ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีน มีความทะเยอทะยาน และประสบความสำเร็จในการบุกตลาดยานยนต์เกือบทั่วทั้งโลกได้ดีเป็นอย่างมาก ซึ่งล่าสุดก็ดีถึงขั้นสามารถ แย่งตำแหน่งการเป็น ประเทศที่ส่งออกรถยนต์จำหน่ายต่างประเทศมากที่สุดในโลก จากญี่ปุ่น ที่ครองตำแหน่งนี้มานายหลายสิบปีได้เลยทีเดียว

จากการรายงานข้อมูลโดย สมาคมรถยนต์โดยสารของประเทศจีน (China Passenger Car Association) เปิดเผยว่าในปี 2023 ที่ผ่านมา มีรถยนต์ที่ถูกผลิตในประเทศจีน และส่งออกไปวางจำหน่ายในต่างประเทศมากกว่า 5.26 ล้านคัน โดยนับรวมทั้งรถยนต์โดยสารสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป จนถึงรถบรรทุกขนาดใหญ่ และรถบัส โดยมีรัสเซีย, เม็กซิโก เป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง เช่นเดียวกับในยุโรป

โดยหากเทียบตัวเลขยอดการส่งออกนี้ กับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ของโลกอันดับหนึ่งในปี 2022 สำหรับปี 2023 ที่ผ่านมา พวกเขากลับสามารถส่งออกรถไปได้ราวๆ 4.3 ล้านคัน

นั่นจึงเท่ากับว่าตอนนี้ประเทศจีนได้ขึ้นแท่นเป็นประเทศที่มีการส่งออกรถยนต์มากที่สุดในโลกไปแล้ว ซึ่งต้องไม่ลืมว่านี่เป็นการส่งออกโดยไม่มีเอารถเข้าไปขายในประเทศสหรัฐอเมริกาที่เป็นลูกค้าใหญ่ของผู้ผลิตสัญชาติญี่ปุ่นด้วย

ด้านการขายในประเทศเอง ฝั่งยานพาหนะน้ำหนักเบา (กลุ่มรถโดยสารทั่วไป และรถการใช้งานเชิงพานิชย์ขนาดเล็ก) ก็มีการเติบโตขึ้นกว่า 5.3% เป็น 21.93 ล้านคัน ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องกว่า 3 ปีติด โดยมีปัจจัยหลักมาจากการแข่งขันในด้านราคา(ตัดราคากันเอง)ค่อนข้างสูง

ส่วนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีนเอง ก็มีอัตราการเติบโตที่ 21% แต่ยังถือว่าน้อยกว่าในปี 2022 เพราะเป็นปีที่รถยนต์ไฟฟ้าในจีนมีอัตราการเติบโตด้านยอดขายสูงขึ้นกว่าปีก่อนหน้าถึง 74% ส่วนหนึ่งเพราะลูกค้าชาวจีนเริ่มหันไปซื้อรถยนต์ Plug-In Hybrid มากกว่า เพราะในปีที่ผ่านมา มันสามารถสร้างอัตราการเติบโตด้านยอดขายสูงถึง 83% เลยทีเดียว

ส่วนแบรนด์ผู้ผลิตสัญชาติจีนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในปี 2023 ก็ตกเป็นของทาง BYD ที่สามารถทำยอดขายรวมทั่วโลกไปกว่า 3.02 ล้านคัน ช่วยให้พวกเขากลายเป็น 1 ใน 10 บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลก ซึ่งจากยอดขายกว่าสามล้านคัน ก็มียอดขายกว่า 1.57 ล้านคัน ที่มาจากรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ส่วนที่เหลืออีกเกือบครึ่ง ก็มาจากรถยนต์ขุมกำลังไฮบริดเสียบปลั๊ก

และที่น่าสนใจคือ ยอดขายของพวกเขาพึ่งมาพุ่งอย่างหนักในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีอีกด้วย จึงทำให้มีความเป็นไปได้ที่ หากทางแบรนด์ยังรักษาความร้อนแรงด้านยอดขายนี้ต่อไปได้ตั้งแต่ต้นปี 2024 ลากไปจนถึงปลายปี พวกเขายังสามารถสร้างตัวเลขยอดขายเติบโตได้อีกมากเลยทีเดียว

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่