ในปี 2019 ก่อน โควิดจะระบาด จนพาลเราไม่ได้เดินทางไปไหนในตลอด 3 ปีทีผ่านมา ทริปการขับรถท่องโลกของ Ford ยังตราตรึงใจ ถึงการโลดแล่นไปในทาง ในประเทศที่มีความหลากหลาย “เวียดนาม” ที่แม้หลายคนจะมองเป็นคู่แข่งคนไทย หากบ้านเมืองเขาก็มีธรรมชาติหลากลหาย ที่น่าสนใจครบเครื่องไม่แพ้กัน

ครั้งที่แล้ว ฟอร์ด พาเราตะลุยแดนทะเลาทราย มุยเน่ เพื่อพิสูจน์สมรรถนะของ Ford Ranger Raptor ครั้น จะพาเราไปยังตะวันออกไกล ก็ขับรถกันครึ่งค่อนโลก ก็เลย มาจบลงที่มุยเน่ เวียดนาม

ตั้งปต่ Next Gen Ford Ranger Raptor เปิดตัวขายมาปีกว่า ทางฟอร์ด ยังไม่ได้พาเราพิสูจน์สมรรถนะของมันอย่างจริงจัง ในครั้งนี้จึงพาเราก้าวไปอีกขั้น จับเรามาลองรถจริงที่เวียดนามอีกครั้ง สู่ภาคเหนือ ใกล้ชายแดนจีน ซาปา , ปลายทางของใครหลายคน ที่อยากจะมาสัมผัสอากาศ เย็นเจี๊ยบจับใจ กันสักครั้ง

มุ่งสู่ซาปา

ในหนนี้ ทางฟอร์ด เลยตัดบท งั้นขึ้นรถทัวร์ นั่งยาวดีกว่า จากสนามบิน นอยไบ ,​เมือง ฮานอย เราต้องนั่งยาวไปอีก 4ชั่วโมง เพื่อขึ้นไปยังเมืองซาปา

ขาไป ด้วยการควมนาคมที่ทันสมัย รัฐบาลเวียดนามสร้างทางหลวง ในอารมณ์คล้ายมอเตอร์เวย์ เชื่อจาก ฮานอยไปยังชายแดนจีน และตัดผ่านทางขึ้นเมืองซาปา

Ford Next Level Experience

ถ้า ดูจาก Google Map ระยะทางก็ไม่ได้ไกลมากเพียง 293 กิโลเมตร ระยะนี้ พอๆ กับ กรุงเทพ ถึง แถม สามร้อยยอด จ. ประจวบคีรีขันธ์ ของบ้านเรา

แต่เมื่อดูเวลา ประกอบกับไกด์ประจำทริปบอก เราต้องนั่งรถ อีก 4-5 ชั่วโมง ด้วยความเข้มงวดทางความเร็วบนท้องถนน แถม นั่งๆไป ถึงช่วงทางเขา เล่นเอาผมงง ทางเรียบวิ่งสี่เลนแซงกันสบาย พอช่วงทางเขาปรับเป็นเลนสวน เสียอย่างนั้น ทำให้รถบัส ต้องวิ่งตามคันหน้าไปเรื่อยๆ ต้องรอจนกว่า จะถึงช่วงถนนสี่เลนอีกที จึงจะแซงได้อย่างสะดวกอีกครั้ง

สาเหตุ เนื่องจากว่า ทางทั้งหมด เป็นทางขึ้นเขาเลนสวน ไปจนถึงปลายทาง ถ้าคุณเคยไป เมื่อฮ่องสอน หรือ ปาย เมืองซาปา มีสภาพเส้นทางคล้ายกัน แถมข้างทาง ยังมีแผงขายของ ,​บ้านคน และ ปศุสัตวร์ เลี้ยวอยู่ริมถนน อย่างไม่มีคำว่า “เป็นระเบียบ” ประกอบคนพื้นที่ส่วนใหญ่ยังใช้มอเตอร์ไซค์ เป็นพาหนะหลัก ทำให้จังหวะแซงยิ่งยากขึ้นไปอีก และแทบเป็นไปไม่ได้ ที่จะใช้ความเร็ว

