คุณเคยไหมที่ อ่านรีวิว หรือบทความการทดสอบรถยนต์รุ่นต่างๆ แล้วเกิดความสงสัยในวิธีการทดสอบของสื่อผู้ทดสอบว่า มันไว้วางใจได้มากน้อยแค่ไหนกัน 

เรื่องดังกล่าวทางทีมงาน   Ridebuster.com   ตระหนักในเรื่องนี้มาเสมอ และรู้ดีว่า บทความการทดสอบรถยนต์หรือรีวิวสินค้ามีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคอย่างมาก เรามุ่งมุ่นตั้งใจจะสร้างรีวิวและการทดสอบที่ดี เป็นปณิธานที่ทางทีมงานตั้งใจมากในการรีวิวรถยนต์ และสินค้าให้ออกมาถูกต้องมากที่สุด โดยอาศัยข้อมูลการทดสอบที่ได้มาตรฐานและน่าเชื่อถือมากที่สุด 

หลักการและมาตรฐานการทดสอบรถของ   Ridebuster 

เนื่องจากปัจจุบันมีนักรีวิวสินค้ามากขึ้น ทางเว็บไซต์ จึงต้องสร้างมาตรฐานในการทดสอบ เพืื่อก่อให้เกิดความเป็นกลางในการทดสอบสูงสุด ช่วยให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์สินค้าได้ถูกต้องแม่นยำ ปราศจากการอคติ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเคลือบแคลงใจต่อผู้อ่าน โดยเรามีกฎดังนี้ 

  1. ไม่รับว่าจ้างทำรีวิว ที่มีส่วนเกี่ยวข้อกับสมรรถนะของรถ ไม่ว่าจะด้วยทางใดทางหนึ่ง 
  2. ผู้ขับขี่ทดสอบต้องอยู่ในสภาพพร้อมสมบูรณ์ ไม่เจ็บป่วย หรือเป็นโรคใดๆ ในระหว่างขับทดสอบ โดย มีการตรวจสอบสมรรถภาพ ของผู้ทดสอบ เป็นประจำทุกปี
  3. การขับทดสอบต้องได้รับรถทดสอบที่อยู่ในสภาพพร้อมให้ทำการทดสอบ จะต้องมีการตรวจสอบสภาพ ให้ตรงตามค่ามาตรฐานของผู้
  4. การทดสอบรถต้องใช้งานจริง และขับด้วยระยะทางอย่างน้อย 200 กิโลเมตรขึ้นไป ก่อนทำการรีวิวเสมอ
  5. การขับทดสอบรถยนต์รุ่นใดก็ตาม หากต้องแสดงการเปรียบเทียบกับรถที่อาจจะมีสมรรถนะ หรือความสามารถใกล้เคียงกัน  ให้ผู้ทดสอบทดลองจนมั่นใจและสามารถพิสูจน์ได้  รถคันดังกล่าว สามารถทำได้จริงตามที่กล่าวอ้างในการรีวิวเสมอ
  6. ไม่ลงข้อมูลหรือรายละเอียดใดๆ อันเป็นเท็จ ที่จะสร้างความเข้าใจผิดให้แก่ผู้อ่านหรือผู้ชม
  7. หากรถรุ่นใดก็ตามมีความสามารถพิเศษ อาทิ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4WD , ใช้พลังงานทางเลือก   E85   เป็นต้น ให้จัดทำรีวิว โดยแยกข้อมูลการทดสอบ ออกเป็นแต่ละเรื่อง และไม่จำเป็นต้องรวบยอดนำเสนอในบทความเดียว 
  8. ผู้ทดสอบรถยนต์ในเว็บไซต์จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการทดสอบจริง และผ่านการฝึกอบรมการขับขี่ปลอดภัยเบื้องต้น  อย่างน้อย 1 ครั้ง และ มีประสบการณ์ในการขับขี่ รวมถึง มีใบอนุญาตขับขี่ ถูกต้องตามกกฏหมายของ ราชอาณาจักรไทย

การทดสอบอัตราประหยัด 

ในการทดสอบอัตราประหยัด ทางทีมงานทดสอบอัตราประหยัดโดยอาศัยการทดสอบ 2 รูปแบบสำคัญ  โดยรถที่เรานำมาทดสอบ หากเป็นรถเครื่องยนต์เบนซิน จะทดสอบด้วยน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 95  ส่วนรถยนต์เครื่องดีเซล จะทดสอบด้วยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วสูตรธรรมดา 

1.วิธีทดสอบตามการใช้งานจริง 

วิธีการทดสอบตามลักษณะในการใช้งานจริง เป็นการนำรถมาขับตามระยะทางที่กำหนดบนภาวะและการจราจรที่เกิดขึ้นจริงในระหว่างการทดสอบ 

