ใครรู้ตัวว่าขับรถแล้วรู้สึกว่าเหมือนถังน้ำมันรั่วบ้างยกมือขึ้น? หรือเป็นคนที่มักเดินทางไกลอยู่เป็นประจำแต่อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันกลับไม่ดีเหมือนคนอื่น ดูเหมือนปัญหาที่กล่าวมาอาจทำให้พ่อบ้านหลายคนโดนภรรยาบ่นจนหูชากันมาแล้ว แต่ต่อจากนี้ไปไม่ว่าจะเป็นท่านชายหรือสาวมั่นวัยทำงาน เพียงอ่านเคล็ดลับวิชาในการขับรถให้ประหยัดน้ำมัน 14 ข้อนี้จบ เราเชื่อว่าคุณจะไม่ต้องเลี้ยวเข้าปั้มน้ำมันบ่อยอีกต่อไปแล้ว

 

 

1.น้ำมันครึ่งถังช่วยประหยัดได้มาก

 

งงล่ะสิเจอหัวข้อแรกของบทความนี้ไป เรื่องการเติมน้ำมันครึ่งถังแล้วจะช่วยให้ประหยัดขึ้นได้อย่างไร? ถ้าให้อธิบายอย่างง่ายก็คือถ้าคุณมักขับขี่รถในเมืองที่การจราจรหนาแน่นเกือบทุกวัน การที่คุณเติมน้ำมันเพียงครึ่งถังหรือน้อยกว่านั้นจะช่วยให้ประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากกว่า เพราะน้ำหนักที่น้อยลงทำให้รถเผาผลาญเชื้อเพลิงต่ำลงเช่นกัน

 

 

2.วางแผนการเดินทาง

 

ข้อสองนี้คือทริกในตำนานที่นักขับมือเก๋าหลายคนบอกนักขับหน้าใหม่ให้ทำการบ้านก่อนจะไปไหนมาไหน ซึ่งในสมัยนี้คุณไม่ต้องไปหาแผนที่มาเปิดกางพร้อมกับดูเส้นทางให้ยากวุ่นวาย เพราะปัจจุบันมีแอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนเช่น Google Maps ที่สามารถนำพาพวกคุณสู่เป้าหมายที่ต้องการได้รวดเร็วและราบรื่นที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นมันยังสามารถแสดงความหนาแน่นของรถบนถนนได้แบบเรียลไทม์อีกต่างหาก

 

 

3.ตรวจเช็ครถให้สมบูรณ์อยู่เสมอ

 

คุณผู้หญิงหรือท่านชายคนใดใช้รถอย่างเดียวไม่เคยเปิดฝากระโปรงเช็คห้องเครื่องเลย เราแนะนำว่าควรเปิดตรวจสอบดูความผิดปกติบ้าง เพราะถ้าท่านได้ยินเสียงผิดปกติหรือร่องรอยของคราบน้ำมันเครื่องรั่วซึม ท่านสามารถนำยานยนต์คู่ใจเข้ารับการแก้ไขได้ทันการณ์ นอกจากนี้การเข้าเช็คระยะให้ตรงครบทุกครั้งยังช่วยมิให้รถเกิดปัญหา และยังลดการสิ้นเปลืองน้ำมันได้ด้วย

 

 

4. 90 กม./ชม. ประหยัดน้ำมันที่สุด

 

ความเร็วตามกฏหมายกำหนดที่เราท่านมักหงุดหงิดเวลาเจอป้ายตอนขับทางไกล เชื่อหรือไม่ว่าความเร็วนี้มอบความประหยัดน้ำมันมากที่สุด… โดยจากการทดสอบรถยนต์มามากมายหลายประเภทจึงทำให้เรารู้ว่า วิ่งด้วยความเร็ว 90 กม./ชม. นั้นประหยัดน้ำมันที่สุดแล้ว นอกจากนี้หากรถของคุณมีเกียร์สปีดมากถึง 7-8-9 ตำแหน่ง ก็ให้ปรับเลื่อนเกียร์ไปที่ระดับมากสุดเพื่อลดการสิ้นเปลืองน้ำมัน อย่างไรก็ตามปัจจัยอื่นๆ เช่น ลมยาง น้ำหนักบรรทุก และความสมบูรณ์ของรถก็มีผลเกี่ยวข้องไม่แพ้กัน

 

 

5.การใช้ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติกินน้ำมันกว่าขับเอง?