Ford Ranger StormTrak

ในบรรยากาศนี้ผมรู้สึกว่า ดีแล้ว ที่เราไม่ขับรถมา ไม่ได้กลัว ว่าเส้นทางยาก แต่ผู้คนเวียดนามก็ช่างยากจะเดา ว่าเขาจะขี่รถกันอย่างไร ยิ่งถ้าใครเจอขับ Ford Ranger Raptor น่าจะเอาเรื่องเหมือนกัน ไหนจะเบี่ยงหลบคนเวียดนาม ไหนจะระวังรถสวนมา และท้ายสุด คุณยังต้องขับรถชิดขวา ผิดกับวิสัยบ้านเรา รถขับชิดซ้าย อาจพาลปวดหัวได้

สำหรับใครที่ จะเดินทางมาซาปา ถ้ามาด้วยตัวเอง ทางไกด์บอกว่า ปัจุจับนมีรถบัสแบบที่เรามา เดินทางตรงจากฮานอย มาซาปาเลยก็สะดวกดี

ส่วนใครอยากจะเดินทางแบบชิลๆ ก็มีการเดินทางโดยรถไฟ มาลงที่เมืองเหลาก่าย ก่อน แล้ว ต่อรถโดยสารขึ้นมาซาปา อาจใช้เวลาเดินทาง 9-10 ชั่วโมง แต่ก็ได้วิวข้างทาง มาช่วยเพิ่มความขรรโลใจในการเดินทาง

ซาปา เมืองในม่านหมอก

หลังจากผ่านไป 5 ชั่วโม งผมเดินทาง มาถึง เมืองซาปา แต่ เจ้ากรรมรถบัสที่เรานั่งมา ไม่สามารถเข้าไปส่งที่โรงแรมได้ ต้องจอดเทียบท่ารถ ก่อนต่อรถเล็ก อารมณ์ เหมือนรถกอล์ฟ คันโต วิ่งผ่าเข้าไปในตัวเอง

Ford Ranger Raptor

ตอนแรกก็แปลกใจว่า ทำไม เขาต้องทำแบบนี้พอ เข้าไปในเมืองเริ่มเข้าใจ ถนนในเมืองซาปา ยังเป็นเลนสวน และมีร้านค้า ต่างๆ มากมาย ระหว่างทาง มีทั้งนักท่องเที่ยว และรถโรงแรมที่ให้บริการ จอดขึ้นลง อยู่เนืองๆ เอาแค่รถกระบะ สวนมาคัน ยังหลบกันลำบาก

เมือง ซาปา มาครั้งนี้ครั้งแรก รู้สึกได้อารมณ์ ความเป็นเมืองปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอนในบ้านเรา ผสมกับเขาค้อ จังหวัดเพชบูรณ์ ที่มีเมืองเติบโตเต็มที่

ที่นี่มียอดเขาที่สูงที่สุดในภูมิภาคนี้จนได้ชื่อว่าเป็นหลังคาอินโดจีนตั้งตระหง่าน เป็นสัญลักษณ์ของการมาถึง ซาปา ถ้าไม่มาตรงนี้ เหมือนมาไม่ถึง ไกด์เวียดนามบอกผมอย่างนั้น

จุดเด่นของ ซาปา จากที่นั่งรถผ่านเจ้ามาในตัวเมือง คือการมีความเจริญ อยู่ในหุบเขา อันห่างไกล คุณมีทั้ง โรงแรม ผับ บาร์ และ ที่เที่ยว ที่ไม่ไกล จากตัวเมืองมาก ทั้งหมด ผสมผสาาน มีความเป็นกึ่งยุโรป ตัวเมือ งมีขนาดไม่ใหญ่มาก สามารถจะเดินชิลๆ ไปเที่ยว แล้วกลับที่พักได้ หรือถ้าคุณไม่ใส่สายเดิน ก็นั่งรถกอล์ฟ ของโรงแรม แบบที่ผมนั่งอยู่นี่กลับมาก็ได้สะดวกดี

นอกจากตัวเมือง , ยอดเขา ฟานสีปันแล้ว ก็ยังมี นาขั้นบันได เป็นไฮไลท์ ที่ควรมาชม แต่การจะมาดูนา ขั้นบันได ต้องมาในช่วง พฤษภาคม – สิงหาคม จะเป็น ฤดุที่เขียวขจีถ่ายรูปกำลังสวยงาม

วิธีการทำนา ขั้นบันได ที่นี่ ก็ไม่เหมือนกับ ที่เราเคยเห็นทางม่อนแจ่ม เสียทีเดียว ดรรมวิธี คือ ทำพื้นที่เป้นขั้นอาจจะเหมือนๆกัน แต่ การใช้ระบบน้ำไหลของ นาข้าวเป็นสิ่งที่อเมซิ่ง สำหรับคนที่พอจะมีความรู้เรื่องการเกษตรบ้าง

ในแต่ละชั้น จะมีเขื่อนดัดน้ำของตัวเองเป็นการเอาดิน ที่มีลักษรคล้ายดินเหนียวมาก่อนเป็นทำนบรอบๆ คุณจะบว่า นาขั้นบันได มีไปทั่วในทุกที่ ซึ่งคุณไป แม้แต่จุดเล็กน้อย ที่เรียกว่า เป็นเมืองไทย เราไม่ทำหรอกก็ยังมี ทำให้ คุณได้เห็นทัศนียภาพ อันสวยงามของผืนนา แห่งนี้

ขับ Stormtrak ชม ซาปา คล่องตัวมั่นใจ

ในเย็นวันแรก เราพบกับ ฝูง Ford ที่จอดรอเราขับในวันรุ่งขึ้น ไม่ว่าจะ Ford Ranger Stormtrak และ Ford Everest Wildtrak ที่เพิ่มตัว สำหรับกลุ่มรถใช้งาน และยังมี กลุ่มดุดันไม่เกรงใจใครอย่าง Ford Ranger Raptor มาสนองความพร้อมซิ่งในรุ่น เบนซินและดีเซล ที่เปิดตัวออกมาหมาดๆด้วย

วัน่อมา แผนวันนี้เราจะไปลองลุยโหด ในป่าใกล้ๆ เมืองซาปา แต่มีการเปลี่ยนแผน จึงกลายเป็น การขับรถเที่ยวในบริเวณรอบๆ เมือง ซาปา แทน

พาหนะของผมวันนี้เป็น Ford Ranger Stormtrak เจ้ากระบะพร้อมใช้งานที่โดดเด่นด้วยระบบ flexible rack system ที่สามารถปรับแต่งการใช้งานตัวรถให้เหมาะสม กับความต้องการของเรา ได้ทั้ง ชุดราวหลังคาที่เปลี่ยนเป็นคานขวางและ สปอร์ตบาร์ที่สามารถ ปรับได้เปลี่ยนเป็น ตัว support สำหรับลูกค้าสายกิจกรรม

อย่างเราในวันนี้ นึกแล้วก็นั่งหัวเราะ กัยเองภายในรถ เราอยู่บนถนนที่เป็นจุดสูงสุดของแถวอินโดจีน แต่เรากำลังขับ เจ้า Ford Ranger Stormtrak ไปบนถนนในเมือง ซาปา โดยบนหัวมีเซิฟบอร์ด พ่วงไปด้วย น่าจะทำให้หลายคนงงเอาเหมือนกัน

ถ้าจะถามว่า ตัวนี้ แตกต่างจาก Wildtrak อย่างไรบ้าง ก็อาจจะเรียกว่า สุดกว่าในแง่ของฟังชั่นตัวรถ ชุดล้อก็มีการปรับ มาเป็นขนาด 20 นิ้ว จาก Wildtrak ให้ 18 นิ้ว และเน้นไปในเสน้ทางของความพร้อมลุย คันนี้ดูจะเน้นในการเป็น On Road มากกว่า ยิงเป้าไปยังสายกิจกรรมวันว่าย เป็นรถไลฟ์สไตล์ เน้นความสวยงาม

ส่วนเครื่องยนต์และรายละเอียดอื่นๆ ก็มีเพียงการตบแต่งบ้างเล็กน้อย ที่ทำออกมาได้ดีกว่า หากก็ต้องพูดว่าแล้วแต่คนชอบ มีคันเกียร์ไฟฟ้าที่เพิ่มเติมเข้ามา และ การตบแต่งโทนแดง ที่อาจจะถูกชะตาคนไทย กว่า สีส้มของ Wildtrak

ในเวลานี้ที่อยู่หลังพวงมาลัย ผมรู้สึกว่า ตัวรถค่อนข้างมีความนิ่งมากกว่า Ranger Wildtrak อาจจะมีบ้าง ที่ตึงตัง นั่นไม่แปลก เมื่อคุณประกอบ ล้ออัลลอย 20 นิ้ว เข้ากับโช๊คอัพ โมโนทูป ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก

ทางเรียบโอเค แต่ถ้าต้องเริ่มเจอทางสมบุกสมบัน เรียนตามตรงว่า Wildtrak นวลกว่า และมั่นใจกว่า ว่า ยางของคุณจะอยู่รอดปลอดภัย ไม่โดนหิตตำล้อครูด ให้ปวดกบาลในภายหลัง

