ท่ามกลางกระแสความนิยมรถมอเตอร์ไซค์ที่เติบโจในช่วงหลายปีทีผ่านมา ความนิยมดังกล่าวส่งให้มีแบรนด์มอเตอร์ไซค์ใหม่ ๆ เข้ามาทำตลาด ไม่บ่อยนักที่คนจะมองมอเตอร์ไซค์แบรนด์แปลกๆ ใหม่ ทว่ากับ   Royal Enfield Himalayan   อาจจะเริ่มทำให้หลายคนสนใจไม่มากก็น้อย

ก่อนอื่นผมขอเท้าความถึงแบรนด์มอเตอร์ไซค์   Royal Enfield   กันสักนิด แบรนด์สองล้อค่ายนี้นับว่าเป็นแรนด์เก่าแก่แบรนด์หนึ่งในตลาด มีมาตั้งแต่ปี1901 แต่ที่ทำตลาดในไทย ในระดับโลกเรียกกันว่า   Royal Enfield (India)

จุดเริ่มที่คุณอาจจะพอทราบมาว่าแบรนด์มอเตอร์ไซค์รายนี้เดิมทีเป็นของอังกฤษ แต่ไปเติบโตโด่งดังได้ดีที่อินเดีย เป็นช่วงปี 1949 เมื่อมีการขายแบรนด์ให้กับทางอินเดีย แต่ความสำเร็จที่แท้จริงเกิดขึ้นในปี 1955 เมื่อ ทางการอินเดียต้องการมอเตอร์ไซต์ล็อตใหญ่ให้ตำรวจ และทหารใช้ลาดตระเวรชายแดน

รถ Royal Enfield Bullet   ขนาดเครื่องยนต์ 350 ซีซี ถูกส่งให้กับทางการกว่า 800 คัน  และด้วยความทนทานตลอดจนการขับขี่ที่เรียบง่ายรถเหล่านั้นสร้างชื่อเสียงให้ชาวอินเดียสนใจ และใช้งานรถยี่ห้อนี้ต่อเนื่อง มาจวบจนปัจจุบัน

ในบรรดาสินค้าที่   Royal Enfield  วางจำหน่ายในประเทศไทย เชื่อว่าปีที่ผ่านมากระแสดูจะหันไปที่เจ้ารถทัวร์ริ่งรุ่นใหม่   Royal Enfield Himalayan  รถคลาสสิคทัวร์รอง้ที่ออกแบบมาให้พร้อมลุยทุกสถานการณ์

ครั้งแรกที่เห็นรถรุ่นนี้เมื่องานมอเตอร์โชว์ปี 2017 มันเป็นคลาสสิคไบค์ที่สะกดสายตาอย่างไม่น่าเชื่อ  สำหรับผมมันดูแตกต่างจากรถมอเตอร์ไซค์สไตล์คลาสสิครุ่นอื่นแบบฉีกกฎไปเลย มันไม่ใช่คาเฟ่เรโทร , ไม่ใช่สไตล์เนคเกท หรืออะไรที่คุณนึกออกเกี่ยวกับคลาสสิค  แต่มันเป็นรถทรงคลาสสิคที่มีความสูงดูเอาเรื่องพร้อมลุย และแตกต่างจากทุกแบรนดืที่ทำรถสไตล์นี้

Royal Enfield Himalayan

Royal Enfield Himalayan

ในช่วงเริ่มโครงการ   Royal Enfield   หาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์เจ้ามอเตอร์ไซค์ของพวกเขา ไอเดียที่ฉีกกฎดั้งเดิมของมอเตอร์ไซค์คลาสสิค ความคิดใหม่ๆ “อะไรที่คนขี่มอเตอร์ไซค์ต้องการ”

