แม้ในตอนต้นปี หลายผู้ผลิตจะคาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ในปีนี้ มีแนวโน้มจะดีมากขึ้น จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ดูมีแนวโน้มไปในทางบวก แต่จากความเป็นจริงในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น

จากการเปิดเผยข้อมูลโดย นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ระบุว่าสถิติการขายรถยนต์ของทุกแบรนด์ในประเทศไทยประจำเดือนตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา มียอดขายรวม 58,963 คัน ซึ่งถือว่าลดลงไป 8.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (เดือนตุลาคม 2565)

โดยหากให้เจาะลึกลงไปในยอดขายรถยนต์ของแต่ละกลุ่ม จะพบว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ตลาดรถยนต์ในภาพรวมของเดือนตุลาคม หดตัว เป็นเพราะยอดขายของรถยนต์ในกลุ่ม รถเพื่อการพาณิชย์ และ รถกระบะขนาด 1 ตัน  (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*) มีตัวเลขลดลงไปมาก นั่นคือ

ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน  (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*) ปริมาณการขาย 22,998 คัน ลดลง 35.1%                                

  • อันดับที่ 1 Isuzu           9,725 คัน        ลดลง 24.0%    ส่วนแบ่งตลาด 42.3%
  • อันดับที่ 2 Toyota     9,338 คัน        ลดลง 37.8%    ส่วนแบ่งตลาด 40.6%
  • อันดับที่ 3 Ford        2,539 คัน        ลดลง 49.7%    ส่วนแบ่งตลาด 11.0%

โดยในยอดขายของรถยนต์ในกลุ่มนี้ จะแบ่งออกได้อีก 2 กลุ่มย่อยด้วยกัน นั่นคือ

ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 18,673 คัน ลดลง 37.9%                                

  • อันดับที่ 1 Isuzu       8,243 คัน        ลดลง 29.9%    ส่วนแบ่งตลาด 44.1%
  • อันดับที่ 2 Toyota    7,634 คัน       ลดลง 39.3%    ส่วนแบ่งตลาด 40.9%
  • อันดับที่ 3 Ford       1,691 คัน       ลดลง 54.6%    ส่วนแบ่งตลาด 9.1% 

ตลาดรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 4,325 คัน

  • อันดับที่ 1 Toyota 1,704 คัน
  • อันดับที่ 2 Isuzu 1,482 คัน
  • อันดับที่ 3 Ford 848  คัน
  • อันดับที่ 4 Mitsubishi 231 คัน
  • อันดับที่ 5 Nissan 60 คัน

และ

– ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 36,833 คัน ลดลง 18.4%                                

  • อันดับที่ 1 Toyota      13,687  คัน     ลดลง 27.3%    ส่วนแบ่งตลาด 37.2%
  • อันดับที่ 2 Isuzu           10,962 คัน      ลดลง 22.2%    ส่วนแบ่งตลาด 29.8%
  • อันดับที่ 3 Honda      3,844 คัน       เพิ่มขึ้น 744.8% ส่วนแบ่งตลาด 10.4%*

*ทาง Toyota ระบุว่า ฝ่ายเก็บสถิตินับรถยนต์กลุ่ม SUV เป็นรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ทำให้ Honda ที่สามารถกอบโกยยอดขายจาก Honda CR-V ได้เป็นอย่างดี ถูกนำยอดขายมารวมอยู่ในกลุ่มนี้ ซึ่งหากรถอเนกประสงค์โมเดลนี้ไม่ประสบความสำเร็จตามตัวเลขที่เปิดเผยออกมา อาจทำให้ยอดรวมของรถยนต์ในกลุ่มนี้ยิ่งร่วงหนักไปอีกมากแน่นอน

นอกจากนี้ ในด้านยอดขายของกลุ่มรถยนต์นั่ง (รถเก๋ง) ที่สามารถกวาดยอดขายไปได้ 22,130 คัน กลับถือว่ามียอดเพิ่มขึ้น 13.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมี

  • อันดับที่ 1 Toyota      7,165 คัน        เพิ่มขึ้น 8.3%    ส่วนแบ่งตลาด 32.4%
  • อันดับที่ 2 Honda      3,462 คัน        ลดลง 36.5%    ส่วนแบ่งตลาด 15.6%
  • อันดับที่ 3 Mitsubishi      743 คัน         ลดลง 50.1%    ส่วนแบ่งตลาด 3.4%

ทั้งนี้สาเหตุหลักที่ทำให้ยอดขายของรถยนต์ในกลุ่มนี้มีการเติบโตมากขึ้น หลักๆแล้วก็เป็นเพราะในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์ในกลุ่ม Eco Car สามารถทำยอดขายรวมกันทุกแบรนด์ได้มากถึง 16,800 คัน ซึ่งถือว่ามีการเติบโตจากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนถึง 20.3%

จึงหมายความว่ายังมีคนไทยอีกเป็นจำนวนมาก ที่ยังคงให้ความสนใจในตลาดรถยนต์กลุ่มนี้ แม้จะไม่ได้มีความเคลื่อนไหวใดๆที่เป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มากเท่าไหร่นัก ในช่วงขวบปีที่ผ่านมา

โดยปัจจัยหลักเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่สามารถขับเคลื่อนได้อย่างลื่นไหล ผู้บริโภคยังคงชะลอการตัดสินใจซื้ออย่างต่อเนื่อง

ทาง Toyota ระบุว่า มาจากความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อที่สูงขึ้น เนื่องจากมีความกังวลต่อความสามารถในการผ่อนชำระของผู้รับสินเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ และตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน ซึ่งขับเคลื่อนด้วยกระแสการหมุนเวียนของสินเชื่อเป็นหลัก

แต่ทั้งนี้ ตลาดรถยนต์เดือนพฤศจิกายน ยังมีความหวังฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากเป็นฤดูกาลขาย “High season” ซึ่งค่ายรถยนต์ต่างมีแผนเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ พร้อมด้วยแคมเปญส่งเสริมการขายเพื่อหวังกระตุ้นยอดขายและปิดตัวเลขการขายประจำปี โดยในช่วงการจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40” หรือ  “Thailand International Motor Expo 2023” ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน- 11 ธันวาคมที่จะถึงนี้

อย่างไรก็ตาม ด้วยความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ที่ยังคงมีอยู่ ก็จะยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเจริญเติบโตของตลาดรถยนต์ทุกเซกเมนท์อย่างปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่
Tags: