Chevrolet Captiva กลายเป็นรถในทำเนียบอเนกประสงค์คนไทยชอบ มาตั้งแต่มาขายรุ่นที่แล้ว แม้นว่าจะลากยาวกว่า 10 ปี แซยิดปรับหน้า ปรับตูดไปไม่รู้กี่รอบ ก็ยังพอเดินยอดได้ จนกลายเป็นแบบอย่างให้ผู้เล่นรายอื่นต้องศึกษาไม่น้อย
ทันทีที่เชฟวี่ เปิดตัว แคปติว่าใหม่ หลายสายตา จับจ้องมาที่รถคันนี้ทันที ผลงาน Captiva รุ่นใหม่ แตกต่างจากเดิมมาก จนถึงขนาดทีมงาน กระซิบบอกผมก่อนขึ้นลองขับว่า “ลืม ฟีลลิงตัวเก่าไปให้หมดนะครับ” ทำไมพูดแบบนั้น ผมนั่งครุ่นคิดไม่น้อย จนมีกระทั่งสัมผัส จึงพอจะรู้คำตอบอยู่บ้าง
Chevrolet Captiva ใหม่ แตกต่างจากรุ่นเดิมชัดเจน ด้วยการปรับตัวเองจากอเนกประสงค์สไตล์หรูหราน่าใช้งาน มาสู่ภาพลักษณ์รถตลาดที่ใครก็พอจะเอื้อมถึงได้ พุ่งตัวไปยังกลุ่มลูกค้าครอบครัว
รถรุ่นใหม่ แนะนำภายใต้ขนาดความยาว 4,655 มม. กว้าง 1,835 มม. สูง 1,760 มม. มิติตัวรถเน้นความยาวและสูง เป็นหลัก บ่งบอกความน่าจะนั่งสบายสุดในรุ่น
ตัวรถออกแบบไปทางทันสมัย ผิดกับพี่น้องของมัน เจ้านี่ไม่ได้รับดีเอ็นเอ กระจังหน้าดูออลพอร์ท ปัจเจกสถาบันเชฟวี่ ทั้งที่เกิดมาเป็นครอบครัวเดียวกัน ราวกับน้องคนละพ่อที่เข้ามาร่วมตระกูล กระจังหน้าแคปติว่ามีขนาดใหญ่ มองหลายทางรู้สึกมันดูหน้าหมูบอกไม่ถูก เป็นรถหน้ามุ่ย ส่วนตัวไม่ค่อยซื้อสไตล์นี้เท่าไร
ชุดไฟหน้าจัดวางต่ำลง คล้ายในรถยนต์ Nissan juke มีไฟตัดหมอกด้านล่าง ไฟด้านบนเป็นตำแหน่งไฟหรี่ และ Day Time Running Light บางมุมรู้สึกดูถึกดี แอบๆ ทันสมัย อาจจะถูกใจบางคน แต่ไม่ใช่ผมคนหนึ่งล่ะ
ทางด้านข้าง เชฟวี่มาแปลก แม้วันนี้ได้รับกุญแจรุ่นท๊อป พรีเมียร์ มาก็ยังเป็นล้ออัลลอย 17 นิ้วเท่านั้น มันจากมาพร้อมยาง GT Radial จากโรงงาน ประสิทธิภาพยางชุดนี้เอาเป็นว่าพอไปวัดไปวาได้ ผมเคยผ่านยางยี่ห้อนี้มาบ้าง ด้านข้างประตูออกแบบให้มีขนาดใหญ่ เมื่อประกอบความสูงตัวรถ ทำให้ขึ้นลง และใช้งานได้สะดวกโยธิน จะก้าวขึ้นรถ ไม่มีต้องมาระวังศีรษะให้กังวลใจ
ด้านท้ายรถมาพร้อมไฟท้าย LED ทรงฝาท้ายพานึกถึงรถยุโรปค่าย 4 ห่วงอยู่บ้าง ยิ่งการเปิดฝาท้าย แบบ ถอดออกมาทั้งบานรวมถึงไฟท้าย ราวกับออกแบบมาพิมพ์เดียวกัน ยิ่งเดินห่างจากรถ มองไกล ขนาดตัวรถดูไม่ใหญ่เทอะทะ และไม่เล็กเกินไป ผมอดขยิกหัวไม่ได้ว่า จะตั้งมันเป็น C- SUV ในกลุ่มเดียวกับรุ่อื่นดีหรือไม่ เพราะมองขนาดแล้วเหมือนเล็กกว่าชาวบ้าน บางมุมแอบรู้สึกค่ายเยอรมันรุ่นเล็กมาเต็มเหมือนกัน
