อย่างที่ทุกท่านพอจะทราบกันว่า BYD Seal ก็ถือเป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้า ที่ทาง Reve Automotive กำลังเตรียมแผนจะวางจำหน่ายมันในประเทศไทยของเราเร็วๆนี้ และเพื่อการนั้น เราขอพาทุกท่านมาชมกันก่อนดีกว่า ว่ามันมีข้อมูลใดที่น่าสนใจบ้าง ?

เช่นเดียวกับ BYD Atto 3 และ BYD Dolphin ตัวรถ BYD Seal เอง ก็ถือเป็นหนึ่งในรถยนต์กลุ่ม “ท้องทะเล” จากทาง BYD ที่มาพร้อมกับความโดดเด่นด้วยการออกแบบที่เน้นการแสดงถึงความสวยงามของศิลปะแห่งท้องทะเล พร้อมเส้นสายที่โฉบเฉี่ยวเกินใครกับช่วงหน้ารถแบบ X-SHAPED DESIGN และ ไฟหน้า LED แบบ Double-U Floating ที่ออกแบบให้ดูเล็กบาง เพื่อลดแรงต้านอากาศ

นอกจากนี้ยังมี ฝากระโปรงแบบโช้คอัพ เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน ช่องเก็บของด้านหน้าความจุ 50 ลิตร, กระจกมองข้างทรงหยดน้ำ ปรับองศาอัตโนมัติเมื่อถอยหลัง, มือจับประตูที่เก็บซ่อนไปกับตัวรถ ช่วยจัดระเบียบอากาศ และ ลดแรงต้านของลม ซ่อนเก็บด้วยไฟฟ้า อัจฉริยะและเรียบหรูจะเปิดออกทันที เมื่อผู้ใช้ปลดล็อกด้วยระบบ Keyless entry

ด้านบนมาพร้อมหลังคากระจกที่ทอดยาวทั้งห้องโดยสาร หลังคากระจกพาโนรามิก 2 ชั้น เคลือบด้วย Silver-plated ช่วยให้การส่องผ่านแสงไม่เกิน 4.2% แสงแดดส่องผ่านได้ไม่เกิน 16% ขนาดใหญ่ถึง 1.9 ตรม. ให้มุมมองที่กว้าง  

และด้านหลังมาพร้อมกับฝากระโปรงท้ายไฟฟ้า ระบบป้องกันการหนีบอัจฉริยะ ตั้งระดับความสูงได้ตามความต้องการ, ไฟท้ายดีไซน์ที่ล้ำสมัย ประกอบด้วยไฟรูปหยดน้ำเรียงเป็นชั้น แฝงไปด้วยกลิ่นอายแห่งท้องทะเลแบบ Cross Tail Light กันชนหลังที่โดดเด่น มีมิติที่คมชัด ตกแต่งทั้ง 2 ข้างด้วยดีไซน์แบบรถแข่ง เช่นเดียวกับชายล่างด้านข้างตัวรถ

ด้านชุดล้อที่ให้มา เป็นชุดล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว 235/45/19 ในรุ่น Premium และ AWD PERFORMANCE และ 18 นิ้ว 225/50/18 ในรุ่น Dynamic

ส่วนขนาดและมิติตัวรถ ยาว 4,800 มิลลิเมตร, กว้าง 1,875 มิลลิเมตร, สูง 1,460 มิลลิเมตร และ ระยะฐานล้อกว้างถึง 2,920 มิลลิเมตร, รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.7 เมตร, มีค่าสัมประสิทธิแรงเสียดทาน(Cd ) ต่ำเพียง 0.219, และน้ำหนักตัวรถพร้อมใช้งาน ตั้งแต่ 2,344 – 2,631 กิโลกรัม

ภายในห้องโดยสาร มาพร้อมกับบรรยากาศโทนสีที่แตกต่างจากทั้ง Atto3 และ Dolphin อย่างสิ้นเชิง เพราะในคราวนี้ ตัว Seal จะมีแค่รุ่นภายในสีดำ ที่เน้นภาพลักษณ์หรูหรา สปอร์ต เท่านั้น

นอกจากโทนสี ตัวคอนโซลหน้าและคอนโซลกลาง ยังได้รับการติดตั้งหน้าจอสัมผัสแบบหมุนได้ขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียดสูงถึง 1080P (1920×1080) ขอบจอบาง 5.9 มม. รองรับ CarPlay สำหรับอุปกรณ์ IOS หรือ Android Auto10 ทำงานร่วมกับ ระบบเครื่องเสียง Premium acoustics มาพร้อมชุดลำโพง 12 ตัว HIFI Dynaudio Audio