ระหว่างทาง มีเส้นทางโค้งต่อเนื่องความเป็นล้อ 20 หน้าสัมผัสแบกะพื้นมากกว่า และ ยางแก้มเตี้ยกว่า ล้อ 18 ทำให้ การตอบสนองในการเข้าโค้งดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด

หลังจากผ่านหลายโค้งเราแวะทานจข้าว ร้านอาหารท้องถิ่น บนพื้นที่วุงแบบนี้อากาศ ค่อนข้างหนาว ใครจะคิดว่ามันมี ปลา สเตอร์เจี้ยน และ แซลมอนให้คุณทานด้วย

เมนูปลา มากมาย สุดแสนจะเยอะให้คุณได้ลิ้มลองจนอิ่มหมีพลีมัน กลายเป็นมื้อเด็ด ที่สุดในทริปเวียดนาม

หังจากนั้น แน่นอนว่า เราไม่พลาด ไปยังไฮไลท์ เขาฟานสีปัน จุดเด็ดของซาปา

ฟานสีปัน หลังคา อินโดจีน

การขึ้นยอดเขาฟานซีปัน ในวันนี้ ง่ายดายมาก เพียงขึ้นกระเช้าไฟฟ้าแบบในยุโรปก็ไปถึงปลายทางได้โดยไว ไกด์ประจำถิ่น เล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้าจะมีกระเช้า ใครอยากไปยอดเขาแห่งนี้ต้องเดินเท้าผ่านป่าด้านล่างเป็นทางธรรมชาติ ใช้เวลา 3 วัน 2 คืนเต็ม จนถึงยอดเขาแห้งนี้

ปัจจุบัน ทางธรรมชาติ ก็ยังมีอยู่ ไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวสายแอดเวนเจอร์ ยังสามารถเดินลัดเลาะตามเส้นทางชมธรรมชาติ ได้ โดยมีไกด์ท้องถิ่น พร้อมจะพาคุณไปประสบความลำบาก ซึ่งมันก็ได้ฟีลลิ่งไปอีกแบบ ไกด์ หัวเราะกับผม

แต่ทริปนี้เรา มาเอาความสบายก่อน ตบเท้าขึ้นกระเช้า พร้อมพาคุณเดินทาง จาก สถานนีฝั่งซาปา ถึงยอดเขาใช้เวลาอยู่พอสมควร ในช่วงเวลาที่เรามา ม่านหมอก ค่อนข้างจะเป็นใจ จนเราได้ ขี่กระเช้าทะลุเมฆสมใจอยาก ฟีลกู๊ดสุดๆ

บนยอดเขาฟานซีปัน ทางเวียดนาม ก็เนรมิตมัน เป็นวัดขนาดใหญ่ มีพระพุทธรูปขนาดใหญ่และ มุมที่บอกว่า คุณอยู่ที่สุดยอดเขาฟานสีปัน มีที่ให้คุณเดินเล่นมากมายก่ายกอง

สิ่งที่ต้องระวังสักนิด คือ บนนี้มีความสูงเดินแล้วนั่งพักบ้างก็ดีนะครับ อากาศเบาบางจะทำให้คุณเหนือ่ยง่า ยยิ่งใครใช้ชีวิตพื้นราบ คนเมืองหลวง ชาวบางกอก ไม่ค่อยได้ไปเขาสูงต้องระวัง ไม่เพียงเท่านี้ ขั้นบันไดของฟานสีปัน ค่อนข้างแคบและชัน คล้ายๆ อารมณ์บันไดในจีน จะก้าวย่างก็ต้องระมัดระวัง กันสักนิด ถ้าพลาด บางแห่ง ตกลงไปยาวๆ ไม่สนุกแน่นอนครับ

ลุยโหดในซาปา ลองศักยภาพแรพเตอร์ ดีเซล

ในบรรดารถที่มาในทริปครั้งนี้ Ford Ranger Raptor Diesel เรียกว่า เป็นรถที่หลายคนสนใจมากที่สุด ในฐานะรถกระบะสมรรถนะสูงที่กลับมาอีกครั้งในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล หลังจากฟอร์ด ออกรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน V6 มาขาย และล่าสุดขยับราคาเพิ่มเป็น 1,919,000 บาท

การออกรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล ทางฟอร์ดยังคงเน้นเหมือนเดิม กับความเป็นกระบะใช้งานพร้อมลุย ตอบโจทย์ คนต้องเดินทางไกลทุกวัน เปิดตัว มาตั้งแต่มอเตอร์โชว์ และนี่เป็นครั้งแรกที่เราจะสัมผัสมัน