ไม่รอช้าเวลามีน้อย เปิดประตูห้องโดยสารก้าวเข้าอย่างง่ายดาย สบายใจหายห่วง ท่วงท่าขึ้นรถไม่ต้องก้าวขายาวนัก รายละเอียดคอนโซลหน้าออกแบบมาเน้นความทันสมัย เว่อวัง อลังการงานสร้าง เตะตาที่สุดน่าจะเป็นหน้าจอเครื่องเสียงและศูนย์รวมอุปกรณ์กลางคอนโซลขนาด 10.4 นิ้ว เห็นทีแรกยังตกใจ ใหญ่เป้งอะไรขนาดนั้น
ชุดจอนี้ทำหน้า ควบคุมเครื่องเสียง เชื่อมต่ออุปกรณ์พกพา และปรับเพิ่มลด อุณหภูมิ ตลอดจน พัดลมระบบปรับอากาศ เสร็จสรรพในที่เดียว ตัวจอทำงานลื่นพอตัว เหมือนใช้ระบบ Andriod ในการประมวลผล
กลับมามองตรงหน้า พวงมาลัย 3 ก้าน ต้อนรับการบังคับทิศทาง เฉกเช่นเดิม พวงมาลัยมีปุ่มต่างๆ มาให้ใช้พอประมาณไม่มากมายเยอะแยะเกินไปเหมือนรุ่นก่อนหน้า เรือนไมล์ถูกจับแต่งตัวใหม่ ให้เป็นชุดจอ TFT ขนาด 7 นิ้ว ให้ความรู้สึกทันสมัย
เบาะนั่งฝั่งคนขับปรับด้วยไฟฟ้า 6 ทิศทาง ให้ดีไซน์สปอร์ตดูน่าใช้งาน สัมผัสตัวเบาะ เหมาะกับคนตัวใหญ่อย่างผม นั่งสบายเป็นที่น่าพึงพอใจ ตัวเบาะหุ้มหนังสีดำ สัมผัสแผ่นหลังดี ที่รองนั่งพอดีได้สบายในระดับหนึ่ง ควรหยุดจอดพักเรื่อยๆ จะได้ไม่เมื่อยมาก ฝั่งคนนั่งเบาะปรับด้วยมือ 4 ทิศทาง ทรงเบาะคล้ายกัน
ที่นั่งในรถออกแบบมาให้รองรับ 7 ที่นั่ง มีเบาะรวม 3 แถว ตอบลูกค้าสายครอบครัว เน้นขนยกบ้านไปเที่ยว ที่นั่งตอนหลังไม่ได้กว้างใหญ่ศาล คนตัวเล็กไซส์คนไทย พอไหว คนตัวใหญ่ต้อง Say Good Bye ยังคงเหมือนรถหลายรุ่น จะให้ดี เบาะแถว 3 เก็บไว้ให้เด็กๆ จะดีกว่า
กลับมาเบาะนั่งตอน 2 ตัวเบาะออกแบบมาให้นั่งสบาย การเย็บปักถักร้อยคล้ายเบาะนั่งตอนหน้า มีที่เท้าแขนมาให้เสร็จสรรพตอบโจทย์ความสบาย เบาะสามารถเลื่อนเดินหน้า-ถอยหลังได้ตามสะดวก รวมถึงยังสามารถปรับเอนได้ เบาะฝั่งซ้ายเป็นทางเข้าออกหลักเบาะนั่งแถว 3 จับด้านข้างม้วนพับในครั้งเดียว
ที่นั่งตอนหลัง มีระบบปรับอากาศแยกส่วนมาให้ ทั้งตอน 2 และ ตอน 3 ด้านหน้าเป็นระบบปรับอากาศอัตโนมัติ คอนโซลกลาง มีช่องวางแก้วน้ำมาให้ พร้อมปุ่มการทำงานต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้งาน อาทิ เบรกมือไฟฟ้า , เปิด-ปิด ล็อคประตู , เปิด-ปิด สัญญาณ กะระยะถอยหลัง และเปิด-ปิด ระบบ แอร์หลัง
ที่วางแก้วน้ำตรงนี้ ออกแบบมาค่อนข้างเล็ก ใส่แก้วน้ำใบใหญ่มาก ไม่ได้ โดยเฉพาะช่องทางด้านหลังที่ติดกับคอนโซลกลาง อาจเป็นปัญหา จุดนี้เริ่มทำให้ผมมองหาจุดต่างๆ ในรถ โดยส่วนตัวรู้สึกว่า การจัดวางปุ่มอุปกรณ์ยังไม่ดีเท่าที่ควร การเอาบางส่วนมาไว้ตรงคอนโซลกลางไม่ใช่เรื่องผิด ถ้ามันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องขับขี่ แต่อย่างพวก อุปกรณ์แอร์หลังนี่เดินทางมาไกลมาก จนงง ว่า ทำไมไม่วางไว้ร่วมกับแผงระบบปรับอากาศภายในรถ หรือ ปุ่มปิด-เปิดระบบควบคุมการทรงตัวเอาไปไว้ทางฝั่งคนนั่ง ให้มึนตึบ ว่า ทำไม เอาไปไว้ตรงนั้น จะให้ภรรยาช่วยกดเวลาดริฟท์รถหรืออย่างไร ทั้งที่สามารถจัดวางในตำแหน่งอื่นก็ได้