สำหรับคนอินเดีย เมืองลาดัค เป็นเมืองท่ามกลางหุบเขาหิมาลายัน ที่นี่มีประวัติศาสตร์ร่วมของ   Royal Enfield  ด้วยรถมอเตอร์ไซค์แบรนด์นี้เคยถูกใช้ในการลาดตระเวรพื้นที่ประเทศแถบนี้ ทางแบรนด์จึงต้องการสร้างความแตกต่างด้วยรถมอเตอร์ไซค์ที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกเทือกเขาอันหฤโหดที่พรั่งพร้อมการผจญภัย

ไม่น่าแปลกใจนักถ้าคุณมองไปที่  Royal Enfield Himalayan  จะพบแนวทางการออกแบบที่เรียบง่าย ตั้งแต่ด้านหน้าที่มาพร้อมไฟหน้าทรงกลมขนาดใหญ่ ส่องสว่างด้วยไฟฮาโลเจน ตัวรถติดตั้งมาพร้อม   Crash Bar   จากโรงงาน พร้อมบังลมอันน้อยนิดที่พอจะทำให้ลมไม่ตีตัวคุณตลอดทาง จนเหนื่อยล้ายามขับทางไกล

Royal Enfield Himalayan

Royal Enfield Himalayan

Royal Enfield Himalayan

ด้านหน้าใช้โช๊คอัพยาว จัดวางบังโคลนหน้าไว้สูงเผื่อระยะยุบ ติดตั้งล้ออัลลอยซี่ลวดขนาด 21 นิ้วทางด้านหน้า  ส่วนด้านหลังใช้ขนาด 17 นิ้ว ทั้งคู่ลงตัวพร้อมยางกึ่งลุยติดตั้งพร้อมสรรพมาจากโรงงาน  

ตัวรถพร้อมเดินทางด้วยถังน้ำมันขนาดใหญ่ถึง 15 ลิตร แถมการออกแบบรถยังคำนึงถึงอุปสรรค์ในการลุยเป็นสำคัญ จึงมีการยกท่อไอเสียให้สูงเผื่อจะต้องลงน้ำลึกหรือเจอทางโหดๆ รวมถึงระยะต่ำสุดจากพื้นยังสูงถึง 220 มม. และไม่พอ เจ้านี้ยังมาพร้อมแผ่นบังแคร๊งเครื่องยนต์ กันกระแทกด้านล่าง และชุดเฟรมก็คนละโลกกับรถรุ่นอื่นด้วย ตัวเฟรมแบบ   Half Duplex split Cradle   ที่ออกแบบมาให้แข็งแกร่งและทนทานมาที่สุด

Royal Enfield Himalayan

ความประทับใจในสายตาแรกวันนี้มาเห็นมันอีกครั้งก่อนจะขับขี่ ยอมรับว่า เป็นรถที่ดูยอดเยี่ยมในการออกแบบอย่างถึงที่สุดจริง ๆ คนที่ชอบรถมอเตอร์ไซค์สไตล์ทัวร์ริ่งมองหารถเพื่อการเดินทาง คงจะชอบ  Royal Enfield Himalayan   มากเป็นพิเศษก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไรนัก มันเป็นคลาสสิครุ่นเดียวในตลาดตอนนี้ ที่ดูพร้อมจะเป็นเพื่อนเที่ยวกับคุณ

ผมขึ้นคร่อมตัวรถสัมผัสแรก ยอมรับเลยว่าท่านั่งออกแบบมาให้นั่งสบายค่อนข้างมาก ความสูงเบาะ 800 มม. ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนตัวสูง สำหรับไซส์คนไทยปกติ ก็อาจจะมียืนเขย่างเท้าบ้างเล็กๆ ปัญหานี้จะหมดไปถ้าใส่บูทสายลุย

Royal Enfield Himalayan

Royal Enfield Himalayan

การจัดวางอุปกรณ์การใช้งานทั้งหมด เหมือนจะคิดมาแล้วให้มันใช้งานเรียบง่ายและเข้าถึงได้เร็ว ช่วงแรก อาจจะงงๆ กับการบริหารจัดการมาตรวัดเสียหน่อย เนื่องจากมันมีหลายเข็มวัด แต่หลักๆ แล้ว ความเร็ว และรอบเครื่องยนต์เป็นอะไรที่คุณได้ใช้บ่อยมากที่สุด ที่น่าสนใจกว่านั้น ดคือรถรุ่นนี้มีเข็มทิศมาให้ในตัว มันบอกคุณได้ว่ากำลังไปทางไหน และทิศไหนอยู่ตรงข้ามหรือด้านข้างคุณบ้าง ช่วยให้คุณไม่หลงทางหากเขาไปอยู่กลางคุณเขาขาดซึ่ง   Google  นำทาง  …

ผมบรรจงสตาร์ทเครื่องยนต์เจ้า  Royal Enfield Himalayan  สัมผัสแรกยอมรับว่ามันได้อารมณ์ความดุดัน เสียงจากปลายท่อรวมถึงเสียยงเครื่องยนต์ดูหนักแน่น ขุมพลัง  LS410 เป็นเครื่องยนต์ที่พัฒนาขึ้นมาเฉพาะรุ่น มันเป็นเครื่องยนต์ช่วงชักยาว หรือ  Long Stroke  เอกลักษณ์สำคัญของ มอเตอร์ไซค์แบรนด์นี้ ให้แรงบิดสูงในรอบต่ำ

เครื่องยนต์เป็นแบบสูบเดี่ยว  จังหวะ ขนาดปริมาตรจริง 411 ซีซี  มาพร้อมสูบขนาด 78 มม.ช่วงชักยาว 86 มม. ทำกำลัง 24.5 แรงม้าสูงสุด ที่ 6,500 รอบต่อนาที ให้แรงบิด 32 นิวตันเมตรที่ 4,250 รอบต่อนาที  มาพร้อมเกียร์เดินหน้า 5 สปีด ตามสไตล์รถคลาสสิค

Royal Enfield Himalayan

แม้ว่าจะเกิดขึ้นมาเป็นรถที่เน้นการขับขี่อันสมบุกสมบัน  พร้อมเดินทางไกล หากจุดประสงค์หลักของ  Royal Enfield Himalayan  กลับเป็นรถที่ใช้งานได้ทุกวันอย่างแท้จริง ทางทีมงานอินเดียไม่ลืมจะใส่ใจความจริงคนขี่รถมอเตอร์ไซค์ พวกเขาต้องการรถที่สามารถใช้งานได้หลากหลายตามต้องการ

การใช้ชีวิตในเมืองกับ  Royal Enfield Himalayan   เป็นบททดสอบแรกที่ผมเลือกจะทดลองขับเจ้าสองล้อคันนี้ไปมาท่ามกลางการจราจรติดขัด  ข่าวดีคือ รถคันนี้มีความกว้างตัวรถไม่มากมายนัก เพียง 840 มม .ยาวเพียง 2,190 มม. ตลอดคัน ช่วยให้รถ และมีระยะฐานล้อ 1,465 มม. ช่วยให้รถมีความคล่องตัว ยามต้องซอกแซกในเมือง

สำหรับคนตัวใหญ่มันเป็นรถที่ขี่สบายพอสมควร ความกังวลเรื่องการไปสอบกระจกหูช้างชาวบ้านก็น้อยลงเนื่องจากเป็นรถที่มีความสูง ถ้าไม่เจอกระบะหรือรถตู้เรียกว่าผ่านได้หมดไร้ปัญหากังวลใจ

Royal Enfield Himalayan

อย่างเดียวที่ดูเหมือนอาจสร้างความหน่ายบ้าง คือการเบรกของรถที่ออกมาในแนวทื่อๆ แข็งๆ ไปสักหน่อย ไม่ดีเลยกัยการขับในเมือง ยิ่งคุณเจอการเบรกกะทันหัน หรือต้องเบรกในจังหวะคับขัน หลายครั้งที่ผมรู้สึกใจร่วงลงไปอยู่ตาตุ่ม  เบรกแล้วไม่มั่นใจ จนกระทั่งค้นพบว่าการใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรกเป็นทางออกที่ช่วยได้ ถ้าคุณต้องซิ่งหิมาลายันในเมือง

