ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าช่วงเวลาไม่กี่เดือนมานี้ เรามักเห็นข่าวคราวประโคมว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า อาจอยู่ในช่วงพักตัว หรือไม่ได้เติบโตไปอย่างที่คาด ไม่เว้นแม้กระทั่งในสหรัฐอเมริกา ที่อาจมีข้อมูลระบุว่ารถยนต์ในกลุ่มนี้ มียอดขายที่ดีขึ้น 2.6% ในไตรมาสแรกของปี 2024 ก็ตาม

จากข้อมูลยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่าในช่วงไตรมาสแรกของปี 2024 ผู้ผลิตสามารถขายรถยนต์ไฟฟ้าไปได้ 268,909 คัน ซึ่งหากเทียบกับยอดขายรถยนต์กลุ่มนี้ในไตรมาสแรกของปี 2023 เราอาจจะพบว่ามันมีการเติบโตมากขึ้นกว่าเดิมอยู่ 2.6% แต่ถ้ามองไปที่ตัวเลขอัตราการเติบโตแบบปีต่อปี เราก็จะพบว่ามันเป็นตัวเลขอัตราการเติบโตที่ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด

เพราะหากย้อนไปในช่วงปีก่อนๆหน้า ตัวเลขยอดขายของรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงไตรมาสแรกของปี 2022 มีอัตราการเติบโตที่มากกว่าในปี 2021 ถึง 81.2% ขณะเดียวกัน ในไตรมาสแรกของปี 2023 ตัวเลขยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าก็โตขึ้นจากปีก่อนหน้าน้อยลงกว่าเดิมอีก ที่ 46.4% และมาโตช้าสุดๆในปีนี้ ที่เพิ่มขึ้นจากเดิมปี 2.6% เท่านั้น

และหากเทียบยอดขายของรถยนต์ไฟฟ้าในไตรมาสแรกของปี 2024 เทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 ก็จะพบว่ายอดขายหดตัวลงกว่ากันถึง 15.2%

สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ ในขณะที่ผู้ผลิตอันดับรอง อย่าง BMW, Cadillac, Ford, Hyundai, Kia, Lexus, Mercedes, Rivian, และ Vinfast สามารถทำยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาได้มากกว่า 50% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2021 กันทั้งแถบ

ทว่าสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอันดับหนึ่งของโลก อย่าง Tesla พวกเขากลับสามารถขายรถยนต์ไฟฟ้าของตนเองในไตรมาสแรกของปี 2024 ได้น้อยกว่าไตรมาสแรกของปี 2023 ถึง 13.3% จึงทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของพวกเขาลดลงจาก 61.7% ในไตรมาสแรกของปีที่แล้ว ตอนนี้ลดเหลือ 51.3% ทันที ในไตรมาสแรกของปีนี้ทันที ซึ่งเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัวเลยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ารวมทุกแบรนด์นั้นมีการเติบโตน้อยลงมากๆดังที่ระบุไว้ข้างต้น

ผลจากการที่ยอดขายของ Tesla หดตัวลงยัง ไม่ได้ส่งผลถึงแค่ภาพรวมของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในภาพรวมในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ด้วยนโยบายการปรับลดราคาอย่างต่อเนื่องเพื่อดึงดูดลูกค้า ยังทำให้ผู้ผลิตค่ายๆอื่นๆได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะพวกเขาเองก็ต้องฝืนใจปรับราคารถยนต์ไฟฟ้าของตนเองลงเพื่อสู้ด้วยเช่นกัน

แน่นอนว่าเมื่อเป็นเช่นนั้น มันอาจเป็นเรื่องดีสำหรับลูกค้า และทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึง และตัดสินใจซื้อรถได้ง่ายขึ้น แต่นั่นก็ทำให้ทั้งผู้ผลิตและดีลเลอร์ประสบปัญหา เพราะในหลายครั้ง พวกเขาก็ไม่อยากจะขายรถยนต์ไฟฟ้าที่มีอยู่ในสต็อคเท่าไหร่นัก เพราะมันอาจเป็นการขายที่ขาดทุน (ซื้อจากผู้ผลิตมาตอนขายราคาเดิม แต่กว่าจะขายได้ คือตอนที่ราคารถถูกปรับให้ถูกลง ทำให้ทุนติดลบ)

และในขณะเดียวกัน ฝั่งผู้ผลิตเอง ก็อาจจะต้องสูญเงินราวๆ 6,000 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราวๆ 230,000 บาท ต่อรถการขายรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาต่ำกว่า 50,000 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราวๆ 1.85 ล้านบาท เนื่องจากไม่สามารถขายรถตามราคาที่ควรจะเป็นเมื่อคิดคำนวนจากทุนในสร้างเริ่มต้นในตอนแรกสุดได้ และน่าเสียดายที่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นปัญหาที่ยังไม่สามารถแก้ได้ในเร็ววันนี้

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่