ที่แย่ที่สุด คงจะเป็นชุดจอ 10.4 นิ้ว ตรงนี้บอกค่าการแสดงผล ระบบปรับอากาศได้งุนงง อาทิ การหมุนวนอากาศ หรือไม่ จะบอก การทำงานให้ชัดแจ้ง ก็น่าจะดีกว่า การแทนด้วยสัญลักษณ์เฉยๆ จนในรถเราเถียงกัน ถึงขั้นลงขันว่า ตกลงมันทำงานแบบไหน
ถ้านั่นว่าร้ายแล้ว ตอนสตาร์ทเครื่องยนต์ เตรียมขับออกไป ผมมาสังเกตว่า หน้าจอเรือนไมล์ วัดรอบเครื่องทางด้านขวา เข็มไมล์ไม่ได้ปัดจากซ้ายไปขวา อย่างที่เราคุ้น ชิน มันปัดจากขวามาซ้าย สื่อบางคนรีบออกตัวว่า นี่มันเหมือนรถหรูไง … ไม่รู้ล่ะ ผมรู้สึกไม่ถูกชะตาอย่างแรง ลองจินตนาการคุณขับรถพ่อตาช่างจู้จี้นั่ง แล้วเขามองเรือนไมล์คุณพบว่า คุณใช้รอบเครื่องยนต์สูงลิบ ทั้งที่เปล่าเลย เข็มไมล์ผม มันปัดจากขวามาซ้าย … มันเป็นเรื่องของจิตวิทยาล้วนๆ จนอาจทำให้คนในรถผวา ทั้งที่ไม่ได้เป็นความผิดคุณเลย
ใต้เรือนร่าง Chevrolet Captiva พกเครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบแถวเรียง พร้อมระบบเทอร์โบชาร์จ ขนาดความจุ 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้า สูงสุด ที่ 5,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 2,400 รอบต่อนาที ขับเคลื่อนด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ ระบบ CVT มีอัตราทดสูงถึง 8 สปีด
เครื่องยนต์บล็อกนี้ไม่ใช่เครื่องยนต์ใหม่ อย่างที่หลายคนเข้าใจ มันเป็นเครื่องยนต์ดั้งเดิม S-TEC III จาก ความร่วมมือพัฒนาระหว่าง GM , Suzuki และ Daewoo ขุมพลังรุ่นนี้เดิมทีอยู่ใน รถยนต์นั่งขนาดเล็ก Chevrolet Sail มีขายในประเทศจีนเท่านั้น
สเป็คเดิมมีกำลังเท่ากัน เพียงแรงบิดต่างกัน 230 นิวตันเมตร ระนาบต่อเนื่อง ช่วง 2,000-3,800 รอบต่อนาที ไว้ตอบสนองยามเรjงแซง ใน Captiva จะเห็นว่า แรงบิดสูงสุดมาในรอบกลางๆ และไม่ได้ต่อเนื่อง เพียงมีช่วงพีคแล้วหายวับไป อารมณ์เหมือนเครื่องยนต์ดีเซลยังไงอย่างงั้น
สิ่งที่ผมคาดเดาไม่ผิดนัก หลังจากเริ่มมานั่งในตำแหน่งหลังพวงมาลัย ความรู้สึก Chevrolet Captiva กระเดียดไปทางความรู้สึกเครื่องยนต์ดีเซลเสียมากกว่า ในการขับทดสอบ เรานั่ง 3 คน รวมๆ ก็ 200 กว่า กิโลกรัม กลางๆ ตอนออกตัวไม่ได้ว่าวิ่งออกตัวฉิว ด่วนจี๋ไปรษณีย์จ๋า แบบที่หลายคนอาจคิดว่า เทอร์โบแล้วต้องแรงแน่ๆ
