ในปี 2018 ฟอร์ด ได้สร้างเซอร์ไพรซ์คนทั่วโลก ด้วยการสร้างรถกระบะ Ford Ranger Raptor ออกมาตอบโจทย์ เอาใจคนรักเรื่องลุย แม้ว่า การเปิดตัวในปีนั้น รถจะมีราคา 1,699,000 บาท ก็กลับทำยอดจองอย่างล้นหลาม จนทำเอาค่ายมะกันแปลกใจ ไม่น้อย

ไม่ว่าด้วยเหตุใด ที่ทำให้ชาวไทย ถึงชอบ Ford Ranger Raptor จนกวายอดดขายกันอย่างบ้าคลั่ง ชนิดที่รถยนต์รุ่นอื่นได้แต่มองตาปริบ แต่ด้วยความแตกต่างนี้ จึงทำให้ ฟอร์ด ตั้งใจพัฒนา Ranger Raptor รุ่นใหม่ ให้มีสมรรถนะที่จัดจ้านยิ่งขึ้น

จนในที่สุด มันก็ได้ฤกษ์เปิดตัวครั้งแรกในงานมอเตอร์โชว์ปี 2022 พร้อมพี่น้องของมัน ด้วยไฮไลท์สำคัญคือ เครื่องยนต์เบนซิน V6 3.0 เทอร์โบคู่ เกือบ 400 แรงม้า ที่ในตอนแรกใครหลายคนต่างคิดว่ามันต้องมีราคาแพงมากแน่ๆ

แต่ท้ายที่สุดมันกลับมีราคาวางจำหน่ายเพียง 1,869,000 บาท เท่านั้น และนั่นก็ทำให้ มันสามารถสร้างยอดจองถล่มทลายในทันที มีคนต้องต่อคิวยาวเป็นหางว่าวตั้งแต่ต้นปี แล้วรอรับรถอีกทีกันถึงปีหน้า

มันได้กลายเป็นรถกระบะในฝันของคนชนชั้นกลาง ซึ่งหนึ่งในนั้น….ก็มีผม รวมอยู่ด้วย

นี่จะเป็นครั้งแรกที่ผมได้แตะ Ford Ranger Raptor 2022 แล้วสนุกกับมัน อย่างเต็มคราบ และหลังจากที่ได้ลองขับผม บอกเลยว่า นี่คือรถที่คุ้มค่าอีกคัน ชนิดที่ว่าถ้ามีเงินในบัญชีมากพอ คุณก็ไม่ควรพลาดซื้อมันด้วยประการทั้งปวงเลยครับ …

ก่อนอื่น ต้องมาย้ำกันสักหน่อยว่า รหัส “Raptor” มีที่มาที่ไป เมื่อตอนปี 2010 ทาง ทีม SVT หรือ Special Vehicle Team ของฟอร์ด ที่ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็น Ford Performance ได้เข้ามามีบทบาทในการพัฒนา รถกระบะ Full Size – Truck อย่าง Ford F-150 SVT Raptor ในอเมริกา

และในทันทีที่เปิดตัว เจ้ารถรุ่นดังกล่าว ก็ได้รับความสนใจอย่างมากในอเมริกา เนื่องจากมันมีความเป็นรถกระบะสมรรถนะสูงที่ถูกพัฒนาช่วงล่างให้มีสมรรถนะในการขับขี่บนทางฝุ่น ที่มีความเร้าใจมากขึ้นตั้งแต่ออกโรงงาน ในแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน

ประกอบด้วยเป้าหมายหลัก คือการเป็นรถที่สามารถใช้ความเร็วในการลุยได้ ประดุจมีรถแข่งแรลลี่ที่บ้าน ที่คุณสามารถขับใช้งานได้ทุกวัน มีความดุดัน ทำให้มันกลายเป็นรถสปอร์ตในคราบกระบะ ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในอเมริกา ตั้งแต่นั้นมาในที่สุด ภายใต้ชื่อ “Raptor”

โดยชื่อ Raptor ถูกตั้ง มาตั้งแต่ตอนกำลังพัฒนารถรุ่นนี้ แต่ไม่มีใครทราบที่มาของชื่ออย่างแน่ชัด หลายแหล่งข้อมูล อ้างตรงกันว่า มีความเป็นไปได้ ว่ามันจะมาจาก “Velociraptor” ไดโนเสาร์กินเนื้อสุดปราดเปรียว ฉลาดเฉลียว และว่องไว ที่ใครหลายคนรู้จักกันดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแฟนภาพยนต์ Jurassic Park

และเนื่องจาก เป้าหมายการสร้างรถกระบะคันนี้ คือมันต้องมีสมรรถนะที่แรงเอาเรื่อง มีความรวดเร็ว คล่องตัว ประกอบกับ ตัวรถที่ดุดัน ดังนั้น รหัส Raptor ก็น่าจะเป็นชื่อรหัส ที่ทำให้คนเข้าใจ และจดจำได้ง่าย นั่นเอง

กลับมา ตอนที่ Ford Ranger Raptor โฉมแรก ถูกเปิดตัวในปี 2018 แล้วมีการเปิดให้สื่อ ได้ลองขับอย่างเป็นทางการ

หลังลงมาจากรถ หลายคนต่างพูดไปในทางเดียวกันว่า แม้มันจะเป็นกระบะที่นั่งสบายขับดี และพร้อมลุยทางโหด แต่มันก็ยังมีประเด็นอีกมากที่ฟอร์ด ต้องนำกลับไปปรับปรุง โดยเฉพาะกำลังเครื่องที่ไม่ได้เร้าใจมากนัก

จนกระทั่งเมื่อถึง ตอนที่ Ranger Raptor รุ่นใหม่ ได้ถูกเผยโฉม แล้วเคลื่อนตัวผ่านม่านหมอกออกมา พร้อมรูป โฉมใหม่ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ปี 2565

สิ่งที่ผมสังเกตได้ทันที คือรถคันนี้ดูเปลี่ยนไป อย่างชัดเจน และมองว่าเจ้านี่อาจเป็น “เรียลแรพเตอร์” ตัวจริงที่คนไทยไฝ่หากันอยู่ก็ได้

The Big Revise …

อันที่จริง เราต้องพูดตามตรงว่า Ford Ranger Raptor 2022 แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้า ด้วยการเป็นรถที่ถูกปรับปรุง จากข้อติติงจากลูกค้าเดิม

ประเด็นสำคัญ ทางทีมพัฒนาได้ใส่ใจในรายละเอียดทางวิศวกรรม เริ่มจากการปรับปรุงแชสซีใหม่ เพิ่มความแข็งแรงของจุดยึดโช้กอัพ ให้พร้อมสำหรับการทำงานหนัก ในระหว่างการทำความเร็วขณะบุกตะลุย

จุดที่ปรับปรุงอีกอย่าง คือโช้กอัพ ที่แม้จะยังคงเป็นของแบรนด์ “หมาป่า – Fox” เจ้าเดิม มีระบบ Internal By Pass Valve ขนาด 2.5 นิ้ว เหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมคือได้ระบบ Live Valve ที่สามารถแปรผันและปรับค่าการความหนืดในการยืดยุบของโช้ก ให้เหมาะกับสภาพพื้นผิว ขณะที่รถขับขี่ผ่านไปได้เอง โดยอัตโนมัติ

ว่าง่ายๆก็คือ ระบบโช้กอัพใหม่นี้ คือการใช้ ระบบโช้กอัพไฟฟ้า แบบเดียวกับรถซุปเปอร์คาร์ หรือรถสปอร์ตค่าร์ ไม่ก็รถหรูจากแบรนด์พรีเมียมสัญชาติยุโรปทั้งหลาย

ช่วงล่าง Fox 2.5 พร้อม ระบบ Live Valve และ ยังมี Internal bypass Valve ลูกเล่น ประจำตัว

โดยตัวระบบ จะสามารถปรับเซ็ทค่าการทำงาน โช้กอัพ ได้ 3 ระดับ ในเบื้องต้นได้แก่

  • Normal : สำหรับ การใช้งาน บนถนนทั่วไป
  • Sport : สำหรับ การใช้งาน เพื่อขับรถด้วยความเร็ว
  • Off Road : สำหรับการใช้งาน ในทางสมบุกสมบัน

ซึ่งการเซ็ทค่าทั้ง 3 รูปแบบนี้ จะจัดให้เป็น “ค่าพื้นฐาน” สำหรับการทำงานของโช้ก

แต่เมื่อรถเคลื่อนที่ ตัวโช้ก จะมีชุดระบบสมองกล ที่คอยดึงข้อมูลเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนที่ ของกระบอกโช้ก ว่ามีความไวและแนวโน้มในการยืดยุบอย่างไรอยู่ตลอดเวลา ด้วยความถี่ 500 ครั้ง ต่อวินาที เพื่ออ่านสภาวะผิวถนนที่รถกำลังวิ่งผ่าน