 

ใช่ครับกินน้ำมันกว่า… แต่ก่อนอื่นต้องทำความใจว่าระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเหมาะกับการวิ่งบนมอเตอร์เวย์มากกว่า เนื่องจากการวิ่งบนทางราบเรียบระบบดังกล่าวสามารถควบคุมคันเร่งได้คงที่กว่าเท้ามนุษย์ ทว่าหากใช้ระบบควบคุมความเร็วบนเส้นทางสูงชันสลับลงต่ำ รถของคุณจะเร่งเครื่องบ่อยและแรงกว่าการขับด้วยตัวเราเอง โดยถ้าจะขับบนเส้นทางที่มีลักษณะเนินสลับทางลาด เราแนะว่าให้คุณประเมินการใช้คันเร่งและเกียร์ด้วยตนเอง ผลลัพธ์ที่ได้คือประหยัดกว่าตอนเปิดระบบควบคุมความเร็วแน่นอน

 

 

6.ประเมินสภาพการจราจรข้างหน้า

 

ขณะที่ขับรถทุกครั้งการประเมินสภาพการจราจรเบื้องหน้าเป็นเรื่องควรทำสม่ำเสมอ เพราะหากคุณรู้ว่าข้างหน้ามีสี่แยกไฟแดงหรือรถเริ่มชะลอตัว การถอนคันเร่งแล้วปล่อยให้รถไหลจนหยุดนิ่ง จากนั้นค่อยๆ เร่งความเร็วให้ใกล้เคียงกับรถรอบข้างคันอื่น การกระทำดังกล่าวช่วยให้น้ำมันในถังถูกใช้น้อยกว่าขับแบบเร่งเครื่องหนัก เบรกบ่อยแถมกดลึกเสียเกือบจูบท้ายรถคันหน้า

 

 

7.กดค่อยๆ เท้าเบาๆ ประหยัดได้เยอะ

 

แม้ว่าการกดคันเร่งแรงจะช่วยให้รถพุ่งไปได้เร็วกว่า แต่นั่นก็ต้องแลกมากับน้ำมันที่ไหลรินราวกับเททิ้ง ดังนั้นการกดคันเร่งอย่างแผ่วเบาจะช่วยลดการเผาน้ำมันทิ้งโดยไม่จำเป็นได้แบบเห็นผล จำไว้เสมอว่าถ้าต้องการไม่ให้แบงค์พันปลิวไปกับค่าน้ำมันบ่อย ก็ต้องกดคันเร่งแบบนิ่มนวลราวกับว่าคุณกำลังนวดหน้าให้แฟนคุณอยู่

 

 

8.ข้าวของในรถเก็บทิ้งบ้าง

 

ข้อนี้ส่วนใหญ่มักเกิดกับคุณหญิงเป็นส่วนมาก แม้คุณจะให้ความสำคัญกับเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า และเครื่องสำอางค์ แต่ถ้ารู้ว่าสิ่งไหนไม่จำเป็นก็ควรนำมันออกไปเพื่อลดน้ำหนักของรถลงบ้าง เพราะยิ่งน้ำหนักบรรทุกน้อยลงเท่าไหรรถก็ยิ่งเผาผลาญน้ำมันน้อยลงเท่านั้น

 

 

9.ติดของบนหลังคากินน้ำมันหนักกว่า

 

ดูเหมือนว่าสาวกสายขี่จักรยานรวมถึงครอบครัวที่ชอบเที่ยวจะโดนข้อนี้ไปแบบเต็มๆ โดยการนำข้าวของไปไว้บนหลังคาช่วยให้พื้นที่ในรถมีมากขึ้น แต่สิ่งที่ตามมาก็คือรถจะใช้น้ำมันมากกว่าเดิม คิดง่ายๆ ว่าราวหลังมีน้ำหนักกดลงตัวรถเพิ่มขึ้นประมาณ 3-5 กิโลกรัม อีกทั้งมันยังต้านทานการไหลของอากาศที่ผ่านตัวรถ ซึ่งผลที่ตามมาคือน้ำมันจะถูกเผาผลาญมากขึ้น 10% ยิ่งถ้าใส่ของจำนวนมากก็ทำให้อัตราสิ้นเปลืองเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

 

 

10.หมั่นเช็คลมยางอยู่เสมอ

 

