หลังการเผยโฉม E-Class เจเนอเรชันใหม่ ไปเมื่อเดือนเมษายน ล่าสุดทาง Mercedes-Benz ก็ได้ทำการเผยโฉมร่างวากอน หรือ 2024 Mercedes-Benz E-Class Estate ออกมา เพื่อเพิ่มทางเลือกสุดหรูให้กับนักขับสายพ่อบ้าน

2024 Mercedes-Benz E-Class Estate มาพร้อมกับรหัสประจำตัวถัง S214 ซึ่งจะล้อกันไปกับร่างต้น E-Class Saloon ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ซึ่งใช้รหัส W214 และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่มันจะมาพร้อมกับงานออกแบบช่วงครึ่งหน้าที่เหมือนกันแทบจะในทุกสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟหน้าแบบตาย้อย, กรอบกระจังหน้า, ฝากระโปรง, แก้มข้าง, และมีเพียงกันชนหน้าเท่านั้น ที่มีรายละเอียดต่างออกไปเล็กน้อย ทว่าก็ไม่ได้ต่างกันมากจนเหมือนกับเป็นตัวรถคนละพื้นฐานกัน

ส่วนจุดที่แตกต่างไปจริงๆ ก็คือตัวถังตั้งแต่แนวหลังเสา A เป็นต้นไป ซึ่งด้วยชื่อ Estate ย่อมหมายความว่ามันมากับตัวถังทรง Wagon ที่เน้นตอบโจทย์การใช้งานของครอบครัว ที่ต้องเดินทางกันหลายๆคน และมีสัมภาระให้บรรทุกมากมาย และไฟท้ายเอง แม้จะมีการเล่นเส้นสายด้านในที่คล้ายกัน แต่ตัวกรอบดูเหมือนจะมีความย้อยลงด้านล่างมากกว่าเล็กน้อย

ทว่าด้วยความลาดเอียงของเสา C ที่มากเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับ E-Class Estate รุ่นก่อนหน้า จนดูเหมือนทาง Mercedes-Benz จะได้แรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจาก CLS Shooting Brake จึงทำให้พื้นที่เก็บของสัมภาระด้านหลังของตัวรถรุ่นใหม่นี้เล็กลง จาก 640 ลิตร เหลือ 615 ลิตร

แต่ด้วยการขยายฐานล้อให้ยาวขึ้นอีก 22 มิลลิเมตร บวกกับความสูงของหลังคาด้านในอีกเล็กน้อย ทำให้หากผู้ใช้พับเบาะโดยสารตอนหลังทั้งแถว ความจุห้องเก็บสัมภาระก็จะเพิ่มขึ้นจาก 1,820 ลิตร เป็น 1,830 ลิตร แทน

ส่วนงานออกแบบภายในห้องโดยสารเอง หากเจาะจงเฉพาะในส่วนพื้นที่สำหรับผู้โดยสารตอนหน้า ก็เรียกได้ว่าเป็นการยกเบ้ามาจาก E-Class Saloon ร่างต้นมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ชุดพวงมาลัย, แผงประตู, และสำคัญสุดคือ ชุดคอนโซลหน้า พร้อมหน้าจอ MBUX โดยที่จอฝั่งผู้โดยสาร (รวมถึงอีกสองจอของผู้โดยสารด้านหลัง) จะสามารถใช้ดูคลิปวิดีโอต่างๆ บนโลกโซเชียล หรือจะใช้ดูภาพยนต์สตรีมมิ่ง แม้แต่จะเล่นเกม Angry Bird ก็ยังได้

ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือลูกเล่นกล้องเซลฟี่ ด้านบน ตรงกลางคอนโซลหน้า ที่ผู้โดยสารภายในรถ สามารถใช้มันเป็นกล้องเว็บแคม สำหรับเฟซทาม, วิดีโอคอลล์, หรือจะถ่ายคอนเทนท์ลงแอพพลิเคชัน TikTok ที่ฝังมาในระบบอินโฟเทนเมนท์ของตัวรถ ก็ยังคงมีมาให้ด้วยเป็นออพชันพื้นฐานติดรถทุกรุ่นย่อย

ด้านขุมกำลังของตัวรถ หากอิงตามสเป็คที่ส่งขายในตลาดยุโรป ก็จะมีทั้งหมด 3 รุ่นย่อยด้วยกัน

เริ่มจาก E200 ที่จะใช้เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 204 PS และแรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร และยังมีการเสริมกำลังอีกเล็กน้อยด้วยระบบมอเตอร์ Mild-Hybrid ที่มีกำลังสูงสุด 23 PS และแรงบิดสูงสุดอีก 205 นิวตันเมตร ช่วยให้รถสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ใน 7.8 วินาที และมีการล็อคความเร็วสูงสุดเอาไว้ที่ 231 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ต่อด้วย E220d ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 197 PS แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ซึ่งจะทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า Mild-Hybrid แบบเดียวกับรุ่นย่อยก่อนหน้า และจะสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ใน 7.9 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดก็จะถูกล็อคเอาไว้ที่ 230 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งหากสมรรถนะเท่านี้ยังดีไม่พอ ทาง Mercedes-Benz ระบุว่า ในอนาคตอันใกล้ พวกเขาจะเพิ่มรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบเรียง พร้อมออพชันไล่เบา ตามออกมาอีก

ส่วนรุ่นย่อยสุดท้าย (ที่มีการเปิดวางจำหน่ายในยุโรปเฟสแรก) คือ E300e ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ 2.0 ลิตร ลูกเดียวกันกับ E200 แต่คราวนี้มันจะผสานการทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่แรงกว่าเดิม ด้วยกำลังสูงสุด 129 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร

ส่งผลให้ได้พละกำลังรวมกันที่ 312 แรงม้า และสามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ใน 6.5 วินาที ขณะที่ความเร็วสูงสุดจะถูกล็อคไว้ต่ำกว่าเล็กน้อย ที่ 227 กิโลเมตร/ชั่วโมง

และเนื่องจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ว่า จะเข้ามาช่วยเครื่องยนต์ทำงาน ในลักษณะของระบบไฮบริด PHEV จึงทำให้มันมาพร้อมกับแบตเตอรี่ลูกใหญ่ ขนาด 25.4 kWh ซึ่งรองรับระยะทางในการวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าล้วนได้ไกลสุด 100 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่