ตัวรถรุ่นนี้ มองภายนอก มันก็จะเหมือนกับตัว V6 ไม่มีผิด ทั้งหน้าตา ล้อและอีกหลายอย่าง สิ่งที่คุณจะสังเกต ว่าเป็นตัวไหน ถ้าเอาแบบกวาดสายตาแล้วรู้ทันที คงเป็นท่อไอเสียคู่ ที่หายไป เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ภายในห้องโดยสาร ดูเผินๆ ก็เหมือนเดิมไม่แตกต่าง โดยเฉพาะงานออกแบบที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเครื่องบินรบ มีขลิปส่ม ทั่วห้องโดยสารไปหมดในทุกอย่าง ไม่ว่าจะเบาะ พวงมาลัยคอนโซล หน้าจอเรือนไมล์ ก็เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน รวมถึงจอกลางด้วยก็เช่นกัน

ความแตกต่างภายใน จะเห็นชัดตรง พวงมาลัย พวกปุ่ม My Mode จะหายไป เพราะทางฟอร์ดตัดระบบนี้ออกไปจากรุ่นดีเซล

นอกจากนี้ เรือนไมล์ก็ปรับให้มาตรวัด มีรอบเครื่องแบบเครื่องยนต์ดีเซล ส่วนอื่น ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จากที่เราผ่านตา ในรุ่นเบนซินมา

ใต้เรือนร่างรถรุ่นนี้ มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลังขับสูงสุด 210 แรงม้า สูงสุดที่ 3,750 รอบต่อนาที ทำแรงบิดสูงวุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 2,000 รอบต่อนาที มาพร้อมเกียร์ 10 สปีด

จุดต่างระหว่าง ตัวเบนซินและดีเซล นอกจากเครื่องยนต์แล้ว ก็คือโช๊คอัก ในงวดนี้ ตัดฟังชั่น Live Valve ออกไป แต่ยังคงมีฟังชั่น Internal By Pass Valve อยู่เหมือนเดิม

ไม่เพียงเท่านี้ ด้วยการมีแรงบิดสูงในรอบต่ำ ทางฟอร์ด จึงตัด ฟังชั่น ดิฟล็อคไฟฟ้าทางด้านหน้าออกไปด้วย

ถ้าสรุปใยภาพรวมที่แตกต่างกัน โดยมากจะเป็นเรื่องฟังชั่นการขับขี่มากกว่า

  • ไม่ได้ท่อคู่
  • ไม่มีโหมดเสียงท่อ
  • ไม่มี My Mode
  • ชุดโช๊คอัพไม่มีฟังชั่น Live Valve
  • ตัดระบบดิฟล็อคไฟฟ้าทางด้านหน้า
  • เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร

ทั้งหมดของความแตตก่างทำให้ราคารถรุ่นนี้ถูกลง เหลือเพียง 1,769,000 บาทเท่านั้น

ในการทดลองขับวันนี้ที่ ซาปา , เวียดนาม ทางฟอร์ด จัดเป็น สถานีออฟโรด มีพื้นที่หลายแบบให้ลองเล่นกัน

ด่านแรก,​เป็นการลองลุยทางโคลน แม้จะเป็นสนามจำลอง แต่ปรากฏว่าก็หินใช่ย่อยเช่นกัน จริงๆ ด่านนี้ เราต้องได้ลอง Ford Everest Wild Trak ที่เปิดตัวมาใหม่ ปรากฏว่า ลงไปคันแรกก็ติดเสียแล้ว เลยเปลี่ยนคิวสลับแรพเตอร์ลงสนามแทน

ขึ้นมาขับ แรพเตอร์ดีเซล จริงๆ นี่คือความเป็น Original Raptor ที่ขายมาตั้งแต่ 2018 รถที่พร้อมบุกตะลุย ราคาไม่แรง ใช้งานทุกวันได้ เหมาะสำหรับขาโหดตัวจริง

แม้ว่าเทียบกับรุ่นเบนซิน ตัวรถจะไม่กระโชกโฮกฮาก ออกตัวแรง แต่ทางโคลนร่องเละเท ร่องลึก สามารถปั่นตะกุย ผ่านไปได้อย่างสบายไม่เหนื่อย แม้ว่ามันจะขาดดิฟหน้าก็ตาม

ด่านต่อมา ทาง ฟอร์ด ต้องการ พรีเซนท์ สิ่งที่เรียกว่า Trail Control ระบบนี้ อธิบายง่ายๆ เหมือนกับ Cruise Control ในทางลุย