ส่วนหน้าจอแสดงผลข้อมูลตัวรถด้านหลังพวงมาลัยเอง ก็เป็นแบบ Full Digital LCD ขนาด 10.25 นิ้ว และระบบแสดงผลบนกระจกหน้า หรือ Head Up Display ซึ่งสามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับผู้ขับขี่ได้ ในตัวรถรุ่น Premium และ AWD PERFORMANCE อีก

และด้วยขนาดตัวรถที่ค่อนข้างใหญ่เทียบเท่ากับรถยนต์นั่งกลุ่ม D-Segment Sedan ทำให้มันมีขนาดพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง และ สะดวกสบาย บวกกับเบาะนั่งทรงสปอร์ต สามารถปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง ในฝั่งผู้ขับ ส่วนเบาะฝั่งผู้โดยสารสามารถปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทาง และตัวเบาะคู่หน้าทั้งสองยังมีระบบระบายอากาศ และ ระบบอุ่นเบาะ เป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่มีอยู่ในทุกรุ่น

ที่พิเศษยิ่งขึ้นคือ สำหรับตัวรถในรุ่น Premium & AWD Performance จะได้เบาะนั่งกับพวงมาลัยหุ้มหนังแบบ Courtesy และตัวเบาะนั่ง ฝั่งคนขับจะได้รับการเสริมระบบปรับดันหลังได้ 4 ทิศทาง (Lumbar support) พร้อมระบบบันทึกตำแหน่ง (Memory Seat)

ด้านลูกเล่นอื่นๆภายในห้องโดยสารที่น่าสนใจ ก็ยังมีทั้ง หัวเกียร์ไฟฟ้าแบบคริสตัล, ที่วางชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สายให้ถึง 2 ช่อง, ระบบกรอง PM2.5, เบาะนั่งด้านหลัง 3 ตำแหน่ง, ฟังก์ชั่นการควบคุมด้วยเสียง ด้วยการใช้เสียงสั่งงาน ใช้หน้าจอสัมผัส และใช้ปุ่มควบคุมต่าง ๆ โดยไม่จำเป็นต้องขยับมือ, และ เบาะปรับพับแยกได้แบบ 40/60

ด้านรายละเอียดเชิงโครงสร้างและสมรรถนะ BYD Seal ก็ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานโครงสร้าง e-platform 3.0 เอกสิทธิ์เฉพาะรถไฟฟ้าบีวายดี ที่มาพร้อมกับเทคโนโยลีการติดตั้งแบตเตอรี่แบบ Cell To Body (CTB) ช่วยให้รถมีพื้นที่ภายในห้องโดยสารเพิ่มขึ้นโดยที่ขนาดตัวรถเท่าเดิม

และในขณะเดียวกัน ยังให้ความปลอดภัยเพิ่มขึ้น เนื่องจากโครงสร้างรถสามารถทนทานต่อการบิดตัวได้มากกว่า และชุดประกอบโครงสร้างแบตเตอรี่ถูกออกแบบให้สามารถปิดผนึกเข้าได้โดยตรงกับโครงสร้างรถยนต์อย่างลงตัว เพื่อให้ประสิทธิภาพการปิดผนึก และ การเสริมความแข็งของตัวพื้นฐานใต้โครงสร้างรถยนต์เพิ่มขึ้น

ด้านขุมกำลัง จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ทางเลือกตามรุ่นย่อย นั่นคือ

  • รุ่น Dynamic : มอเตอร์เดี่ยว กำลังสูงสุด 204 PS และแรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร สามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ ภายในเวลา 7.5 วินาที ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ขนาด 61.44 kWh รองรับระยะทางในการใช้งานสูงสุด 510 กิโลเมตร มาตรฐาน NEDC รองรับการชาร์จไฟระบบ DC สูงสุด 110 kW
  • รุ่น Premium : มอเตอร์เดี่ยว กำลังสูงสุด 313 PS และแรงบิดสูงสุด 360 นิวตันเมตร สามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ ภายในเวลา 5.9 วินาที ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ขนาด 82.56 kWh รองรับระยะทางในการใช้งานสูงสุด 650 กิโลเมตร มาตรฐาน NEDC รองรับการชาร์จไฟระบบ DC สูงสุด 150 kW
  • รุ่น AWD Performance : มอเตอร์คู่ กำลังรวมกันสูงสุด 530 PS และแรงบิดสูงสุด 670 นิวตันเมตร สามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ ภายในเวลา 3.8 วินาที พร้อมระบบควบคุมแรงบิดอัจฉริยะ (iTAC) ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ขนาด 82.56 kWh รองรับระยะทางในการใช้งานสูงสุด 580 กิโลเมตร มาตรฐาน NEDC รองรับการชาร์จไฟระบบ DC สูงสุด 150 kW

