ท้องฟ้าเหนือกรุงเทพฯ ช่วงนี้เต็มไปด้วยหมอกควันพิษสีน้ำตาล ที่สื่อหลายสำนักบอกว่ามีฝุ่นละออง PM 2.5 อันมาจากการเผาไหม้ของเครื่องดีเซล ว่าแต่ใช่สาเหตุนี้จริงหรือ?

ตอนตื่นเช้ามาทุกคนมักจะลุกไปเปิดหน้าต่างเพื่อสูดอากาศสดชื่น ทว่าความจริงที่เกิดขึ้นกับคนในเขตกรุงเทพมหานครกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะหมอกควันพิษได้ปลกคลุมลอยขมุกขมัวไปทั่ว ซึ่งสื่อหลายแห่งออกมาพูดตรงกันว่า ฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์สันดาป โดยเฉพาะเครื่องดีเซลนั้นเป็นตัวการสำคัญของปัญหานี้ เพื่อแถลงไขข้อสงสัยเราจึงจะพาทุกท่านไปหาคำตอบพร้อมกัน

ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5

ทำความรู้จักฝุ่นละออง PM 2.5 ภัยร้ายที่หลายคนไม่รู้จัก

หมอกควันฝุ่นละอองที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้าของกรุงเทพฯ และปริมณฑลตอนนี้ เราบอกได้เลยว่านั่นเป็นฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หรือ PM 2.5 อันเกิดมาจากการเผาไหม้ไอเสียของเครื่องยนต์สันดาปทุกชนิด ไปจนถึงการเผาขยะ หญ้า ควันจากโรงงานอุตสาหกรรม และจากโรงงานผลิตไฟฟ้า

แม้ว่าฝุ่นละออง PM 2.5 จะเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่หมอกสีน้ำตาลจางที่ลอยอยู่เหนือตึกสูงของกทม. ล้วนเกิดจากไอเสียของรถยนต์ทั้งสิ้น ซึ่งเจ้าฝุ่นเล็กจิ๋วพวกนี้มีขนาดเล็กกว่า 1 ใน 25 ของเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นผมมนุษย์ จนขนจมูกของมนุษย์ไม่สามารถกรองได้ มันสามารถเข้าสู่ระบบหายใจ กระแสเลือด และซึมเข้าไปยังการทำงานของอวัยวะในร่างกาย เป็นต้นเหตุหลักที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งลำดับต้นๆ

ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5

ฟังดูแล้วเจ้าฝุ่น PM 2.5 ดูร้ายกาจมากแม้มองไม่เห็น แต่ยังโชคดีที่การป้องกันสามารถทำได้ด้วยการใส่หน้ากากชนิด N95 ที่กรองอนุภรคขนาด 0.3 ไมครอน รวมถึงฝุ่นขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอนได้ ทว่านี่เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ จะมีวิธีใดบ้างที่สามารถจัดการปัญหาฝุ่นละอองในเมืองได้อย่างยั่งยืนบ้าง?

รถในกทม.จำนวนกว่า 10.2 ล้านคัน มี 2.64 ล้านคัน เป็นรถเครื่องดีเซล…

จากที่กล่าวไปช่วงแรกของบทความว่า หมอกควันฝุ่นละอองที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าของกทม. เกิดจากไอเสียที่เผาไหม้โดยเครื่องยนต์สันดาปทุกชนิด ซึ่งเมื่อนำข้อมูลการจดทะเบียนรถสะสม ของกรุงเทพมหานคร ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 มีจำนวนทั้งสิ้น 10.21 ล้านคัน แน่นอนว่าเกือบ 2.64 ล้านคันเป็นรถเครื่องยนต์ดีเซล

รถกระบะ กับรถพีพีวียอดนิยมของคนไทย ยังคงใช้มาตรฐานไอเสียยูโร 4 อยู่ ซึ่งพอมาอยู่ในกทม. ก็ทำให้อากาศแย่หนักกว่าปกติ

บางคนอาจแย้งว่าแค่รถดีเซล 2.64 ล้านคัน ยังเหลือรถอีก 7.56 ล้านคันที่ใช้เครื่องเบนซิน ทั้งรถเก๋ง เอสยูวี และรถมอเตอร์ไซค์อย่างเดียวที่ปัจจุบันมียอดจดทะเบียนสูงถึง 3.66 ล้านคัน รถเครื่องเครื่องบนซินจำนวนรวมมากกว่าอาจก่อฝุ่นละออง PM 2.5 ได้พอๆ กันแหละ แต่ความจริงมันไม่ใช่แบบที่บางคนเข้าใจ

เครื่องยนต์ดีเซลคือขุมพลังที่มีพิษร้ายต่อสภาพอากาศของโลกมากที่สุด เนื่องจากกระบวนการสันดาปสร้างกำลังของเครื่องชนิดนี้ ผลลัพธ์ที่ออกมาพร้อมไอเสียจะมีทั้งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ CO2 ซึ่งทุกคนรู้จักดี แต่ไอ้ตัวสำคัญสุดเลยอย่างก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ NOx ที่ออกมาพร้อมกับฝุ่นละออง PM2.5 จะมีจำนวนมากที่สุดในไอเสียรถดีเซล… จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมกรุงเทพฯ จึงปลกคลุมไปด้วยหมอกควันพิษสีน้ำตาลจาง

สายซิ่งบางคนชอบให้รถควันท่วมๆ ทั้งที่มันสร้างพิษร้ายต่อบุคคลอื่นอย่างมหาศาล

รถเครื่องดีเซลมันทำลายอากาศแสนสะอาดมากกว่าเครื่องเบนซินจริงหรือ?