โดยเมื่อสมองกลคำนวนค่าได้แล้ว มันก็จะคอยปรับค่าการตอบสนองของโช้กใหม่ ให้เหมาะสมกับสภาพผิวถนนในเวลานั้นๆขึ้นไปอีกขั้น ช่วยให้โช้กสามารถควบคุมอาการของรถได้อยู่หมัด รองรับการใช้งานในสถานการณ์ที่หลากหลายมากขึ้น ครอบคลุมตั้งแต่ทางเรียบไปจนถึงทางฝุ่นผิวขรุขระ ต่างจากโช้กธรรมดาที่อาจเหมาะสำหรับการใช้งานบนถนนสภาพผิวเดียว หรือแตกต่างกันไม่มากนักเท่านั้น

รวมถึง ยังมีระบบ Buttom Out Control ป้องกันอาการโช้กยัน นั่นคือเมื่อระบบพบว่า ลูกสูบภายในโช้ก ได้เคลื่อนเข้ามาจนถึงช่วงระยะ 25% สุดท้ายของช่วงยุบ ลูกสูบแรงดันชุดที่ 2 จะสร้างแรงต้านภายในเพิ่มขึ้น เพื่อไม่ให้ลูกสูบเกิดการยัน ทำให้รถยังคงอยู่ในอาณัติ การควบคุมตลอดเวลา และช่วยให้รถ สามารถออกตัวได้ดี ไม่กระทั้นหรือกระเทือนได้ง่ายๆ

ไม่เพียงเท่านี้ น้ำมันในชุดโช้ก ยังใช้น้ำมันพิเศษ ผสมสาร Teflon™ ลดค่าเสียดทาน 50% เมื่อเทียบกับโช้กรุ่นเดิม ทำให้ตัวโช้กสามารถทำงานได้อย่างอิสระมากขึ้น

โดยการปรับเซ็ทช่วงล่างทั้งหมดที่ว่ามา แม้ในส่วนงานสร้างโช้ก จะรับหน้าที่โดย Fox แต่การปรับเซ็ทและปรับจูนการทำงานต่างๆของตัวโช้ก จะเป็นหน้าที่ของทีมวิศวกรของ Ford Performance โดยผสมผสานการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในงานด้านวิศวกรรม (Computer-Aided Engineering หรือ CAE) เพื่อประมวลผล และเก็บค่าจากการทดสอบรถในสถานการณ์จริง เพื่อให้การเซ็ทอัพโช้กตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้ในแต่ละสถานการณ์ได้อย่างครอบคลุมที่สุดเท่าที่จะทำได้

ในส่วนงานโครงสร้างเอง ทาง Ford Performance ยังทำการอัพเกรดแชสซีของมันใหม่ เพื่อให้ตัวรถพร้อมรองรับแรงกระแทกจากกันชน ขายึดโช้ค และฐานยึดโช้คหลัง ที่แข็งแรงยิ่งขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ชุดปีกนกบนล่างงานอลูมิเนียมแบบใหม่ ของระบบกันสะเทือนทางด้านหน้า หรือชุดกลไกวัตต์ลิงค์ ของระบบกันสะเทือนทางด้านหลัง

ซึ่งว่าๆง่ายๆก็คือ เจ้า Ranger Raptor ไม่ได้มีแค่เพียงระบบช่วงล่างที่ชาญฉลาดมากขึ้นเท่านั้น แต่มันยังมีความแข็งแกร่งมากขึ้นอีกด้วย

หัวใจ อันทรงพลัง

ไม่เพียงแค่การปรับปรุง โครงสร้างและชุดระบบช่วงล่างใหม่ ที่มีประสิทธิภาพในการขับขี่มากขึ้น ฟอร์ด ยังตัดสินใจ ยกเครื่องยนต์ใหม่ มาตอบสนองในการขับขี่ด้วย

ขุมพลัง เบนซิน V6 พร้อมระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จคู่ ขนาด 3.0 ลิตร ให้กำลังขับสูงสุด 397 PS (392 แรงม้า) ที่ 5,650 รอบต่อนาที กับ แรงบิดสูงสุด 583 นิวตันเมตร ที่ 3,500 รอบต่อนาที (ตามการเคลมของฟอร์ด กำลังดังกล่าว จะได้ เมื่อ คุรใช้ ออกเทน 98)

โดยเครื่องยนต์ตัวนี้ ถูกยกมาจากอเมริกา และเป็นเครื่องยนต์ ที่มีการต่อยอดจากบล็อค Ecoboost 2.7 ลิตร ขนาดลูกสูบ 85 มม.​และ มีช่วงชัก 86 มม. จ่ายน้ำมันด้วยระบบ Direct Injection

ที่แน่ๆ นาย เอียน ฟอสเตอร์ ในฐานะหัวหน้าทีมพัฒนา Next Gen Ford Ranger ทั้งหมด ได้บอกเราในระหว่างการเปิดตัวว่า ทาง Ford Performance มีการปรับเครื่องยนต์ให้เหมาะสม กับความเป็น Ford Ranger Raptor มากขึ้น อาทิ การปรับเทอร์โบชาร์จ สเป็คพิเศษ ต่างจากตัวอื่น

เครื่องยนต์ตัวนี้ใช้เทอร์โบคู่แบบ Twin Turbo (เหมือนกันทั้ง 2 ลูก และทำงานพร้อมๆกัน) เป็นของ Garrette รุ่น M12 AR.37 โดยยังมาพร้อมระบบ Anti-Lag ที่ออกแบบมาพิเศษ โดยจะทำงานเมื่อผู้ขับขี่เปิดใช้โหมด Baja, ระบบจะทำให้เทอร์โบ ยังคงส่งพลังบูสต์ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 วินาที แม้ว่าผู้ขับขี่จะละจากคันเร่งไปแล้ว เพื่อให้เครื่องยนต์ยังคงสามารถส่งพลังได้อย่างเต็มที่ในการเติมคันเร่งครั้งต่อไป

นอกจากนี้ ที่เรามีข้อมูล มีการปรับปรุง ท่อร่วมไอดี และชุดหม้อกรองอากาศ ให้ใหญ่เป็นพิเศษ เพื่อการตอบสนองในการขับขี่ ที่ดีขึ้น

เช่นเคย เครื่องยนต์ตัวนี้ จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดที่เราคุ้นเคย เหมือนเดิม โดยในแรพเตอร์ ยังมาพร้อม โหมด M (Manual) สำหรับตอบสนองการปรับเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเอง ซึ่งผู้ขับขี่สามารถใช้โหมดนี้ ร่วมกับ Paddle Shift หลังพวงมาลัย เพื่อความสนุกสนานในการขับขี่มากยิ่งขึ้น

ความหลากหลาย ในการขับขี่

พูดถึงเครื่องยนต์แล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้ ย่อมเป็นเรื่องโหมดการขับขี่ต่างๆ ซึ่งจะมีผลถึงการทำงานของทั้ง อัตราการตอบสนองของเครื่องยนต์ต่อคันเร่ง, ความไวของพวงมาลัย, ความนุ่มนวลในการยืดยุบของโช้กอัพ, ความไวในการทำงานของระบบควบคุมการทรงตัว และระบบป้องกันการลื่นไถล

โดยในส่วนนี้ทางฟอร์ด ได้ตระเตรียมโหมดการขับขี่สำเร็จรูปมาให้มากถึง 7 รูปแบบ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ดังนี้

โหมดการทำงาน สำหรับการขับขี่บนทางเรียบ

  • ปกติ : โหมด สำหรับขับในชีวิตประจำวัน เน้นที่ประสิทธิภาพการใช้น้ำมัน และ นุ่มนวลสบายในการเดินทาง
  • สปอร์ต : โหมด สำหรับ ซิ่งบนถนน ระบบจะปรับเป็น 4A (ขับสี่อัตโนมัติ) และ ปรับการตอบสนองช่วงล่าง และพวงมาลัย สู่ตัวเลือกสปอร์ตทั้งหมด พร้อมรับคู่แข่งบนถนน
  • ถนนลื่น : โหมดนี้ จะคล้ายกับ ใน Ford Ranger รุ่นปกติ คือระบบจะเน้นการปรับการตอบสนองคันเร่งให้ช้าลงนิดหน่อย ลดความกระโชกโฮกฮากลง แล้วปรับเป็นระบบขับเคลื่อน 4H ให้ในทันที (ผู้ขับขี่สามารถ เลือกเป็น 2 H) ได้

โหมดการทำงาน สำหรับการขับขี่บนทางฝุ่น

  • บาฮา : โหมด สำหรับการขับขี่บนเส้นทางขุรขระ ต้องใช้ความเร็วสูง โหมดนี้การตอบสนองคันเร่ง จะเป็นสปอร์ต เช่นเดียวกับ ช่วงล่างในแบบออฟโรด และ ยังเปิดฟังชั่น Anti Lag เพื่อให้เครื่องยนต์ตอบสนองต่อเนื่อง เสียงท่อเป็น แบบ ออฟโรด
  • ทราย : โหมดนี้ ตัวรถจะมีการปรับคันเร่ง และปรับโปรแกรมเกียร์ให้ ลากรอบมากกว่าปกติ เพื่อให้การตอบสนองที่ดี เวลาอยู่ในพื้นผิว ที่ต้องการแรงขับสูง จากที่ขับ จะปรับคันเร่งเร็ว เพื่อ ช่วยให้รถถีบตัวจากทรายได้ง่าย เสริ์ฟ มาพร้อม ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ 4 H
  • โคลน/ ร่อง : โหมดของการลุย โคลน จะคล้ายๆกับใน Wild Trak ในงวดนี้ ยอมรับว่ายังไม่ได้ลอง
  • โหมด ไต่หิน : โหมด สำหรับ การขึ้นทางที่มีหินขุรขระ โหมดนี้ จะทำงานร่วมกับ 4L และล็อค Differential ทั้ง หน้าและหลัง เพื่อ ประสิทธิภาพในการลุยสูงสุด