ในด้านระบบช่วงล่างของตัวรถทุกรุ่นย่อย ก็จะเป็นระบบกันสะเทือนอิสระทั้ง 4 ล้อ ด้วยระบบปีกนกคู่ด้านหน้า และไฟว์ลิงค์ ด้านหลัง ที่พิเศษกว่านั้นคือ สำหรับรุ่น AWD Performance จะได้โช้กที่มีกลไกวาล์วควบคุมและแปรผันแรงดันน้ำมันภายในโช้ก ตามความเร็ว ช่วยให้รถมีสเภียรภาพในการควบคุมที่ดีขึ้นในย่านความเร็วสูง

และสุดท้ายคือ ระบบเบรก แบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ แต่ในรุ่นกลาง และรุ่นบน จะได้รับการอัพเกรดไปใช้ จานเบรกเจาะรูระบายความร้อน และดิสก์เบรก 4 พอร์ท ฟิกซ์เมาท์ ทางด้านหน้าอีกด้วย

ระบบความปลอดภัยเอง ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ และ BYD Seal ก็ได้ระบบต่างๆเหล่านี้มาอย่างล้นคัน ตั้งแต่

  • ถุงลมนิรภัย 9 ตำแหน่ง
  • กล้องมองรอบคัน 360 องศาความคมชัดระดับสูง
  • เรด้าห์แบบ Millimeter-Wave 5 ตำแหน่ง
  • กล้องด้านหน้าสำหรับระบบ ADAS 1 ตำแหน่ง 
  • ระบบช่วยแจ้งเตือนการคาดการณ์การชนล่วงหน้า (PCW)
  • ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB)
  • ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตา (BSD)
  • ระบบช่วยเตือนวัตถุเคลื่อนผ่านขณะเปิดประตู (DOW)
  • ระบบช่วยเมื่อมีรถผ่านในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA-B)
  • ระบบช่วยรถเคลื่อนผ่านด้านหน้า (FCTA)
  • ระบบจดจำป้ายสัญญาณจราจร (TSR)
  • ระบบช่วยความคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC)
  • ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัจฉริยะ (ICC)
  • ระบบช่วยเปิดไฟสูงอัตโนมัติ (HMA)
  • ระบบชวยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (DAW)

และแม้จะยังไม่มีการเปิดราคาอย่างเป็นทางการ แต่ทาง Rever Automotive ก็ได้มีการเปิดเผยว่า สำหรับลูกค้าที่ทำการจับจองตัวรถในตอนนี้ จะได้รับแพ็คเกจพิเศษ REVER CARE มูลค่ารวม 230,000 บาท แถมให้ ซึ่งจะประกอบไปด้วย

  1. ดอกเบี้ยพิเศษ 1.88% ดาวน์ 25% ผ่อนนาน 48 เดือน*
  2. ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พรบ.ระยะเวลา 1 ปี
  3. บริการบำรุงรักษา ค่าแรง ค่าอะไหล่ 8 ปี หรือ 160,000 กม.*
  4. รับประกันตัวรถ (Waranty) 8 ปี หรือ 160,000 กม.*
  5. รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กม.*
  6. บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ตลอด 24 ชั่วโมง 8 ปีเต็ม*
  7. โฮมชาร์จเจอร์ยี่ห้อ ABB พร้อมการติดตั้ง*
  8. สายต่อพ่วงอุปกรณ์ไฟฟ้า หรือ VTOL
  9. สายชาร์จเคลื่อนที่ AC Portable Charger
  10. ค่าจดทะเบียนรถ*
  11. พรมเข้ารูป กรอบป้ายทะเบียน ฟิล์มหน้าจอ

* ตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนด

ซึ่งทุกสิ่งอย่างที่ไล่เรียงมา จะคุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่ายไปหรือไม่ ? พฤหัสบดีนี้ รออัพเดทข้อมูลไปพร้อมๆกันครับ

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่