นอกจากประเทศไทย เหล่าผู้ใช้รถยนต์ในดินแดนออสเตรเลียเองก็เป็นอีกกลุ่มที่นิยมการใช้รถยนต์ขุมกำลังดีเซล โดยเฉพาะ Toyota ที่รับรู้เรื่องนี้ดี และยังยืนยันจะเดินหน้าพัฒนาขุมกำลังชนิดนี้ต่อแม้กฏหมายด้านมลพิษที่เป็นของแสลงจะเข้มงวดมากขึ้นแค่ไหน หรือต้องทำให้มันกลายเป็นขุมกำลังฟูลไฮบริดก็ตาม

จากการให้สัมภาษณ์กับสื่อแบบแยกตามกลุ่มประเทศในงาน Japan Mobility Show นาย Takashi Uehara ในนามตัวแทนของบริษัท Toyota Motors บริษัทแม่ ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายงานขุมกำลัง เผยกับสื่อออสเตรเลีย Car Expert เอาไว้ว่าทางแบรนด์จะไม่มีการขีดกำหนดเส้นตายของเครื่องยนต์ดีเซลใดๆทั้งสิ้น แม้ผู้ผลิตค่ายอื่นจะเลิกพัฒนาขุมกำลังชนิดนี้ หรือขีดเส้นตายขุมกำลังชนิดนี้กันไปหลายรายแล้วก็ตาม
“เกี่ยวข้องกับเรื่องของเครื่องยนต์ดีเซล, เราไม่มีกำหนดเส้นตาย เราจะยังคงเดินหน้าการพัฒนาของเราต่อไป และไม่มีเส้นตายที่จะหยุดการผลิตหรือพัฒนาใดๆ” Uehara กล่าว “เรายังคงเห็นความต้องการและความคาดหวังจากลูกค้าของเราในออสเตรเลีย, ยุโรป, และตะวันออกกลาง ซึ่งยังมีความต้องการ(รถขุมกำลังดีเซล)ในตลาดเหล่านี้อยู่”
โดยข้อความข้างต้น จะถือว่าสอดคล้องกับตัวเลขข้อมูลยอดขายรถยนต์ของ Toyota ในประเทศออสเตรเลีย ในระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม ซึ่งเผยให้เห็นว่าทางแบรนด์มีอัตราส่วนการขายรถยนต์ที่ใช้ขุมกำลังเครื่องยนต์ดีเซล มากถึง 48.4% ซึ่งถือว่ามากกว่าปีก่อนที่เคยทำได้ 42.6% ในช่วงเวลาเดียวกัน

และแม้การยืนกรานที่จะทำรถขุมกำลังดีเซลต่อไป จะดูเหมือนพวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการลดอัตราการปล่อยมลพิษ ทว่าในความเป็นจริงพวกเขาอาจเป็นแบรนด์ที่ให้ความสำคัญและทำเรื่องนี้ให้เห็นชัดเจนก่อนใคร โดยเฉพาะจากความพยายามในการพัฒนาขุมกำลังหลากหลายรูปแบบในเวลาเดียวกัน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้หลากหลาย และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ครอบคลุมที่สุดไปพร้อมกับการค่อยๆเสริมเทคโนโลยีลดอัตราการปลดปล่อยมลพิษในเวลาเดียวกัน
“มันยังคงมีความเป็นไปได้สูงมากในการใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน การใช้พลังงานเชื้อเพลิงที่หลากหลายช่วยให้มันรองรับ(การใช้งาน)ได้หลายรูปแบบ
“ในบางประเทศอาจจะต้องการรถยนต์ไฟฟ้า และในเวลาเดียวกันก็ยังคงต้องการรถสันดาปภายใน, มันจึงไม่มีการขีดเส้นตายใดๆทั้งสิ้นในตอนนี้หรือเร็วๆนี้, และผมคิดว่าความต้องการแบบนี้จะยังคงมีต่อไป”

และแม้จะไม่ได้มีการประกาศข้อมูลที่แน่ชัด แต่ด้วยเงื่อนไขด้านมลพิษที่ค่อยๆเข้มงวดขึ้นในหลายๆประเทศ จึงทำให้หากทาง Toyota ยังคงยืนกรานที่จะทำรถขุมกำลังสันดาปภายใน โดยเฉพาะขุมกำลังไฮบริดต่อไป การที่พวกเขาจะทำให้รถยนต์เหล่านั้น สามารถดำเนินการขายต่อไปได้ ก็ย่อมหมายความว่ามันจะต้องมีเทคโนโลยีอื่นๆเข้ามาเสริมเพื่อลดอัตราการปล่อยมลพิษให้น้อยลงด้วย
ซึ่งอันที่จริง นี่ก็ไม่ใช่เรื่องหใม่เท่าไหร่นัก เพราะทาง Toyota ได้มีการทำตลาดทั้ง Toyota Hilux 48v และ Toyota Land Cruiser Prado V-Active มาแล้วตั้งแต่ปี 2024 ซึ่งทั้งสองรุ่นต่างก็เป็นรถที่ใช้ขุมกำลังไมล์ไฮบริดเหมือนกัน และก็มีความเป็นไปได้ที่ “ความไฮบริด” ของรถจะถูกยกระดับให้สูงขึ้นอีก จนกลายเป็น “รถยนต์ขุมกำลังดีเซลฟูลไฮบริด” จริงๆในอนาคตอันไกล้
“ต้นทุนของความพยายามนี้คือการที่มันจะค่อยๆหนักหนาขึ้นเรื่อยๆ และต้องคอยพิจารณาถึงความต้องการใช้งานขุมกำลังดีเซลในอนาคตอยู่เรื่อยๆ (ว่ามันสมเหตุสมผลแค่ไหน) และ (ในตอนนี้) มันก็ยังมีศักยภาพที่เป็นไปได้อยู่ (ว่าจะยังคงเป้นที่ต้องการอีกนาน)” Uehara กล่าว
“(ดังนั้น) เราจึงจะค่อยๆยกระดับการเสริมพลังด้วยระบบไฟฟ้าเข้าไป และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเวลาเดียวกัน, โดยยังคงใช่ขุมกำลังแรงบิดสูงอย่างเครื่องยนต์ดีเซล รักษามันไว ดังที่เรายังคงวิจัยและพัฒนามันต่อไปในตอนนี้”

จากข้อความทั้งหมดข้างต้น อาจจะไม่ได้มีข้อความใดเลย ที่ Toyota ระบุไว้อย่างชัดเจน ว่าพวกเขาจะพัฒนาขุมกำลังดีเซลไปในทิศทางใด นอกไปเสียจากการทำให้มันยังคงขายต่อไปได้ในยุคที่หลายคนเข้มงวดเรื่องการปล่อยมลพิษมากขึ้น
แต่หากพวกเขายังคงต้องการจะรักษาให้ขุมกำลังลูกนี้ยังคงมีอยู่ต่อไป ตราบใดที่ยังมีลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการ แน่นอนว่าพอถึงจุดๆหนึ่งขึ้นมา ยังไงทางค่ายก็ต้องทำการพัฒนาให้มันเป็นขุมกำลังดีเซล-ฟูลไฮบริดอยู่ดี และอาจจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ก็เป็นได้