นอกจากทั้ง 7 โหมด ที่กล่าวมา ลูกค้ายังสามารถเลือกโหมดการขับขี่ที่ชื่นชอบได้ ผ่านฟังชั่น My Mode โดยผู้ขับจะสามารถเซทค่าต่างๆ ที่ชื่นชอบแล้วบันทึกเอาไว้ได้

ลูกค้าสามารถ ปรับฟังชั่น My Mode เพื่อบันทึกรูปแบบ การขับขี่ที่ต้องการ และ สามารถเรียกใช้งาน ได้อย่างทันท่วงที

เมื่อจะใช้งาน เพียงกดปุ่ม R บนพวงมาลัย 2 ที รถก็จะปรับเข้าสู่โหมดลับที่ตั้งเอาไว้ และพร้อมซิ่งตามคุณต้องการทันที เป็นหนึ่งในฟังชั่นที่ดีไม่น้อย ใน Ford Ranger Raptor ใหม่

ท่อแปรผัน ของเล่นใหม่ที่คุณเลือกได้

นอกจากที่กล่าวไปในเรื่องโหมดการขับขี่ แล้ว ต้องบอกว่า Ford Ranger Raptor 2022 ยังได้ ระบบท่อไอเสียแปรผัน ทำงานผ่านระบบวาลืวไฟฟ้า มี 4 ความดัง คือ เงียบ ,ปกติ, สปอร์ต และ บาฮา

โดยแต่ละโหมด จะมีความดังไม่เท่ากัน เช่น ถ้าคุณ จะสตาร์ท หนีคุณภริยาไปเที่ยว หรือไม่อยากให้เพื่อนบ้านหาอะไรมาเขวี้ยงคุณ ในยามเช้า ว่าไม่รู้จักกาละเทศะคนจะนอน ก็แนะนำให้ใช้โหมดเงียบแทน (เพราะขนาดโหมดปกติ ทีมงานยังรู้สึกว่ามันดังไปนิดอยู่ดี)

ตัวรถไม่ดุเท่าเดิม

สาธยาย เรื่องวิศวกรรมมายาวยืด มาดูที่ตัวรถในภาพรวมกันบ้าง การออกแบบ Ford Ranger Raptor ใหม่ มีการเปลี่ยนแปลงในหลายจุด ให้ดีเอ็นเอความแกร่งดุดัน พร้อมลุยมากขึ้น

ส่วนที่แตกต่างจาก Next Gen Ranger รุ่นอื่นๆอย่างชัดเจน เริ่มต้นด้วยกระจังหน้า F-O-R-D ที่ทำให้รถคันนี้ แปลกจากรุ่นอื่น ลายกระจังเด่นเป็นเอกลักษณ์ แต่เชื่อว่าไม่นาน ก็จะกลายเป็นของแต่งเสริมสำหรับรุ่นทั่วไปเหมือนเคย…

ภาพสเก็ตแรก เรนเจอร์ แรพเตอร์ 2022

กระจังหน้า ถูกวางรับเข้ากับไฟหน้า Matrix LED คล้ายในรุ่น Wild trak นำเสนอ ชุดไฟนี้ พิเศษตรงที่มันจะไม่แยงตาเพื่อนร่วมทาง เวลาขับสวนทางกัน เพราะมีระบบปรับความสูง-ต่ำ ของแนวไฟอัตโนมัติมาให้ หมดปัญหาเจอ เพื่อนร่วมทางกร่นด่า รถก็สูงไฟก็สว่างแน่นอน

เช่นเคย กันชนหน้าออกแบบมาเป็นพลาสติกสีดำ ป้องกันร่องรอย จากการลุย และ ถูกทำให้สูงกว่า กันชนรถปกติสักหน่อย อารมณ์คล้ายคนใส่กางเกง 3 ส่วน พร้อมตะลุยไปทุกที่

การเปลี่ยนแปลง สำคัญ​อีกอย่างในหนนี้ เป็นการยกเลิกใช้วัสดุคอมโพซิท สำหรับแก้มหน้า ที่เคยนำมาใช้ในรุ่นเดิม

เรามีโอกาส ถาม ทีมวิศวกรว่า ทำไมถึงเลิกใช้ ได้รับคำตอบว่า สุดท้าย เหล็กยังไงก็ทนทานกว่า อีกเหตุผลสำคัญ คือ ว่า วัสดุคอมโพสิท ในรุ่นเดิม เกิดขึ้นเนื่องจากตัวแรพเตอร์ถูกพัฒนาหลังจากรถออกมาแล้ว จึงต้องสร้างชิ้นส่วนที่จำเป็นขึ้นมาใหม่ด้วยวัสดุคอมโพสิทซึ่งออกแบบได้ง่ายกว่า นั่นเอง

โดยช่วงแก้มซ้าย-ขวา ตัวครีบข้าง ได้ถูกออกแบบให้มีความแตกต่างจาก กระบะในตระกูล Next Gen Ranger ดูมีความน่าสนใจ และความกว้างกว่ารุ่นปกตินิดหน่อย ซึ่งจริงๆ ในความรู้สึกส่วนตัว โป่งนี้ก็คล้ายกับ Ranger Wildtrak นิดๆ เพียงแต่เพิ่มเสริมขอบข้าง Over Fender เข้ามา ตอบโจทย์ ให้คลุมล้อไม่ยื่นถูกต้องตามหลักกฏหมาย ก็เท่านั้นเอง

นอกจากแก้มแล้ว ฝากระโปรง ในรุ่นใหม่ ก็ยังเปลี่ยนไปจากรุ่นเดิม เพราะงวดนี้ ฝากระโปรงมีความสูงขึ้น และมี ช่องระบายความร้อนมาให้ใช้งาน เพื่อเอาอากาศ จากห้องเครื่องให้ไหลมาผ่านกระจกบังลมหน้าขึ้นไป

ด้านข้าง เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ยังใช้ล้อลายเดิม มาพร้อมยาง BF Goodrich เฉพาะรุ่น Ko2 สเป็คพิเศษ ผ้าใบ 6 ชั้น ขนาด 285/70-R17 เช่นเดียวกันบันไดข้างที่ยังคงใหญ่หนา และทนทาน หากในการใช้งานจริง คนขายาวอาจจะพบว่า บันไดนี้ค่อนข้างเกะกะ เวลาก้าวขึ้นลงรถ ทั้งที่เราสามารถ ยื่นเท้าลงไปที่พื้นได้เลย

ทางด้านหลัง เทียบกับรุ่นปกติ กระบะ Ranger Raptor ถูกทำให้ ดูโหดกว่า ส่วนที่แตกต่างจริงๆ อยู่ที่การนำ บันไดข้าง ด้านหลังออกไป แล้วแทนที่ด้วยท่อไอเสียคู่

ดังนั้น ในจุดนี้ จึงดูเหมือนคุณต้องเลือก ระหว่างความสะดวกสบายในการใช้งาน กับท่อไอเสียคู่ดูสปอร์ตดุดัน

ซึ่งหัวหน้า วิศวกร ก็ได้อธิบายในจุดนี้กับเราว่า เขาเชื่อว่า ยังไงลูกค้าแรพเตอร์ ก็น่าจะชอบ ท่อคู่ ดูโหดมากกว่า ซึ่งไม่มีในรุ่นอื่นของเรนเจอร์

ในส่วน กันชนท้าย ก็ออกแบบให้แตกต่าง และที่จริงใน ออสเตรเลีย รถรุ่นนี้จะได้คานต่อสำหรับรถลากพ่วง พร้อมช่องปลั้กไฟ และระบบเบรกมาด้วย แต่บ้านเรา ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นอุปกรณ์เสริมหรือไม่

ที่น่าน้อยใจนัก คงเป็นสีตัวเลือกในบ้านเรา ที่มีเพียง 4 สี คือ ขาว, ดำ, เทา Conquer Grey และ สีพิเศษ Code Orage

สำหรับ สี Code orange เป็นสีที่ทาง Ford Performance เลือกมาเป็นสี Hero Color ใหม่ ของแบรนด์ ซึ่งสีจะมีความส้ม เมื่ออยู่ในแสงสปอร์ตไลท์ แต่จากที่เราเคยเห็น ในเวลาออกแดด สีนี้จะติดไปในทางแดงมากกว่า

น่าเสียดาย บ้านเราขาดสีน่าสนใจ Lightning Blue ที่เคยมีในรุ่นก่อนหน้านี้ ซึ่งมีขายในตัวออสเตรเลียด้วยเช่นกัน

ห้องโดยสาร แรงบันดาลใจจากเครื่องบินเจท

ภายในห้องโดยสาร เมื่อก้าวเข้ามาจะพบว่า งานออกแบบในภาพรวม จะคล้ายกับ Ford Ranger เสียเป็นส่วนใหญ่ ต่างจากรุ่นเดิม ที่มีความฉีกมากกว่า

ด้านหน้า ต้อนรับ ด้วยชุดจอขนาด 12 นิ้ว ตรงหน้าคนขับ และจอกลาง มีขนาด 12.4 นิ้ว วางแนวตั้ง ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้ คือสิ่งที่เราคุ้นหน้าตากันใน Next Gen Ranger รุ่น Wildtrak เป็นอย่างดี

ส่วนที่แตกต่าง จริงๆ ในรถคันนี้ มีไม่กี่อย่างเท่านั้น สิ่งแรกที่คุณจะรู้สึกได้ทันที คงเป็นความสปอร์ตของห้องโดยสาร อบอวน ด้วยสีส้ม เป็นโทนเดียวกับ Code Orange ตบแต่ง ที่ ช่องแอร์, การเดินด้าย และ ที่เบาะนั่ง ช่วยปลุกเร้าอารมณ์ เมื่อเข้ามาห้องโดยสาร รวมถึงยังเพิ่มในการเดินด้าย ที่จุดต่างๆด้วย

ตรงหน้าคนขับ พวงมาลัย มีความแตกต่าง จาก Ranger นิดหน่อย ส่วนสำคัญ อยู่ที่การขลิป Center Mark กันหลงพวงมาลัย เวลาขับบังคับทิศทาง

ส่วนคอนโซลกลาง ปรับปรุง จาก เรนเจอร์ โดยแนะนำระบบ E- Shifter หรือคันเกียร์ไฟฟ้า คล้ายใน Ford Everest Titanium มีลูกหมุนปรับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ติดตั้งมาพร้อมระบบ เบรกมือไฟฟ้า, ปุ่มปิด idling Stop, ปุ่มระบบช่วยจอดรถ, Off Road monitor และ ที่แตกต่าง แม้กระทั่งใน Ford Everest เอง ก็ไม่มี นั่นคือ โหมด 4A สำหรับการขับเคลื่อนสี่ล้ออัตโนมัติ (ไว้จะมาอธิบายในการทดลองขับ)

นอกจากนี้ เบาะนั่ง ใน Ford Ranger Raptor ทั้งหมด นำเสนอ เบาะนั่ง Performance Seat ทั้งตอนหน้าและหลัง ตัวเบาะ มีปีกค่อนข้างใหญ่ประมาณหนึ่ง มีความกว้างนั่งสบาย คนตัวใหญ่ไซส์หมีอย่างผมไม่เป็นปัญหา ในการโดยสารทางไกล

เบาะนั่งคู่หน้า ที่ออกแบบโดยได้แรงบันดาลใจจากเบาะเครื่องบินรบ ทั้งคนขับและคนนั่ง มาพร้องฟังก์ชันการปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง บนตัวเบาะ มีการตบแต่งด้วยสีส้ม และ ยังมีบางจุดใช้หนัง Alcantara ช่วยในการในการยึดเราไว้กับเบาะ ดูแล้วค่อนข้างลงตัวดีไม่น้อย แต่ผมแอบแปลกใจนิดหน่อย ตรงการใส่วัสดุพลาสติก มาที่ช่องเสียบหัวหมอน แม้ว่า จะไม่มีผลต่อการนั่งโดยสาร หากเมื่อมองแล้วรู้สึกแปลกๆ

ความสบายในการโดยสารไม่หมดเพียงเท่านี้ ระบบปรับอากาศ สามารถแยกอิสระซ้าย-ขวา ช่วยเพิ่มความสบายในการขับขี่มากขึ้น

ทางด้านการโดยสารตอนหลัง ทางฟอร์ด นำเสนอการตัดเย็บเบาะหลัง ให้มีช่วงที่นั่งเป็นหลุม เพื่อความมั่นใจในการโดยสาร ช่วงปีก อาจไม่สูงมาก เนื่องจากตัวเบาะต้องเน้นความสบายเพิ่มเข้ามา

ที่เท้าแขนตรงกลาง ถูกล็อค ไว้อย่างแน่นหนา ต่อให้ขับกระเทือนก็ไม่หลุดร่วงลงมาง่ายๆ แต่การดึงออกมาต้องใช้วิธีนิดหน่อย นั่นคือ ดึงสายสลักขึ้นด้านบนจนกว่าตัวล็อคจะหลุด แล้วค่อยโยกออกมา

และผู้โดยสารตอนหลัง ยังได้ความสบายจากช่องแอร์ ที่เก็บเอกสาร และ ช่องชาร์จ ทั้ง USB และ ปลั้กบ้าน 230 โวล์ต

ตัวเบาะนั่งแถว 2 ยังมีลูกเล่น ที่เก็บของใต้เบาะที่นั่ง และยังสามารถจัดแจงเป็นที่วางของทรงสูงได้ในยามจำเป็น หรือ คุณจะเลือก พับเบาะนั่งลงมา เพื่อใช้วางที่ไม่อยากให้ตากแดด ตากฝนก็ได้

ส่วนเรื่องพื้นที่โดยสาร มีเหลือพอประมาณด้วยหลังเบาะหน้า ทำช่วงเว้าเข้าไป ช่วยให้แม้คนตัวใหญ่วางขา ก็สบาย ส่วน ถ้าจะถามว่า นั่งไกลๆสบายไหม ขอเก็บเป็นงวดหน้า ไว้จะมาเล่าให้ฟัง

ด้านความบันเทิงในห้องโดยสาร เป็นหน้าที่ของชุดลำโพง จาก Bang & Oulfen ทั้ง 10 ตำแหน่ง รอบห้องโดยสาร รวมถึงมี Sub Woofer อยู่ตำแหน่งตรงกลางหลังเบาะผู้โดยสารตอนหลัง ความกระหึ่มในห้องโดยสาร มีมากพอต่อการฟังเพลง แนวร๊อค ,​ฮิปฮอป ตามสไตล์ คนขับรถ ฮาร์ดคอร์ แนวนี้ น่าจะชอบ

ในภาพรวม ห้องโดยสารจึงเรียกว่า ครบลงตัว เพียงพอต่อการใช้งาน จนคุณไม่อยากแต่งแต้มอะไรเพิ่มเติม

การทดลองขับ

นี่เป็นครั้งแรกที่เรามีโอกาสลองขับ Ford Ranger Raptor 2022 หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานมอเตอร์โชว์ จนยอดจองล้นหลาม เรียกว่า จองวันนี้ รับรถปีหน้า

การสตาร์ทเครื่องครั้งแรก หึ่ม… ดังลั่น บ่งบอกความแตกต่าง เร้าใจเวลาขับขี่อย่างแน่นอน

ต้องเรียนตามตรงว่า สำหรับผม นี่คือครั้งแรก สำหรับการขับรถกระบะ เครื่องยนต์เบนซิน V6 และแน่นอนว่า มันจะต้องแตกต่างจากเครื่องยนต์ดีเซล อย่างสิ้นเชิง

การขับในเมือง

แม้ว่าเอาตามจริง คนซื้อ Ford Ranger Raptor ที่บ้าน น่าจะมีรถหลายคันและคงไม่มีใครบ้า จะเอากระบะคันใหญ่ เครื่องใหญ่มหึมา ขับเข้าเมืองไปทำงานทุกวันหรอก

แต่ถ้าวันนั้นมาถึงในยามจำเป็น เจ้ากระบะยักษ์คันนี้ ก็ยังสามารถขับเข้าเมืองได้ อาจจะขัดใจหน่อย ที่คุณไม่สามารถบ้าพลังแรงม้า ท่ามกลางการจราจรติดขัดได้

ฟอร์ด แก้เกม เรื่องเครื่องใหญ่ใช้ในเมืองด้วย ระบบ Idling Stop สามารถหยุดการทำงานของเครื่องยนต์ระหว่างจอดติดไฟแดงยาวๆได้ แต่ระบบนี้ก็ใช่ว่าทำงานตลอด เพราะมันมีเงื่อนไขการทำงาน โดยเฉพาะอุณหภูมิภายนอก จากที่ผมลองขับในยามกลางวันปกติ ที่มีอุณหภูมิภายนอกมากกว่า 32 องศาเซเซียส ระบบนี้จะไม่ทำงานโดยสิ้นเชิง

ทำให้ เวลาคุณขับท่ามกลางการจราจรยามกลางวัน จะพบว่า ต้องเดินเบาเครื่องตลอดเวลา ไม่ว่ารถจะติดยาวนานแค่ไหน

ในแง่ ทัศนวิสัยในการขับขี่ ด้วยความเป็นรถสูง ประเด็นที่จะพบได้ทันที เวลาขับในเมือง คือมุมอับสายตา ช่วงแก้มหน้า

ดังนั้น จงอย่าแปลกใจ ถ้าขับแรพเตอร์เข้าเมือง แล้วคุณจะถูกมอเตอร์ไซค์มองหน้าบ่อยๆ ด้วยขนาดตัวรถ พอดีเลน ทำให้ มอเตอร์ไซค์แทรกยาก

ที่น่ากังวลไปกว่านั้น คือ ช่วงการแทรกรถ เปลี่ยนเลน ต้องระวังรถมอเตอร์ไซค์ ที่อาจจะไม่ยอมเรา มากเป็นพิศษ

กล่าวก็คือ ในขณะที่เราอาจไม่ต้องกังวลเรื่องของการชิงเลน หรือปิดช่องจราจรกับรถยนต์ด้วยกัน เท่ากับการใช้รถเก๋งคันเล็กๆเหมือนเมื่อก่อน แต่ตอนนี้เรากลับต้องมาพะวงเหล่าผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์ ที่อาจติดนิสัยชอบมุดมากเกินไป จนไม่ทันระวังขนาดตัวรถของเราที่ใหญ่บ่ะเริ่มจนคับเลนแทน

อย่างไรก็ดี, ความดีความชอบ ในการขับเจ้านี่เข้าเมืองยังมีอยู่บ้าง ในยามที่คุณต้อง ฮ้อรถผ่านไฟเขียว ที่กำลังจะแดง คุณสามารถขับมันผ่านไปได้อย่างสบาย ด้วยเครื่องยนต์ที่เร่งเร็ว ตอบสนองทันใจ และเสียงที่ดังเวลาเร่ง และมาก่อนตัว คงไม่มีใคร ริอยากจะลองฝ่าไฟแดง ในเวลานั้นแน่นอน (แต่ทั้งนี้ ก็ไม่แนะนำให้ทำกันบ่อยนักอยู่ดี เพราะมันมีความเสี่ยงที่ตามมาด้วย)

ไม่เพียงแค่นั้น ฝาท่อ , ถนนหลุมบ่อ คอสะพาน หรือ น้ำท่วม จะไม่ใช่เรื่อง ที่น่ากังวลใจอีกต่อไป เพราะต่อให้การทำงานของโช้กในโหมดปกติ มันก็ยังให้ความสบายในการผ่านอุปสรรคเหล่านี้ได้ดีพอตัวแล้ว โดยที่การตอบสนองของรถ จะค่อนข้าง เก็บอาการกระแทกได้ค่อนข้างเร็ว อาการสะเทือนมาถึงห้องโดยสารไม่มากนัก จนเป็นรถที่นั่งสบายคันหนึ่ง ..

ในที่สุด ก็ถึงเวลามาวัด อัตราประหยัดน้ำมัน ถ้าคุณจำเป็นต้องเอารถ V6 เบนซิน เทอร์โบชาร์จ ขับเข้าเมือง มันน่าจะซดสักเท่าไร ?

และจากระยะทางที่เราขับในเมือง ผลก็คือ เราได้ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ 5.26 กม./ลิตร
ครับ …. ไม่ใช่ 5.26 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร นะ อ่านดีๆ “5.26 กม./ลิตร”

ซึ่งก็ถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างซดเอาเรื่อง แต่คุณต้องไม่ลืมว่าเรากำลังพูดถึงเครื่องยนต์เฉียด 400 แรงม้า ในรถกระบะคันโต ที่มีน้ำหนักตัวเปล่าถึง 2,310 กก. ดังนั้น มันจึงถือว่าเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้

สวรรค์นอกเมือง … กระบะ ดูดวิญญาณ

วันต่อมา ก็ถึงเวลาจะต้องเอา Ford Ranger Raptor เดินทางดูบ้าง

แน่นอน ด้วยเครื่อง V6 3.0 เทอร์โบคู่ กำลังเกือบ 400 แรงม้า การขับนอกเมือง เรียกว่าสบายหายห่วง กำลังวังชา การเร่งแซง รถช้าแช่ขวา หรือรถบรรทุก สามารถทำได้อย่างง่ายดาย

ความกังวลใจ เรื่องขนาดตัวรถ ก็ไม่เป็นปัญหา ถ้าคุณขับทางไกลไปเรื่อยๆ ตามเลน แต่หากคุณเป็นสายมุดตัวยง เราอยากให้ระวังสักนิด เพราะรถคันนี้ค่อนข้างใหญ่ จะแทรก ก็ต้องระวังคันหลังบ้าง เพราะมันจะกลายเป็นเหมือนเราไปปาดเขาไม่ได้ตั้งใจ โดยปริยาย

แต่ส่วนที่อยากพูดจริงๆ กับการขับขี่ยามเดินทาง คือ เจ้ายักษ์ รถถังบินได้คันใหญ่นี้ เป็นที่สุดของกระบะยามเดินทาง

ด้วยช่วงล่าง Fox 2.5 Live Valve พร้อมระบบ Internal Bypass Valve ที่จะคอยเซทตัวเองไปตามสภาพการใช้งานจริง ณ เวลานั้น ตลอดเวลา ทำให้รถ มีการตอบตอบสนองความแข็ง-อ่อนในการยืดยุบได้อย่างลงตัว นั่งสบายที่สุดในกระบะด้วยกัน แม้ระหว่างทางอาจจะเจอกับถนนปะ หลุมบ่อมากมายก็ตาม

มันนั่งสบาย จนบ่อยครั้ง คุณจะพบว่า ผู้โดยสารที่นั่งข้างๆ จะหนีไปเฝ้าพระอินทร์ ปล่อยให้คุณขับรถอยู่คนเดียวบ่อยครั้งก็ตาม

ความดีความชอบของช่วงล่าง ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ไม่เว้นในกรณีที่ต้องขับด้วยความเร็ว การมุดไปมา จะพบว่า อาการโคลงตัวของรถ โยนซ้ายขวา ก็ไม่ได้มากมายนัก เรียกได้ว่าน้อยกว่ากระบะซึ่งทั้งใหญ่และหนักขนาดนี้มักจะเป็นกันไปมากเลยทีเดียว

กล่าวคือในขณะที่เราสนุกสนาน กับการแทรกรถไปมา ฝั่งคนนั่ง ก็ยังงีบหลับสบาย ซึ่งทั้งหมดล้วนมาจากความสามารถของ ชุดโช๊คอัพ Fox ที่สามารถปรับตัวได้ทันท่วงที กลายเป็นรถที่ไม่มีจุดติ อะไร ในเรื่องระบบกันสะเทือน

อย่างไรก็ดี ,​เมื่อมา ดูในเรื่องความประหยัดน้ำมัน ก็ต้องบอกตามตรงว่า เจ้ายักษ์คันนี้ ยังคงกินดุ ที่ 7.4 กม./ลิตร จากการทดสอบ ด้วยน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 (อย่าลืมย้ำเด็กปั๊มด้วยว่ารถเราเติม 95 ! พวกยัดน้ำมันดีเซลเข้ามา จะบันเทิง) แล้วขับด้วยความเร็วเฉลี่ยราวๆ 100-120 กม./ช.ม.

ประเด็นสำคัญ​อยู่ที่ ความจริง ว่าบ้านเรา ไม่ได้มีสภาพการจราจร แบบวิ่งยิงความเร็วใช้ยาวๆ หรือ Interstate , การจราจร ต่างจังหวัดในไทย ยามขับขี่ออกต่างจังหวัด จะมีจุดที่การจราจร กระจุกตัวเป็นระยะๆ ซึ่ง มีผลกับอัตราประหยัด เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ ค่อนข้างมาก

และไหน จะคนไทย นิสัยขับรถช้าแช่ขวาเยอะมาก ทำให้ต้องเบี่ยงเลน แล้วเร่งแซงบ่อยครั้ง

ในงวดหน้าเราอาจจะลองหา เส้นทางที่สามารถวิ่งได้ยาวๆ แล้วมาดู เรื่องอัตราประหยัดยามขับนอกเมือง ว่าจะดีกว่านี้ได้หรือไม่

ได้เวลาเล่นแรง

และแล้ว ก็มาถึง ช่วงหรรษา กับ Ford Ranger Raptor ช่วงที่เราจะได้ใช้ความสนุกที่สุด ของมันให้ออกมาประจักษ์

สำหรับ คนที่ไม่รู้จัก แรพเตอร์มาก่อน รถกระบะแบบนี้ ทำออกมาเพื่อมอบความสนุกสนานในการขับขี่บนเส้นทางออฟโรดความเร็วสูงได้อย่างมั่นใจเป็นหลัก ในแบบที่รถคันอื่นก็ทำไม่ได้

และอย่างที่เราได้ระบุไว้ในข้างต้นครั้งหนึ่งแล้วว่า เจ้า Ranger Raptor 2023 คันนี้ มีจุดได้เปรียบสำคัญคือ โหมดการขับขี่ที่ ออกแบบมาเฉพาะเพื่อสถานการณ์ในการใช้งานแต่ละรูปแบบให้ลูกค้าเลือกใช้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโหมดสำหรับการใช้งานบนทางฝุ่น ที่มีให้ปรับถึง 4 รูปแบบ

โหมดบาฮา พร้อมลุยดุในตำนาน เป็นหนึ่งในลูกเล่นที่สำคัญ ของ Ford Ranger Raptor

ซึ่งในแต่ละโหมด จะมีการเสิร์ฟความสามารถมาเป็นแพ็คเกจ ซึ่งในแต่ละแพ็คเกจ ก็จะมีลักษระการปรับค่าช่วงล่าง, การตอบสนองของพวงมาลัย, และการตอบสนองของคันเร่ง รวมถึงระบบช่วยเหลือผู้ขับ ดังนี้

  • บาฮา : โหมด สำหรับ ขับทางลุยด้วยความเร็ว พวงมาลัย ปรับ เป็น Comfort ,ช่วงล่างออฟโรด ,เสียงท่อ สปอร์ต ,ปิด traction Control , ใส่โหมด 4H มาให้ และ สามารถเลือกปรับ เป็นโหมด 2H ได้ ตามความต้องการ
  • ทราย : เซทติ้งทั้งหมด เหมือนกับ บาฮา แตกต่างตรง การตอบสนองขาคันเร่ง จะเร็วกว่ามาก และ ล็อค ดิฟล็อคหลัง เพื่อช่วยในการถีบตัว พร้อมตะกรุยในเส้นทางแบบนี้
  • โคลน/ร่อง : ระบบจะเซทติ้ง ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ 4H + พร้อมดิฟล็อคหลัง, ปิด แทรคชั่นคอนโทรล, การตอบสนองคันเร่งจะช้ากว่าโหมดทราย เพื่อไม่ให้เกิดการขุด ระหว่างออกตัว และ การลากเกียร์ จะไม่ยาวมากนัก

โหมด เดียวที่เรายังไม่ได้ลองในครั้งนี้ คือ โหมดไต่หิน แต่เท่าที่ลองดู โหมดนี้จะมีการล็อคดิฟหน้า-หลัง รวมถึง เข้าโหมด 4L ให้โดย อัตโนมัติ รวมถึงปิดระบบควบคุมการทรงตัว ช่วงล่าง, พวงมาลัย , ท่อ เป็นโหมด ออฟโรดทั้งหมด

ในวันนี้ เราลองเล่นในโหมด บาฮา เชื่อว่าเป็นโหมดที่หลายคนสนใจ ซึ่งในโหมดนี้ เราแนะนำว่า สถานที่ลองควรเป็นเส้นทางออฟโรด ที่มีความแห้ง และพื้นแน่น เช่นทางลูกรัก หญ้า และสถานที่รกร้าง และสำคัญสุด ควรมีเพื่อน และพร้อมสำหรับเหตุ ไม่คาดฝันเสมอ (เตือนแล้วนะ !)

เมื่อปรับโหมด การตอบสนองของรถ จะเปลี่ยนไปจนสัมผัสได้อย่างชัดเจน เมื่อผมกดคันเร่งลงไป ลองขับครั้งแรกด้วยระบบขับเคลื่อน 4H รถจะตะกรุยพื้น แล้วออกตัวอย่างดุดัน แวบเดียวเราทะยาน สู่ความเร็ว 60 กม./ชม. ถ้าเทียบกับกระบะธรรมดาทั่วไป ต้องยอมรับว่าไม่มีทางที่คุณจะทำแบบนี้ได้แน่ๆ เว้นแต่จะเป็นรถที่แต่งขึ้นมาเฉพาะ ไม่ใช่รถเดิมๆจากโรงงาน

สถานที่ทดสอบของเรา มีสภาพเป็นพื้นหญ้า บวกกับดินที่ไม่ได้แข็งมากนัก ซึ่งในความจริง สำหรับรถทั่วไป สภาพผิวหญ้าเช่นนี้จะค่อนข้างลื่น ไม่ใช่รถทุกคัน จะสามารถขับด้วยความเร็วได้

ส่วนที่น่าสนใจยิ่งกว่า แม้ทางในเวลานี้เราจะขุรขระ มีการกระแทกอย่างต่อเนื่อง แต่แรงกระแทกไม่ได้รู้สีกสะเทือนในห้องโดยสารมากนัก ตัวคนขับและคนนั่ง ยังค่อนข้างนิ่ง แรงกระแทกจะสัมผัสได้จากใต้เบาะ ในแง่การโดยสารรู้สึกได้ ถึงการเป็นอันหนึ่งอันเดียว

สำหรับผู้ขับขี่ สามารถควบคุมรถได้อย่างมั่นใจ ในโหมด M การตอบสนองจาก Paddle Shift ค่อนข้างมีความรวดเร็วพอสมควร เวลาจะเปลี่ยนเกียร์

ในโหมดนี้ คุณจะยังพบกับ Anti Lag ที่จะค้างการตอบสนองเทอร์โบไว้ถึง 3 วินาที ในระหว่างการขับขี่ แม้เราจะยกคันเร่ง มันช่วยให้คุณสามารถ ประวิงตัดสินใจเลือกไลน์ถนน แล้วกลับไปย่ำคันเร่งในจังหวะที่เหมาะสมได้ นับว่าเป็นฟังชั่นที่ดีมากๆ ที่สายลุยตัวจริง น่าชื่นชอบ

ทางด้านการขับบนถนน , อย่างแรกที่หลาย คนอาจจะชื่นชอบ คงเป็น อัตราเร่ง ของเจ้ารถถังคันนี้

ในกรณี การขับขี่ ด้วยโหมดขับเคลื่อน 2H รถคันนี้ สามารถเร่ง

  • 0-100 กม./ชม. ใน เวลา 7.23 วินาที
  • 80-120 กม/ชม. ในเวลา 4.37 วินาที

นั่น ก็ถือว่าเร็วมากพอตัวแล้ว สำหรับกระบะที่หนัก 2.3 ตัน

ในกรณี ถ้าคุณขับด้วยโหมด 4A ระบบ จะตัดการขับเคลื่อน 4 ล้อเอง ตามสภาพที่เหมาะสม และในโหมดนี้ จากการทดสอบอัตราเร่ง จะได้ตัวเลขที่

  • 0-100 กม./ชม. ใน เวลา 7.08 วินาที
  • 80-120 กม/ชม. ในเวลา 4.34 วินาที

และจากที่ลองขับ อัตราเร่ง 0-160 กม./ชม. สามารถ ทำได้ในเวลา 17.55 วินาที ถือว่าเร็วพอสมควร แทบจะพูดว่าบินได้

สามารถ ดูข้อมูล การทดสอบ Ford Ranger Raptor ได้ที่นี่

ไม่เพียงเท่านี้ รถคันนี้ ยังมาพร้อมฟังชั่น My Gauge ที่ให้ลูกค้าสามารถปรับได้ตามความชอบ

ในการขับบนถนน Ford Ranger Raptor มาพร้อม 3 โหมด การขับขี่ได้ แก่

  • โหมด ปกติ : สำหรับ การใช้งานทั่วไป และเป็นค่าเริ่มต้น ทุกครั้งที่คุณสตาร์ทรถ
  • โหมดสปอร์ต : สำหรับ การขับขี่เน้นสมรรถนะ มีการปรับ การตอบสนองคันเร่ งและ การขึ้นตำแหน่งเกียร์ จะลากยาวกว่าปกติ นิดหน่อย ช่วงล่าง พวงมาลัย ท่อ เป็น สปอร์ต ทั้งหมด และเข้าโหมด 4 A
  • โหมดถนนลื่น : จะเข้าใช้ระบบขับเคลื่อน 4A แล้ว ปรับการตอบสนองคันเร่งให้ช้าลงกว่าโหมดปกติ ช่วงล่าง และ พวงมาลัยปกติ

เท่าที่ลองขับในโหมดปกติ ถือว่าเหลือเฟือในการขับขี่ เซทติ้ง พวงมาลัย ช่วงล่างทุกอย่าง คือ เป็นปกติ ทั้งหมด แต่ถ้าคิดว่า อยากขับสบาย เราแนะนำว่า ให้ปรับพวงมาลัย มาเป็น Comfort จะช่วยได้มากพอสมควร น้ำหนักในการสาวพวงมาลัยจะลดลงจากปกติ จนผู้หญิงตัวเล็กๆก็สามารถขับแรพเตอร์ได้

โหมดถนนลื่น ช่วยคุณคล้ายกังวล ถ้าต้องขับเจ้ายักษ์พลังแรงกลางฝน

ส่วนโหมดสปอร์ต ตัวรถจะมีการปรับ การตอบสนองคันเร่ง พวงมาลัย ช่วงล่าง และ โหมดการขับเคลื่อนสี่ล้อ ที่มีความลงตัวในการใช้งาน ตอบสนอง ต่อการทำความเร็วมากขึ้น ถ้าคุณจะทำความเร็ว นี่คือโหมดที่เหมาะที่สุด

อย่างไรก็ดี ,​แม้รถคันนี้ จะเร่งแรง วิ่งเร็ว แต่ ความเร็วสูงสุดของมัน กลับถูกจำกัดเอาไว้ที่ 189 กม./ชม. บนหน้าปัด เท่านั้น