ด้วยน้ำหนักตัวรถเปล่าค่อนข้างหนักเอาเรื่อง รุ่นพรีเมียร์น้ำหนักสูงถึง 1,630 กก. ถ้าเปรียบกับรุ่นเริ่มต้น LS 5 ที่นั่ง เรียกว่า ต่างกันราวๆ 110 กก. หรือ ประมาณ ข้าวสาร 1 กระสอบเลยทีเดียว ดังนั้น เมื่อรวมผู้ขับบี่และผู้โดยสาร 300 กก. รถคันนี้ก็ปาไปเกือบ 2 ตัน
กำลังแรงบิด 250 นิวตันเมตร จึงไม่ได้ฉุดกระชากลากถูอย่างที่หลายคนเฝ้าฝันหวานไว้ มันทำได้พอระดับโอเค ไม่อืดเป็นเรือเกลือ เช่นกัน มันไม่ได้เร่งเร็วแซงไวแบบรถสปอร์ต ผมยังจินตนาการว่าถ้าน้ำเต็มลำบวกสัมภาระจะไหวไหม โดยเฉพาะ เมื่อต้องขึ้นทางลาดชันจริงๆ ยามครอบครัวออกทริปทางไกล มันก็จะรวมถึงอัตราประหยัดไม่สู้ด้วย
ด้านชุดเกียร์ CVT ตอบสนองได้ดีพอสมควร เหยียบติดเท้าขับลื่นใช้ได้ จากความร่วมมือระหว่าง GM และ Bosch การตอบสนองชุดเกียร์ทำได้ดีตลอดเวลา เวลาย้ำคันเร่ง รถจะตอบสนองทันทีไม่มีหน่วงคิดให้มากความ เสียก็แต่เครื่องยนต์ไม่ได้แรงม้ามากมายอะไรนัก บางทีเลยรู้สึกว่าเร่งแล้วรถวิ่งแซงจริง มันกลับไม่ได้รู้สึกพุ่งทะยานอย่างที่ควรจะเป็น
เข้าใจว่าเซทแบบนี้เพื่อลดการครหาของผู้โดยสาร คงเกรงว่าจะเป็นรถที่นั่งไม่สบาย ถ้าคนขับได้ฟินกับการกระแทกคันเร้งเครื่องเทอร์โบบ่อยๆ
สิ่งที่แปลกเกี่ยวกับชุดเกียร์นี้อยู่ที่คันเกียร์ ถ้าคุณเข้า โหมดปรับเกียร์เอง คุณสามารถเข้าทันทีในโหมดเกียร์ D ถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นว่า มีโหมดเกียร์ S มาให้ใช้งานด้วยทางด้านล่าง โหมดนี้ผมไม่ได้ลองเล่น แต่เข้าใจว่า เกียร์น่าจะเน้นการตอบสนองอัตราเร่งให้เร้าใจตอบโจทย์ผู้ขับขี่
สำหรับผมรู้สึกว่ามันประหลาด โหมด Sequential ควรอยู่กับเกียร์ S หรือ ไม่ เผื่อจะได้ ตอบการขับขี่เวลาเราต้องการความสปอร์ต เราอาจอยากปรับเกียร์เอง คุณคงไม่ทำในโหมดปกติ เมื่อศรีภรรยานั่งยู่ข้างมองตาเขียวปั้ด “เธอจะรีบไหน” กลับกัน ถ้าคุณต้องเร่งรีบ ภรรยาโทรตามหลายรอบแล้ว คุณยังไม่ถึงเธอเสียที ตรงนี้แหละคงอยากจะแบบมีเท่าไร ใส่ให้หมดเลย กลายเป็นเรื่อง User Interface เกียร์ ออกแบบมาไม่ถูกจริตอีก
ทางด้านระบบกันสะเทือน Chevrolet Captiva ใหม่ ให้ ระบบกันสะเทือนด้านหน้า แม็คเฟอร์สันสตัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเลือกใช้มัลติลิงค์พร้อมเหล็กกันโครง ตัวรถเป็นโครงสร้าง Unibody สไตล์รถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์ ขับแล้วได้ความนุ่มนวลนั่งสบาย พล้อยหลับง่าย ในทางตรงทั่วไป ทางหลวง ยอมรับว่า ระบบกันสะเทือนให้ความสบายอกสบายใจ ทั้งกับผู้ขับขี่และผู้โดยสา รการเก็บอาการถนนทำได้ดีในระดับน่าพอใจ