ถามว่าทำไมรถเครื่องดีเซลจึงปล่อยมลพิษสูงที่สุด เราจะอธิบายให้เข้าใจดังนี้ ด้านกระบวนการสร้างกำลังงานของขุมพลังดีเซล ใช้หลักกำลังอัดสูงบีบจนเหลือพื้นที่ในห้องเผาไหม้น้อยที่สุด จนน้ำมันดีเซลเกิดการจุดระเบิดสร้างพลังงาน ด้วยวัฏจักรดังกล่าวก่อให้เกิดก๊าซ NOx กับฝุ่นละออง PM 2.5 ปริมาณมากกว่าการเผาไหม้ของเครื่องเบนซิน ซึ่งอาศัยการจุดระเบิดเชื้อเพลิงโดยหัวเทียน ที่ไอเสียแทบไม่มีฝุ่นละอองขนาดเล็กปล่อยออกมา (มาตรฐานไอเสียยูโร 1-4 ของขุมพลังเบนซินไม่มีค่า PM กำหนด แปลว่ารถเบนซินไม่ได้ปล่อยฝุ่นเล็กจิ๋วจำนวนเท่าเครื่องดีเซล)

ปัจจุบันประเทศไทยบังคบใช้มาตรฐานไอเสียยูโร 4 กับรถยนต์ขนาดเล็ก ส่วนยูโร 3 ใช้กับรถบรรทุก รถบัส และเครื่องจักรอื่นๆ

ยกตัวอย่างให้ผู้อ่านเห็นภาพชัดเจน ว่าทำไมในต่างประเทศจึงซีเรียสกับมลพิษที่ปล่อยจากเครื่องดีเซลกันนัก คุณจะเห็นว่าประเทศในทวีปยุโรปบังคับใช้มาตรฐานไอเสียยูโร 6 ซึ่งบังคับให้รถดีเซลปล่อยฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM ออกมาคิดเป็นจำนวน 0.005 กรัม/กิโลเมตร ต่างจากมาตรฐานไอเสียยูโร 3 และ 4 ที่บังคับใช้บนรถกระบะ รถพีพีวี และรถบรรทุก ที่วิ่งอยู่บนถนนเมืองไทย อันมีเรทการปล่อยฝุ่นละอองเล็กจิ๋วอยู่ที่ 0.05-0.025 กรัม/กิโลเมตร อย่างมากมาย

ทีนี้ ผู้อ่านพอเข้าใจแล้วหรือยังว่าเหตุใดเราจึงกล่าวโทษเครื่องดีเซล ว่าเป็นตัวก่อให้เกิดหมอกควันฝุ่นละอองขนาดเล็กปลิวว่อนอยู่เหนือท้องฟ้ากทม. แต่จะให้บ่นอย่างเดียวก็คงไม่เกิดประโยชน์ ดังนั้นเราจึงจะมาเผยวิธีในการรักษาอากาศบริสุทธิ์ไว้ให้ประชาชนกทม. ได้สูดเต็มปอดด้วย

Mazda 3 1.5 Slyactiv-D ใช้ขุมพลังดีเซลมาตรฐานยูโร 5

ภาครัฐต้องปรับใช้มาตรฐานไอเสียขั้นต่ำยูโร 5 ให้รวดเร็วที่สุด!!

บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่ารัฐบาลไทยเป็นประเภททำงานแก้ไขแต่เรื่องเฉพาะหน้า ไม่ได้มีวิสัยทัศน์มองอนาคตของสิ่งต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องมาตรฐานไอเสียของรถยนต์ ที่รถบรรทุกกับรถบัสโดยสารเครื่องดีเซล ยังคงลากใช้ไอเสียระดับยูโร 3 มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ยาวนานกว่า 11 ปี ก็ยังไม่ได้ปรับใช้มาตรฐานใหม่ ส่วนรถเครื่องดีเซลปกติก็คาอยู่ระดับยูโร 4 มาหลายปี ทั้งๆ ที่รู้ว่าประเทศเรามีปริมาณรถขุมพลังนี้มากที่สุด

เครื่องยนต์ดีเซลของ Mercedes-Benz ที่จำหน่ายในไทยผ่านมาตรฐานไอเสียยูโร 6 ที่สะอาดที่สุดในปัจจุบัน

ปัญหาหมอกควันฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จะไม่มีวันทุเลาเบาลง หากรัฐบาลยังไม่ปรับใช้มาตรฐานไอเสียยูโร 5 (ขั้นต่ำนะ เอาจริงปรับไปใช้ยูโร 6 เลยก็ดี) ผู้คนในกทม. และปริมณฑลก็ต้องทนสูดมลพิษพวกนี้เข้าไปในร่างกาย ทำให้เป็นโรคร้ายสูญเสียทั้งเงินส่วนตัว รวมถึงงบประมาณด้านสาธารณสุขของชาติ

เอาเข้าจริงเรื่องนี้มันมีผลกระทบต่อทุกคนในวงกว้างมากกว่าที่คิด มันคุ้มแล้วหรือที่รัฐบาลคอยเอาใจบรรดาค่ายรถยนต์ ที่นำเอาเครื่องดีเซลมาตรฐานไอเสียล้าหลังที่เขาเลิกใช้ไปตั้งแต่ปี 2009 มาให้คนในประเทศใช้ ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์คือกลุ่มคนไม่กี่หยิบมือ แต่คนที่รับผลเสียเต็มๆ คือคนเดินถนนทั่วไปอย่างเราท่านนี่แหละ ขอฝากไว้ให้ท่านผู้มีอำนาจตัดสินใจช่วยมองดูและนำไปทำอะไรให้มันดีขึ้นซักทีเถอะครับ

ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่