แต่อันที่จริง เรามั่นใจมากว่า มันไม่ได้วิ่งเร็วไปกว่า 180 กม./ชม. เนื่องจากปัจจัยสำคัญ คือชุดยางติดรถของมัน ที่มี Speed Rating เพียง 180 กม/ชม. เท่านั้น ดังนั้น จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่รถจะวิ่งมากกว่า เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ยางจะเสียหายและเกิดอันตรายได้

รีวิว  Ford Ranger Raptor 2022

การหาที่เล่น โหมด บาฮา เป็นหนึ่งความสุข ที่เร้าใจ ที่คุณ จะได้เห็น เนื้อแท้ ของรหัส แรพเตอร์

ดังนั้น ในยามขับบนถนนจริง ถ้าคุณเจอ เพื่อนมาเล่นเกมความเร็วสูง คงต้องบอกตามตรงว่า แม้เครื่องยนต์ของมันจะพกม้ามาเกือบ 400 ตัว แต่มันก็อาจจะพ่ายแพ้ได้ ในเกมเล่นดันโลยาว เพราะมันไหลความเร็วปลายได้ไม่มากอย่างที่คิด ด้วยข้อจำกัดเรื่องยางเป็นหลัก และการจำกัดความเร็วของกล่องสมองกลนั่นเอง

คือจริงๆ อยากจะบอกว่า รถกระบะธรรมดาๆเครื่อง 2.8 ลิตร ก็สามารถวิ่งความเร็วมากกว่าเจ้านี่

ดังนั้น ถ้าเจอใครเล่นบนถนน ก็ขอบอกคุณๆ ที่ขับแรพเตอร์ว่า ควรรีบชิ่งแต่เนิ่นๆ อย่าเล่นเกมยาว เพราะความเร็วปลายเราสู้ไม่ได้ แม้ว่าเรา อาจจะเร่งดีกว่า ก็ตามเถอะ ..

แต่สิ่งที่เรามี คือความสามารถในการลุยทางออฟโรดด้วยความเร็วสูงอย่างมั่นใจ ชนิดที่ไม่มีรถเดิมๆโรงงานคันไหนในราคาล้านกว่าๆจะเทียบเทียมได้ และในขณะเดียวกัน มันก็กลายเป็นรถสปอร์ตแบบ All in One ใช้ได้ทุกงาน ทั้งครอบครัว ขับเท่ๆ ในเมือง หรือ ขับซิ่ง ขับลุย ก็สบาย

ราคาล้านแปด ได้รถที่ครบเครื่องขนาดนี้ คงยากจะหาตัวจับ

สรุป Ford Ranger Raptor 2022 ..แกร่ง ดุลุย… รถถังบินได้

หลังจากใช้ชีวิต เป็นเวลา 4 วัน กับ Ford Ranger Raptor รุ่นใหม่ ต้องยอมรับว่า นี่คือกระบะที่หาตัวจับ หากตัวเทียบกันได้ยาก

รถที่มีสมรรถนะในการขับขี่เร้าใจ เร่งแรง ลุยได้ มีความครบเครื่องทุกอย่างในคันเดียว จะว่าไป นี่คือรถสปอร์ต ในกระดองกระบะ ก็ไม่ผิดนัก คุณคงไม่สามารถหาซื้อ รถสมรรถนะขนาดนี้ในราคาประมาณนี้ได้อีกในอนาคต เพราะ เมื่อเอ่ยถึงรถ 400 แรงม้า ราคาอย่างน้อย ก็ต้องมี 2-3 ล้านบาท แล้วแต่แบรนด์

ด้วยรูปลักษณ์ดูถึก พร้อมลุย ใครจะคิดว่า มันจะเร่งได้เร็วคล่องแคล่วว่องไว เวลาอยู่บนถนน ดูน่าเกรงขาม รถคันใหญ่วิ่งเร็ว ถ้ามองกระจกหลัง คุณคงรู้สึกสยองไม่น้อย

นั่นแหละครับ .. คือสิ่งที่แรพเตอร์เป็น ผมเปรียบมัน เป็น “รถถังบินได้”

รีวิว  Ford Ranger Raptor 2022

นอกจากนี้ ความสามารถของรถคันนี้ ยังครอบคลุมในเส้นทางออฟโรด ด้วย …กล้าพูดว่า มันสามารถลุยได้ทั่วทุกสารทิศ และมีดีในยามขับบนเส้นทางสมบุกสมบันด้วยความเร็ว รถคันนี้เกิดมาเป็น Hi-Speed Off Roader มุ่งเน้นขับสนุกๆ บนทางสมบุกสมบัน ด้วยความเร็ว หรือ ที่คนไทย รู้จักว่า “แรลลี่”

กระบะยักษ์คันนี้ ออกแบบมาเพื่อให้คุณสนุก กับเส้นทางในรูปแบบดังกล่าว ซึ่งไม่มีคันไหน สามารถทำได้ เท่ามันอย่างแน่นอน

ประเด็นที่ต้องยอมรับกันตามตรง ในเรื่องการขับ คงเป็นความทรงพลังเครื่องยนต์ที่เหลือกินเหลือใช้ หากการใช้เครื่องยนต์เบนซิน ทำให้คุณต้องเร่งรอบสักหน่อย ไม่เหมือนการขับกระบะดีเซล ที่เหยียบรอบ 2,000 นิดๆ ก็สามารถออกตัวฝ่าอุปสรรคง่าย

ดังนั้น เมื่อเป็นเครื่องเบนซิน ต่อให้มีทั้งความใหญ่ จะใส่เทอร์โบคู่ก็ตาม แต่รอบแรงบิดสูงสุด ของมันก็ยังอยู่ลึก เมื่อเทียบกับเครื่องดีเซล สุดท้ายเราจึงต้องเร่งเลี้ยงรอบกันนิด ปรับพฤติกรรมการขับขี่สักหน่อย เพื่อให้เข้ากับนิสัยของมัน

รีวิว  Ford Ranger Raptor 2022

นอกจากนี้ อีกอย่างที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ คือ มันอาจไม่เหมาะกับ เอาไว้ขับเดินทางไกลๆ ด้วยอัตราสิ้นเปลืองที่ ต้องยอมรับว่าค่อนข้างซดเอาเรื่อง แม้ว่าคุณจะพยายามละเมียดขับอย่างดี ก็อย่าหวังจะเห็นตัวเลข 10 กม./ลิตร บนหน้า ปัด ได้ง่ายๆ

เว้นขับคลานๆ สัก 60-80 กม./ชม. ก็อาจจะมีโผล่มาให้เห็นบ้าง แต่คุณจะทนไหวกันหรือ ? กับการขับเจ้า Ranger Raptor กินลมชมวิว โดยมี 400 แรงม้า ที่พร้อมให้เรียกใช้อยู่ใต้ฝ่าเท้าตลอดเวลาแบบนี้

ด้วยข้อดังกล่าว ส่วนตัวเลยมองว่า ในขณะที่ ฟอร์ด ให้โหมดการขับขี่มากมาย สะพรั่นพรึง ,​พวกเขาอาจลืมไปว่า ลูกค้าต้องการ โหมดประหยัด หรือ อย่างน้อย ก็เป็นโหมดสำหรับการขับขี่ทางไกล เอาไว้เวลาเดินทาง เช่น อาจจะตอนกำลังเครื่องยนต์ลง เพื่อให้มีอัตราประหยัดดีขึ้น อย่างน้อย ก็ควรพ้น 10 กม./ลิตร ขึ้นไปสักนิดก็ยังดี ซึ่งจะเป็นอัตราที่คนส่วนใหญ่พอรับได้

แต่ท้ายสุด ต้องบอกตามตรงว่ารถคันนี้อาจเร็วแรง แต่ไม่ใช่รถสปอร์ต มันเป็นรถทรงพลัง เน้นขับทางฝุ่น การจะเอามันเล่นบนถนน ก็ยังมีข้อจำกัดมากมาย ทั้งขนาดตัวรถ ,ความสามารถในการสยบฝูงม้า (การเบรก) รวมถึงประสิทธิภาพของยาง AT ที่ออกแบบมาเน้นลุย

ที่สำคัญคือ อย่าแปลกใจ ถ้าคุณจะพบว่าในขณะที่กำลังเร่งรถเร็วๆด้วยความสนุกสนานอยู่ แล้วจู่ๆก็พบว่า พอถึงช่วงความเร็วสูงๆก็มีรถอีโค่คาร์ พันเทอร์โบ หรือ กระทั่ง กระบะเครื่อง 2.8 ลิตร มาไหลแซงเอาในตอนท้ายได้

นั่นเพราะ นี่คือ รถแรง ที่สามารถลุยได้ ไม่ใช่รถซิ่ง เอาไว้วิ่งฝ่าลม และด้วยความเร็วสูงสุดของมัน ก็เรียกว่า เต็มกลืนที่ยาง จะสามารถรับได้แล้วในตอนนี้

ดังนั้น ถ้าจะซื้อรถกระบะ ดีๆ นั่งสบาย พร้อมลุย ใช่ Ford Ranger Raptor คือ คำตอบ

กลับกัน ถ้าสิ่งที่คุณมองหา คือ สมรรถนะในการขับขี่ระดับ 400 แรงม้า แล้วต้องขับได้ราวกับ รถสปอร์ต ปราดเปรียว วิ่งด้วยความเร็วระดับ 200 กม/ชม ได้สบายๆ ในราคาจับต้องได้ ผมอยากจะบอกว่า แรพเตอร์ไม่ได้ เกิดมาเพื่อแบบนั้น

รถที่คุณต้องการ อาจจะเป็นรถสปอร์ต มากกว่า

สิ่งที่อยากเตือน ..คนซื้อ แรพเตอร์

มาถึงตรงนี้ ผมรู้สึก ว่า ในฐานะ คนทำสื่อ และมากประสบการณในการขับขี่ อยากจะขออนุญาตใช้พื้นที่ตรงนี้ในการเตือน คนซื้อ Ford Ranger Raptor ทุกคน

ข้อ 1

รถคันนี้มีกำลังขับมาก สมควรต้องระวังมาก ในยามเร่งออกตัว โดยเฉพาะเร่งออกตัว ออกจากไฟแดง หากมีใครฝ่าไฟแดง มาจ๊ะเอ๋กับ คุณ รับประกันว่า เจ็บหนักแน่นอน ดีไม่ดี ถึงแก่ชีวิต เอาง่ายๆ

ข้อ 2

ต้องมีระยะเบรกเสมอ , แม้ว่า รถคันนี้ จะพัฒนาระบบเบรก ขึ้นมาเป็นพิเศษเฉพาะรุ่น และ ตอบสนองในการขับขี่ได้ค่อนข้างดีพอสมควร แต่อย่างที่เห็น ระยะเบรกจาก 100-0 ในการทดสอบของเรา รถคันนี้ ก็ยังคงมีระยะมากกว่า รถทั่วไป สักหน่อยอยู่ดี

จากความรู้ความเข้าใจ ทางวิศวกรรมของเรา มันน่าจะมาจาก 2 ปัจจัย ข้อแรก คือ ยาง AT ซึ่งอาจจะสามารถใช้งานได้ดี แต่พอพูดถึงเรื่องเบรก อาจไม่ดีเท่า ยางทางเรียบ , ข้อต่อมา น้ำหนักตัวรถ 2.3 ตัน ถือว่า ค่อนข้าง จะมากพอสมควร ต้องระวังให้ดี กับการเบรกในระยะกระชั้นชิด

ดังนั้น สมควร จะขับเว้นห่างจากคันหน้าสักหน่อย เพื่อความปลอดภัย

ข้อ 3 อย่าแช่ความเร็วสูงสุด

หลายคน อาจเห็นว่า รถคันนี้ เร่งแรง ออกแบบมาทำความเร็ว จึงอาจจะขับรถด้วยความเร็วพอสมควร โดยเฉพาะในยาม มีเพื่อนมาทักทาย ขอเล่นด้วยบนถนน ในฐานะเป็นผู้ขับแรพเตอร์ มีกำลังเฉียด 400 ม้า ใครจะยอมได้

สิ่งที่เราต้องขอเตือน กันตามตรง คือ ข้อจำกัด ยาง AT ที่มี Speed Rating เพียง ระดับ S หรือ รับความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม. เท่านั้น

โดยแม้ความเร็ว บนหน้าปัด อาจให้ตัวเลขมากกว่านั้น และถ้าหากเราลองคำนวนความเร็วตาม GPS จริงๆ เราก็จะพบว่าความเร็วรถจริงๆ ก็คือ 180 กม/ชม. เช่นกัน ซึ่งหมายความว่าทางวิศวกรได้คำนวนเผื่อความปลอดภัย หรือ Safety Factor เอาไว้แล้วในจุดนี้

แต่นั่นก็ยังหมายความว่า คุณวิ่งบนความเร็วลิมิตสูงสุดของยางตลอดเวลาที่ความเร็วดังกล่าวอยู่ดี ดังนั้น กับถนนประเทศไทย ที่อะไรก็เกิดขึ้นได้ เราจึงอยากแนะนำ ว่าอย่าขับแช่ ที่ความเร็วสูงสุดยาวๆจะดีกว่า

เหมือนที่บอก อย่าเล่นเกมยาว เน้น อ้วนพริ้วหนีไว ดีที่สุด

ข้อ 4 ควรพัฒนา ทักษะ การขับขี่ของตัวเอง

Ford Ranger Raptor รุ่นนี้ ไม่เหมือน รถรุ่นก่อนหน้า เพราะด้วยสมรรถนะความแรงของมัน ที่เหนือกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ถ้าคุณไม่เคยผ่านมือ รถ 300-400 ม้า มาก่อน เราอยากแนะนำว่า นอกจากการเพิ่มความระมัดระวังในเรื่องช่วงตัว และน้ำหนักตัวรถแล้ว ก็อย่าผลีผลามในการเติมคันเร่งเด็ดขาด

และเป็นไปได้ ไปหาโรงเรียนฝึกทักษะ การขับขี่เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มความสามารถในการบังคับรถกระบะสมรรถนะสูงระดับนี้ให้อยู่หมัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีฉุกเฉิน เช่น สมมุติ คุณเกิดพลาดท่า เผลอเรอเดินคันเร่งตอนออกปั้มน้ำมัน ที่พื้นมันขลับ แรงไป จนรถท้ายสะบัด จะได้รู้ว่าต้องแก้ยังไง เป็นต้น

เพราะถ้าไม่เช่นนั้น แทนที่คุณจะสามารถรักษาตัวเอง และรถคันละล้านแปดให้ยังคงอยู่และสนุกกับคุณแบบ เท่ๆ คูลๆ ต่อไปได้ อาจจบลงด้วยอุบัติเหตุไม่คาดฝัน ที่ชาวบ้านชาวช่อง พร้อมจะเบ้ปากใส่คุณแทน ว่าขับรถอะไรไม่รู้มือตัวเอง…

รีวิว  Ford Ranger Raptor 2022

เรื่องนี้ เราอยากจะฝากไปถึงทางฟอร์ด ประเทศไทย ว่าควรมีคอร์ส จัดสอนอบรมให้ลูกค้าด้วยจะดีมากๆ เพราะรถคันนี้ “แรงจริง เร็วจริง” และยิ่ง “อันตรายจริงๆ” สำหรับคนไม่มีทักษะ

จริงอยู่ว่า คนซื้อแรพเตอร์ อาจจะมีทักษะ มีความมั่นใจในตัวเอง อยู่ประมาณหนึ่ง ไม่งั้นคงไม่กล้า ซื้อรถแรงขนาดนี้ แต่ใครจะรู้กันล่ะว่าทักษะที่พวกเขามี มันคือทักษะที่ถูกต้องสำหรับการขับเจ้า “รถถังบินได้” คันนี้จริงๆหรือเปล่า ?

มันน่าจะดีกว่า ถ้าได้รับการอบรมที่ถูกต้อง ไปพร้อมๆกัน เพราะมันจะเปลี่ยนจาก ความกลัว ความกังวลเวลาขับ เป็นความสนุกสนาน และสำคัญที่สุดคือความปลอดภัยต่อผู้ร่วมใช้รถใช้ถนนแทน

ผมมองว่า เรื่องนี้ คล้าย กรณี การใช้รถบิ๊กไบค์ เพราะก่อนจะขี่รถมอเตอร์ไซค์แบบนี้ได้ แทบทุกคนก็ต้องเคยขี่มอเตอร์ไซค์ขนาดนี้มาก่อน แต่การจะขี่รถบิ๊กไบค์ให้เชี่ยวชาญ ให้ชำนาญ และให้ปลอดภัย ไม่ว่าใครก็ต้องผ่านการเข้าคอร์สฝึกอบรมที่ถูกต้องจริงๆ ปัจจุบัน ผูผลิตทุกราย ที่ขายรถประเภทนี่ จะเปิดให้ลูกค้าเข้ารับการอบรมฟรี เพื่อลดอุบัติเหตุ ในการขับขี่

ในภาพรวม Ford Ranger Raptor 2022 ได้ถูกปรับ ปรุงให้มีการตอบสนองดีขึ้น ในแง่ ความเป็นแรพเตอร์ ที่ต้องแรง ดุดัน เร้าใจ ทุกครั้งที่อยู่บนรถ และสามารถลุยได้ ทุกที่ทุกเมื่อ เทียบกับของที่ได้ นี่คือรถที่คุ้มค่า คุ้มราคา

หาก คุณต้องยอมรับให้ได้ กับค่าน้ำมัน แต่ถ้านี่คือรถที่เอาไว้สนุกๆ ในวันว่าง ถือว่าตอบโจทย์ และใครจะคิด มันเป็นกระบะที่นั่งสบาย ขับสนุกที่สุด

จนแม้แต่ผมเอง ก็อยากจะซื้อ ไว้ครอบครอง …

เรื่องและขับทดสอบ โดย ณัฐยศ ชูบรรจง

ขอบคุณ Ford ประเทศไทย ที่เอื้อเฟื้อ รถทดสอบ Ford Ranger Raptor มาให้ทดสอบในโอกาสนี้

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่