ขนาดตัวเล็กเรียวแบนและสูงโปร่งกลายเป็นข้อได้เปรียบของหิมาลายัน ถ้าคุณคิดเอามันมาใช้ขับในเมือง บิดไปทำงานฝ่ารถติดในวันธรรมดา ขนาดของมันแม้จะ 400 ซีซีแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาน่ากังวลเมื่อต้องผ่านที่แคบ

วันต่อมาผมไม่รอช้าจะคว้า Royal Enfield Himalayan   ไปเดินทางไกล คิดๆ แล้ว จากบ้านไปยังสวนผึ้งก็ไม่ได้ไกลมากมาย ขาละ 140 กิโลเมตรโดยประมาณ จัดแจงข้าวของเรียบร้อย ก็เริ่มออกเดินทางทันที

ก่อนเดินทางผมจัดการเติมน้ำมันเจ้าสายลุยคันนี้จนเต็มเผื่อเอาไว้วัอัตราประหยัด ด้วยน้ำมันแก๊สโซฮอลล 95 ของเอสโซ่ ขนาดความจุถัง 15 ลิตร เติมจริงอยู่ที่ประมาณ 13 ลิตร แม้นจะเริ่มตกขีดแดงแล้วก็ตามที

การเดินทางผมใช้ถนนกาญจนาภิเษกมุ่งหน้าไปทางศาลายา สามพราณ แล้วเข้าถนนเพชรเกษมตัดออกไปยังราชบุรี ถนนช่วงแรกทั้งหมดเป็นถนนลาดยางสภาพ เมื่อคุณขี่หิมาลายันไปบนถนนแบบนี แม้รถจะใส่ยางกึ่งลุย ปกติแล้วยางแบบนี้จะมีอาการกระดึ้บเล็กๆ เวลาขับขี่ด้วยความเร็วในระดับหนึ่ง (ที่ทราบเนื่องจากรถ   Honda CB500X ก็ใช้ยางแบบนี้อยู่)

หาก Royal Enfield Himalayan   กลับทำให้ผมค่อนข้างประหลาดใจ มันกลายเป็นรถที่ขี่ได้สบาย ด้วยระบบช่วงล่างทางด้านหน้าที่มีขนาดแดนหน้า 41 มม. และ ระยะยืดยุบยาวถึง 200 มม.  แถมด้านหลังแปลกกว่ารุ่นอื่นด้วยโช๊คอัพเดี่ยวแบบเดียวกับรถบิ๊กไบค์หลายรุ่น แถมตัวโช๊คยังยืดยุบได้ถึง 180 มม.  ทำให้มันเก็บอาการสะเทือนจากถนนได้ค่อนข้างดี คุณจะไม่รู้สึกถึงร่องรอยต่อถนน

แถมด้วยท่านั่งที่ออกแบบมานั่งหลังตรงทรงเดียวกับรถบิ๊กไบค์ตระกูลทัวร์ริ่งทั้งหลายมันจึงเป็นรถที่ขี่สบายเต็มความภาคภูมิ เป็นรถรุ่นแรกที่ผมขี่รวดเดียวถึงสวนผึ้งได้โดยไม่จำเป็นต้องแวะพัก (ถ้าไม่นับว่าต้องเข้าห้องน้ำ) ขับไกลๆ แล้วไม่รู้สึกปวดล้าร่างกาย

หลายคนเห็นซีซีเครื่องยนต์ 411 ซีซี แล้วคงจะคิดว่า  Royal Enfield Himalayan  ต้องออกมาเร้าใจในแบบฉบับบิ๊กไบค์เป็นแน่ ถ้าคุณคิดแบบนั้น ผมพนันเลยว่าคุณกำลังคิดผิด …

