา แต่แฮทช์แบ้คมีความดีความชอบมากกว่า อย่างที่คุณอาจจะไม่คิดก็ได้

1.พื้นที่ใช้สอยมากกว่า ประเด็นหลักที่ทำให้คุณจะสนใจรถยนต์แฮทช์แบ็ค คือมันมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่ารถยนต์ซีดาน เนื่องจากหลังคาจะลาดยาวถึงประตูท้าย หาได้เป็นแบบกระโปรงหลังยื่นต่อไม่ นั่นทำให้รถแฮทช์แบ็ค ส่วนใหญ่มีพื้นที่เก็บของดีกว่า เนื่องจากส่วนใหญ่รถแฮทช์แบ็ค จะสามารถปรับพับเบาะตอนหลังได้ เมื่อพับเบาะลงมาคุณจะได้พื้นที่จุสัมภาระเพิ่มเป็นเท่าตัว เหมาะสำหรับใส่ของทำกิจกรรมต่างๆ ได้  โดยเฉพาะใครที่เน้นกิจกรรมกลางแจ้ง น่าจะชอบ ที่สามารถใส่อะไรต่อมิอะไรได้เยอะเต็มไปหมด

Nissan-note-review-ridebuster (5)

2.มีพื้นที่โดยสารดีกว่า ถ้ามองในความเป็นจริงรถซีดานดูน่าจะนั่งสบายมากกว่าถูกไหม แต่หลายครั้งจากที่ทดสอบรถยนต์มาหลายคัน รถแฮทช์แบ็คกลับนั่งสบายกว่าอย่างไม่น่าเชื่อ เนื่องจากพนักผิงหลังสามารถปรับเอนหรือปรับตั้งได้ (ในรถบางรุ่น) ทำให้คนโดยสารตอนหลังสามารถปรับอิริยาบถท่วงท่าในการโดยสารมากกว่า ข้อเสียเดียวในแฮทช์แบ็ค คือรถบางรุ่นทำทรงเสาสุดท้าย หรือ เสา  C   เทลดมากไป จนพื้นที่เหนือศรีษะเหลือน้อย

3.ตอบสนองดีกว่า ในต่างประเทศโดยเฉพาะยุโรป รถยนต์แบบ 5 ประตูแhatchback ได้รับความนิยมมาก ด้วยมันเป้นรถที่ตอบสนองดี การไม่มีช่วงกระโปรงหลัง ทำให้การตอบสนองของตัวรถดีกว่าอย่างชัดเจน ท้ายรถจะไปตามที่คุณต้องการมากขึ้น เข้าโค้งดีกว่า และด้วยเหตุนี้ทำให้เกิดรถกลุ่มใหม่ที่เรียกว่า   Hot-hatch  ในตลาดยุโรป 

Nissan-note-review-ridebuster (8)

4.ราคาขายต่อดีและง่ายกว่า เคยเดินตลาดรถยนต์มือสองไหมครับ เชื่อไหมครับว่า รถยนต์ 5ประตูที่เป็นมือสองมีราคาขายต่อดีกว่า รถซีดาน รถบางรุ่นโดยเฉพาะ 5 ประตู รุ่นที่ต่ำกว่าปี 2006 ลงไป อาจจะมีราคาขายต่อสูงกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับรถซีดาน ยกตัวอย่าง รถ BMW E34   ซีดาน มีราคาจำหน่าย 2 แสนบาท ในวันที่เขียนบทความ ผมลองเปิดหารถ E34 ที่เป็น ทรง 5 ประตู มีคนขายพวกมันในราคา  4-5 แสนบาท หรือ ทำนองเดียวกันในรถญี่ปุ่น  Subaru  Impreza GC6  ซีดาน มีราคาขายราวๆ 2-3 แสนบาท แต่ตัวแวกอน 5 ประตู แต่งครบๆ 4-5 แสนบาท ก็ปล่อยได้ ที่สำคัญมันไปง่าย เนื่องจากความแปลกของมันนั่นเอง

แฮทช์แบ็ค เป็นรถที่คุณอาจจะมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย เนื่องจากคุณต้องจ่ายมากกว่า อีกนิดหน่อยเพื่อได้ฟังชั่นที่ครบครันมากขึ้น สนองความต้องการใช้งานกว่าซีดาน มันคุ้มหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณ แต่ถ้าวันนี้มองรถสักคัน อย่ามองข้ามเจ้า 5 ประตูต่างๆ ในตลาดมันอาจคือเพื่อนแท้ของครอบครัว

ชอบกดไลค์ใช่กดแชร์ ขอบคุณทุกกำลังใจสำหรับพวกเรา   ridebuster.com 



แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่