จำไว้เสมอว่าการขับรถราว 2 สัปดาห์ควรตรวจเช็คเติมลมยางให้ตรงตามสมุดคู่มือทุกครั้ง เพราะหากคุณขับรถพร้อมลมยางที่อ่อนเกินไป นอกจากจะสิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้นแล้ว ผลที่ตามมาอีกอย่างคือความเสี่ยงต่อยางระเบิดจะเพิ่มขึ้นมาก ดังนั้นการตรวจเช็คลมยางให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ

 

 

11.อุ่นเครื่องก่อนขับเสมอ

 

เหมือนหัวข้อจะเป็นทิปโบราณเก่าคร่ำครึ แต่การอุ่นเครื่องรถให้อยู่ในอุณหภูมิทำงานเป็นสิ่งที่ช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันได้ดีมาก เพราะหากคุณสตาร์ทรถในตอนเช้าแล้วรีบเร่งขับออกไปทันที ตอนที่เครื่องเย็นนี่แหละน้ำมันที่ใช้สร้างกำลังงานจะถูกเผาผลาญเป็นจำนวนมาก แล้วหากคุณขับระยะสั้นๆ แค่ 3-5 กิโลเมตร ชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์จะยังทำงานได้ไม่เต็มที่ แถมน้ำมันที่ใช้ไปก็มากกว่าการขับขี่ที่ระยะทางมากกว่า ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ก่อนขับรถออกจากบ้านทุกครั้งควรอุ่นเครื่องยนต์ให้มีอุณหภูมิเหมาะสม

 

 

12.หาช่องที่รถวิ่งคล่องตัว

 

ข้อนี้ดูเหมือนว่าจะใช้ไม่ได้ผลกับการขับรถในเมืองอันมีการจราจรหนาแน่น แต่ถ้าขับรถทางไกลบนมอเตอร์เวย์หรือทางหลวง การหาช่องทางที่รถไหลไปสะดวกโดยไม่มีการเบรกหรือเร่งบ่อยครั้งจะช่วยให้คุณประหยัดน้ำมันได้มาก ซึ่งช่องทางที่เหมาะสมไม่ได้หมายความว่าจะต้องขับได้เร็วที่สุด ทว่าหมายถึงช่องทางที่คุณสามารถขับด้วยความเร็วคงที่ได้นานและไม่ต้องเบรกบ่อยครั้ง

 

 

13.อย่าขับช้าเกินไป

 

เชื่อหรือไม่ว่ามีบางคนคิดว่าการขับรถช้าๆ ราว 40-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือขับขึ้นเนินแบบช้ามากจนเต่าแทบกัดยางจะช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้มากที่สุด แต่เชื่อเถอะว่าการทำแบบนั้นไม่ช่วยให้ประหยัดน้ำมันเท่าไหร่เลย หากอยากจ่ายเงินน้อยลงก็ควรขับรถด้วยความเร็วที่เหมาะสมกับสภาพเส้นทาง เพราะการทำแบบนั้นนอกจากจะประหยัดน้ำมันแล้วยังปลอดภัยต่อตัวเองและคนใช้ถนนท่านอื่นด้วย

 

 

14. ขับขึ้นทางชันให้คิดก่อนเร่ง

 

ทุกคนที่ขับรถจนคล่องต่างรู้กันดีว่าการขับรถขึ้นเขาเป็นอะไรกินน้ำมันชนิดที่ว่าเหมือนเททิ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตนที่เร่งเครื่องรถลากน้ำหนักขึ้นเขา ดังนั้นวิธีการที่จะลดการใช้น้ำมันให้ได้มากที่สุดก็คือการคิดก่อนจะเร่ง ซึ่งวิธีการคือเมื่อเห็นเนินข้างหน้าก็ให้เร่งความเร็วมากขึ้น จากนั้นถอนคันเร่งเผื่อไว้ก่อนที่จะขึ้นถึงยอดเนินปล่อยให้ตัวรถมีแรงเฉื่อยพอที่จะไหลข้ามไปได้ ซึ่งวิธีการนี้ต้องอาศัยความชำนาญและความเคยชิน แน่นอนว่าคุณต้องคิดทุกครั้งก่อนที่ขับรถขึ้นลงภูเขา แต่เชื่อเถอะว่านอกจากจะประหยัดน้ำมันแล้วยังลดภาระการใช้เบรก และยังได้ความปลอดภัยเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก

 

ช่วยเป็นกำลังใจให้เรา

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่