เครื่องยนต์สูบเดียวระบายความร้อนด้วยอากาศ   LS410   ไม่ใช่เครื่องยนต์ที่แรงเร้าใจอะไรมากมายนักอย่างที่หลายคนคิด มันเป็นขุมพลังที่ขับได้ดีบิดติดมือเพียงเปิดคันเร่ง รถก็พร้อมจะไปกับคุณทุกเส้นทาง แต่มันไม่ใช่รถที่เร่งเร้าใจชนิดบิดทะลุโลกอย่างที่บางคนจะเข้าใจ

Royal Enfield Himalayan

ด้วยชุดเกียร์ที่มีเพียง 5 สปีด ทำให้ในยามเดินทางไกล มันเหมาะจะเดินทางที่ความเร็ว 110-120 ก.ม./ช.ม. เท่านั้น เกินกว่านี้เครื่องจะเริ่มใช้รอบสูง และตามสไตล์เครื่องสูบเดี่ยวมันจะสั่นเริ่มขี่ไม่สบาย ผมมีโอกาสลองบิดความเร็วสูงสุดดูอยู่ครั้ง มันทำได้เพียง 140 ก.ม./ช.ม. แต่ถ้าคุณกำลังกังวลเรื่องเร่งแซงก็วางใจได้ บิดแล้วตบไปเกียร์ 4 คุณก็หายไปกับจราจรแล้ว 

ระหว่างการเดินทางผผมรู้ว่าต้องลองเอารถรุ่นนี้ไปลุยบ้างการเกิดมาเป็นรถลุยถ้าไม่เอาไปขี่ทางฝุ่นเลย คงจะตอบไม่ได้ … ว่ารถเป็นเช่นไร

ผมเลี้ยวเข้าทางชาวบ้านใช้ เส้นทางเข้าไร่นาของใครก็ไม่รู้ดูจะโหดใช่ย่อ ทางตรงนี้สำหรับถือว่าก็พอสมควรแล้ว เนื่องจากส่วนตัวไม่ใช่คนขับรถสไตล์เอ็นดูโร่เสียด้วย เมื่อเข้าทางแบบนี้แม้จไม่มีประสบการณ์เลย ผมก็รู้สึกว่า  รถขับได้ค่อนข้างง่าย โช๊คอัพที่ยืดและยุบยาวกว่าชาวบ้านทำให้มันควบคุมรถได้ง่ายมาก

ถ้าเปรียบเทียบรถที่น่าจะอยู่ในเกรดเดียวเราตัดเรื่องความคลาสสิคออกไป ผมว่ามันค่อนข้างใกล้เคียง   Honda CRF250L   เอ็นดูโร่สายลุยที่พยายามให้เป็นรถทัวร์ริ่ง

Royal Enfield Himalayan

นานมาแล้วผมเคยขี่เจ้านี่ในสนามดินเฉอะแฉะแล้วพบว่า เจ้าเอ็นดูโร่เป็นรถที่มีน้ำหนักเบาขี่สบาย แต่ท่านั่งที่สูงของมันจนชนิดที่ผมสูง 180 ซ.ม.ยังต้องยืนเขย่งขาก็ไม่แปลกนักหรอก เพราะเบาะนั่งของมันสูงตั้ง 895 มม.  ถึงจะพูดว่าเวลาขี่ทางฝุ่นเราต้องยืนมากกว่านั่ง หากความสามารถในการควบคุมก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน ผมรู้สึกว่ารถเอ็นดูโร่เป็นรถที่คุมยาก รถเบาและทรงพลังมาก มันอาจจะดีสำหรับคนที่มีประสบการณ์หรือหัดขี่รถประเภทนี้โดยตรง  แต่ถ้าคุณคิดจะกระโดจากทัวร์ริ่งมาลุยอาจยังไม่ใช่ทาง