ช่วงล่างยังคงเอกลักษณเชฟวี่ ออกแข็งกระแอมติดกระด้างบ้างในบางจังหวะที่ต้องยุบยืดตัวเร็วๆ ยังดี ช่วงล่างมัลติลิงค์ลดการกระแทกจากถนนได้ดี นั่นรวมถึงยางแก้มหนา 215/60/R17 จนมอง Captiva กี่รอบ คงจะต้องบอกว่า รถมันดูใหญ่ล้อเล็ก ไม่มีความสมส่วน
ข้อดีเรื่องการซับแรงกระแทกกลายเป็นข้อเสียในบัดดล เมื่อคุณเข้าโค้ง การให้ยางแก้มหนาเตอะ รวมถึง ความสูงของรถ 1,760 มม. ช่วงระหว่างล้อ หรือ Track กว้าง 1,554 มม. และ 1,549 มม. ระหว่างทางด้านหน้า-หลัง ใช่ผมรู้ มันค่อนข้างแคบ แถมน้ำหนักมหาศาลของรถ
ก่อให้เกิดอาการโยนโค้ง ถ้าเข้าโค้งด้วยความเร็ว 80 ก.ม./ช.ม. ขึ้นไป ไม่ว่าจะโค้งกว้าง อาการยิ่งเด่นขึ้นในช่วงโค้งแคบ รถจะโยนเอนพอตัว จนบางทีคิดว่า นี่ขับ PPV หรือเปล่า
สำหรับผม ช่วงล่างรถคันนี้สอบผ่านเวลาขับทางตรง เข้าโค้งแบบบันยะบันยัง เลี้ยงคันเร่งเนียนๆ บังคับพวงมาลัยที่ไม่ได้เร็ววิบวับ คมกริปประดุจสปอร์ตไปตามทางโค้ง ถ้าคุณขับประมาณนี้ ซึ่งน่าจะเป็นส่วนใหญ่ วิถีคนมีครอบครัว ผมว่า โอเค …
สรุป Chevrolet Captiva 1.5 Premier เน้นฟังชั่นขับทั่วไป
ผมลงมาจาก Chevrolet Captiva ถามตัวเองเรื่องสำคัญว่า สิ่งที่เราอาจจะบ่นจนรถคันนี้ดูไม่ดี อาจจะตรงกับคนอื่นหรือไม่
ผมตอบตามตรงครับ ว่า มีครับ เพียงแค่คนที่ชอบรถแบบนี้อาจจะไม่ใช่คนอย่างผม คนที่ชอบขับรถเป็นอาจิณ รถสไตล์นี้เหมาะกับคนทั่วไป ไม่ได้เน้นขับรถเร็ว ต้องการฟังชั่นเยอะ จุคนมากๆ ไม่ก็จุของ ไปทำกิจกรรมได้ มีครับ
รถคันนี้ไม่ใช่ว่าสมรรถนะแย่ มันเป็นรถสมรรถนะกลางๆ ขับใช้ได้ ช่วงล่างไปทางสบายๆ ไม่ได้ว่าขับสนุกสนานถึงกึ๋นความเร็ว นัก มันมีฟังชั่นครบเครื่อง มากมาย ไม่ว่าจะกล้อง 360 องศา หลังคา พาโนรามิค ซันรูฟ ตอบการใช้งานได้
ส่วนที่ผมว่า เชฟวี่ต้องกลับไปหาเพื่อนพันธมิตรชาวจีนอย่างแรง คือ เรื่อง การจัดวางปุ่มต่าง บางอย่างไม่สอดคล้องกับการใช้งานจริง อาทิ คันเกียร์ เป็นต้น รวมถึง ชุดปุ่มต่างๆ จัดวางเอาไว้ ผิดที่ มันทำให้หยิบจับใช้งานยาก
Chevrolet Captiva Premier เหมาะแก่การใช้งานในรูปแบบครอบครัว เป็นรถยนต์นั่งสบาย ออพชั่นลูกเล่นเยอะดี เพียงแค่อย่างหวัง ถ้าคิดว่า จะเอาไปซิ่ง
ขอบคุณ เชฟโรเล็ต ประเทศไทย สำหรับการเรียนเชิญเข้าร่วมทริปทดสอบ Chevrolet Captiva
