ขณะที่ Nissan GT-R R35 ต้องถูกปิดสายการผลิตไป ฝั่ง Nissan Z (400Z) ยังคงเดินหน้าต่อกับรุ่นพิเศษ เพื่อกระตุ้นตลาดเช่นเดียวกับคู่แข่งแบรนด์อื่นๆกับรุ่น “Heritage Edition”
Nissan Z Heritage Edition ถูกเปิดตัวครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่งาน ZCON โดยมาพร้อมกับโจทย์การสร้างคือการหวรรำลึกถึงรุ่นพี่ตระกูล Fairlady Z อย่าง 300ZX ที่เคยทำตลาดในช่วงยุคปี 1990’s
ความโดดเด่นของ Z รุ่นพิเศษนี้ จึงเริ่มด้วยการทำสีตัวถังใหม่ เฉด Midnight Purple อันเป็นเอกลักษณ์ ที่ทางค่ายนิยมใช้ในรถสปอร์ตสมรรถนะสูงของแบรนด์มาเนิ่นนาน โดยเฉพาะช่วงยุค 90’s อย่าง R33-R34 Skyline GT-R และแน่นอนว่ายังรวมถึง 300ZX ด้วย ก่อนที่จะกลับมาให้เห็นอีกครั้งใน GT-R R35 ในช่วงไม่กี่ปีมานี้
นอกนั้นจะเป็นการตกแต่งด้วยแถบคิ้วเหนือกรอบกระจกบานข้าง กับโลโก้ “TWIN TURBO” ฟอรนท์คลาสสิคปี 90’s สีบรอนซ์เงินเงินสไตล์ย้อนยุค ตามด้วยชิ้นส่วนสีบรอนซ์ทองอย่างชุดล้อจาก RAYS ขนาด 19 นิ้ว, สติ๊กเกอร์แถบคาดด้านล่างตัวรถ, และสติ๊กเกอร์ลายช่อมะกอกรอบโลโก้ตัว Z บนเสา C และจบงานด้านท้ายด้วยสปอยเลอร์ตูดเป็ดงานคาร์บอน กับครอบปลายท่อแบบเจาะรูไล่เบา
ภายในห้องโดยสารไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนใดๆมากมายนัก นอกไปเสียจากการเพิ่มแผ่นอลูมิเนียมตกแต่งกาบข้างประตู กับพรมรองเท้าปักลาย Heritage Edition ลงไปเท่านั้น
นอกนั้นตัวรถยังคงใช้งานออกแบบภายในห้องโดยสารเดิมๆจากโรงงาน ทั้งเบาะนั่งหุ้มหนังธรรมดา สลับหนังกลับอัลตร้าซูเอด, มาตรวัดเรือนไมล์ฟูลดิจิตอล, หน้าจออินโฟเทนเมนท์ขนาด 9 นิ้ว พร้อมระบบนำทางด้วยสัญญาณ GPS ในตัว, ระบบ Home Link, และระบบเครื่องเสียงจาก BOSE เป็นต้น
เช่นเดียวกับเครื่องยนต์ ที่ยังคงใช้บล็อคเบนซิน V6 เทอร์โบคู่ ขนาด 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 406 แรงม้า PS และแรงบิดสูงสุด 474 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านชุดเกียร์ธรรมดา 6 สปีด หรือ ชุดเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด แล้วแต่ลูกค้าจะเลือกซื้อ
โดยตัวรถ Nissan Z Heritage Edition พร้อมวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา ด้วยราคา 55,910 ดอลล่าร์ หรือราวๆ 1.78 ล้านบาท ซึ่งถือว่าแพงกว่ารุ่น Z Performance ที่ใช้เป็นร่างต้นของมันเพียง 2,940 ดอลล่าร์ หรือราวๆ 93,500 บาท เท่านั้น และนับว่าน่าสนใจมากเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับความพิเศษของตัวรถรุ่นนี้