เดิมที คุณต้องเร่งเองเบรกเองในทางลุย ฟอร์ด ล้ำหน้าไปกว่านั้น ในการล็อคความเร็วเวลาลุย ใช้งานง่ายจากจอกลาง เพียงกด จากนั้น ใช้ปุ่ม Cruise Control ในการควบคุมความเร็ว สิ่งเดียวที่คุณต้องทำ คือจับพวงมาลัยให้มั่น และควบคุมทิศทางรถ ให้ไปตามที่ควรจะเป็น แค่นั้นพอ

การใช้ Trail Control ของเรา ท้าทายด้วยด่านหิน ซึ่งเป็นสภาพหินในแม่น้ำที่มีความลื่นง่าย แน่ล่ะว่า สิ่งที่ช่วยคุณได้คือโหมดการขับขี่เพียงปรับเซท แล้วจัดการเปลี่ยนให้รถอยู่ในโหมดที่ต้องการ ตามสภาพเส้นทาง อย่างตอนนี้เราไต่หินต้องเป็นโหมด Rock

ระบบก็จะปรับการตอบสนองคันเร่ง และเครื่องยนต์ให้เหมาะสม รวมถึงระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ว่าใช้อะไรจะดีที่สุด มาให้คุณได้ขับขี่ จนเรียกว่าไม่มีปนะสบการณ์ ก็สามารถลุยอย่างเซียนได้ เช่นกัน

ช่วงทางหินตรงนี้ อีกฟังชั่นที่ต้องใช้งาน คือ กล้อง 360 องศา ตัวกล้องจะช่วยให้คุณเห็นอุปสรรคทั้งหมด ทำให้คุณสามารถตัดสินใจหลีกเลี่ยงได้ แม้ว่าจะขับคนเดียวก็ตามที ไม่ต้องส่งคู่จิ้นหรือภรรยา ลงไปตากแดดตากลม ให้เหนื่อยล้า

แต่พอลุยมากๆ สิ่งที่ผมชอบใน แรพเตอร์ ก็คงจะเป็นช่วงล่างที่แม้ว่าการลุยจะต้องมีแหละที่มันกระเทือน แต่เทียบกับกระบะอื่นๆ มันก็ยังนั่งสบายนิ่มนวลกว่าพอสมควร นี่คือกระบะพร้อมลุยเหมาะสำหรับครอบครัว เน้นเดินทางได้ทุกวัน

แม้ว่า สิ่งที่แรพเตอร์ดีเซลไม่อาจจะมอบให้คือ ความแรง แบบเครื่องเบนซิน หากส่วนที่ดีกว่าคือเครื่องยนต์ที่ประหยัดน้ำมันมากวก่า พร้อมเดินทางไกลๆได้ดีกว่า

รวมถึงการตัดระบบฟังชั่นไฟฟ้าต่างๆนานาๆ ออกไป ทำให้สายลุยตัวจริงน่าจะมั่นใจมากขึ้นว่า ถ้าคุณต้องไปลุยบุกป่า ระบบไฟฟ้าเหล่าานี้จะไม่เป็นปัญหากวนใจ โดยเฉพาะบ้านเราที่เป็นประเภทป่าฝน เสียส่วนใหญ่ด้วย

ในภาพรวม Ford Raptor Diesel อาจจะดูด้อยกว่าเบนซิน ในแง่พลังขับและออชั่นที่ถูกทอนหายไปหลายอย่าง จนคนส่วนใหญ่พูดทางเดียวกันว่า จะซื้อ ก็ซื้อเบนซินเถอะ

แต่พอลองลุย ออพชั่นที่หายไปนั้น ก็เหลือเพียง ออพชั่นจำเป็นในทางลุย มันยังมอบความเป็นที่สุดกระบะให้คุณได้สนุกในวันว่าง ครบเครื่องจนแทบไม่ต้องแต่งเติมอะไรเลย

กลับกันหากคุณอยากได้ความเป็นแรพเตอร์แบบแรพเตอร์จริงๆ ก็คงต้องเอารุ่น V6 3.0 ลิตร นั่นแหละ เป็นผมก็เลือกช๊อยนี้ ถ้าไม่ได้ใช้งานทุกวัน ถือว่า สมฐานะ การเป็นรถลุยประจำบ้าน

ขอบคุณ Ford ประเทศไทย ที่เชิญร่วมทริปลุย Ford Next Level Experience ในครั้งนี้ ด้วยครับ

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่