น่าแปลกระหว่างผมลุยในเส้นทางชาวบ้าน ซึ่งมีทั้งหินทั้งฝุ่นระยะทางสั้น  Royal Enfield Himalayan  กลับไม่ทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นรถที่ขับยาก มันดูเป็นรถลุยสุภาพ คุณยืนแล้วขี่มันไปได้เรื่อยๆ สบายๆ เครื่องยนต์ 410 ซีซี ขนาดใหญ่มีประโยชน์ในเวลานี้ กำลังแรงบิดของมันชนะอุปสรรคได้สบายมาก ระยะต่ำสุดจากพื้นอาจจะไม่มากเท่าพวกเอ็นดูโร่ตัวจริง แต่ก็มากพอพาคุณผ่านอุปสรรคสำคัญๆ เหมือนกัน

Royal Enfield Himalayan

ผมเริ่มตกหลุกรักสไตล์รถลุยคลาสสิคคันนี้เข้าใจ มันขับบนทางลุยได้ดีเกินคาด จนรู้สึกว่าเราน่าจะลองฝึกประสบการณ์ขี่ทางฝุ่นดูบ้าง ผมเริ่มอยากเห้นภาพตัวเองขี่หิมาลายันไปลุยเขากระโจมมันคงสนุกไม่น้อย แต่คงยังไม่ใช่วันนี้

ผมขี่หิมาลายัน เข้าเมืองกลับสู่ชีวิตปกิ ตลอดการเดินทาง 250 กิโลเมตร จากนนทบุรีไปกลับสวนผึ้ง ผมใช้น้ำมันไปเพียง 7.3 ลิตร คิดค่าใช้จ่ายในวันที่ทดสอบ 200 บาท หากเคาะอัตราประหยัดออกมา เจ้า Royal Enfield Himalayan   ซดน้ำมันเดินทางไกล 34.24 ก.ม./ลิตร ถ้าเอาอัตราประหยัดนี้คุณกับปริมาตรถังน้ำมันที่เติมได้จริงจากถัง 15 ลิตร ถังเดียวคุณสามารถเดินทางได้กว่า 500 กิโลเมตร  สบายๆ โดยไม่ต้องเติมน้ำมัน

ถ้าถามผมว่าประทับใจอะไรใน  Royal Enfield Himalayan   คงตอบถึงเรื่องศักยภาพในการลุยทางสมบุกสมบัน และความสบายในการขับขี่เป็นสำคัญ มันเป็นคลาสสิครุ่นแรกและรุ่นเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกว่าขับขี่ดีเกินราคาน่าเป็นเจ้าของมาก สิ่งเดียวที่ผมรู้สึกว่าน่าจะดีกว่านี้ คงเป็นกำลังเครื่องยนต์ ขนาดเครื่องยนต์ใหญ่กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกแรงเลย จนหลายคนอาจจะผิดหวังเมื่อคิดเปรียบขนาดเครื่องยนต์กับบิ๊ไบค์ทัวร์ริ่งบางรุ่น

หากคุณจะซื้อตัดภาพรถทัวร์ริ่งพร้อมลุยสายแรงไปได้เลย เพราะนี่คือรถมอเตอร์ไซค์ขี่สบายพร้อมลุยในราคาที่คุณสามารถเป็นเจ้าของได้ง่าย แต่ถ้าคุณมองหารถคลาสสิคสักคนในสไตล์ที่แตกต่าง และพร้อมไปกับคุณทุกที่ พิชิตทางลุยเป็นเพื่อนคู่ใจ ผมมั่นใจว่ารถรุ่นนี้น่าจะเป็นคำตอบ แถมราคามันก็ไม่ได้แพงมากด้วย

ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com

[ngg_images source=”galleries” container_ids=”554″ display_type=”photocrati-nextgen_basic_thumbnails” override_thumbnail_settings=”1″ thumbnail_width=”200″ thumbnail_height=”160″ thumbnail_crop=”1″ images_per_page=”20″ number_of_columns=”3″ ajax_pagination=”1″ show_all_in_lightbox=”0″ use_imagebrowser_effect=”0″ show_slideshow_link=”0″ slideshow_link_text=”[Show slideshow]” order_by=”sortorder” order_direction=”ASC” returns=”included” maximum_entity_count=”500″]



แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่