แนวทางการทดสอบดังกล่าวจะทำในเวลากลางวัน โดยผู้ขับขี่จะขับทดสอบคนเดียว จนได้ระยะทางที่กำหนด แล้วจึงทำการวัดค่าที่เกิดขึ้นจากการใช้งาน ด้วยการบันทึกค่าระยะทางและน้ำมันที่ใช้ นำมาหาอัตราประหยัดที่เกิดขึ้น 

2017Honda-CRV-Review003

โดยกำหนดให้

  • ระยะทางการทดสอบในเมืองขับขี่ระยะทางอย่างน้อย 30 กิโลเมตร ด้วยความเร็วไม่เกิน 90 ก.ม./ช.ม. แ
  • การเดินทางนอกเมืองขับขี่ด้วยระยะทางอย่าง 100 กิโลเมตร  ด้วยความเร็วในการเดินทางไม่เกิน 130 ก.ม./ช.ม. กำหนดให้ใช้ความเร็วตั้งแต่ 80-130 ก.ม./ช.ม. โดย ในช่วง 120-130 ก.ม./ช.ม ให้ใช้เพื่อการเร่งแซง

ในส่วนของ การทดสอบอัตราประหยัด จำลอง หรือ Bonn Test Mode นั้น ทางทีมงาน ขอยกเลิก กระบวนการทำสอบดังกล่าว ตั้งแต่เดือน มกราคม 2023 เนื่องจาก ค่าการทดสอบไม่สื่อ ถึงคุณสมบัติในการใช้งานจริง ของตัวรถ จากสถิติ ที่ได้รวบรวม มาตลอดหลายปี

สำหรับการทดสอบหาอัตราประหยัด จะใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ที่มีอัตราส่วนผสมเอทานอลไม่เกิน  10% หรือ แก๊สโซฮอล 95 สำหรับรถเครื่องยนต์เบนซิน และ หรือ รถที่ใช้ระบบไฮบริดที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล

ในกรณีรถยนต์คันดังกล่าวเป็นเครื่องยนต์ดีเซล ใช้น้ำมันดีเซลเกรดธรรมดาในการทดสอบ  

โดยกำหนดให้เติมน้ำมันจากปั้มที่กำหนด คือ ปั้มน้ำมัน ปตท.​และ ปั้มน้ำมันบางจาก

การทดสอบอัตราเร่ง และความเร็วสูงสุด 

การทดสอบอัตราเร่งและความเร็วสูง เป็นการทดสอบในหมวดสมรรถนะการขับขี่ โดยในการทดสอบดังกล่าว ทางผู้ขับขี่กำหนดให้ภายในรถมีผู้ทดสอบจำนวน 2 คน ทั้ง2 คนมีน้ำหนักรวมต้องไม่เกิน  200 กิโลกรัม ในระหว่างการทดสอบ 

รูปแบบการทดสอบ ทางทีมงานจะจัดหาถนนที่ห่างไกลและมีการจราจรเบาบาง ที่มีผิวถนนแบบลาดยางในการทดสอบอัตราเร่ง 3 รูปแบบ โดยอาศัยเครื่องมือช่วยในการเก็บข้อมูล  

1.การทดสอบ 0-100 ก.ม./ช.ม. ทดสอบอัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่งจนถึงความเร็ว 100ก.ม./ช.ม. โดยทำการเหยียบคันเร่ง 100% ไม่ปิดระบบควบคุมการทรงตัว

2.การทดสอบอัตราเร่ง 0-160 ก.ม./ช.ม. การทดสอบ อัตราเร่ง 0-160 ก.ม./ช.ม.​ จะจัดทำในรถที่มีอัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม.​ต่ำกว่า 8 วินาทีเท่านั้น โดยมุ่งเน้นในกลุ่มรถที่มีสมรรถนะสูง อาทิ รถสปอร์ต หรือ Hig Performance Car

3.อัตราเร่ง 80-120 ก.ม./ช.ม.  การทดสอบอัตราเร่ง 80-120 ก.ม./ช.ม. เพื่อเปรียบเทียบการที่รถยนต์หนึ่งคันเร่งเพื่อแซงรถอีกคัน เมื่อใช้ความเร็วในระหว่างการเดินทาง โดยเรากำหนดให้รถวิ่งที่ความเร็ว 80 ก.ม./ช.ม. แล้วเร่งโดยเหยียบคันเร่งเต็มที่ ไปยังความเร้ว 120 ก.ม./ช.ม. สำหรับรถเกียร์ธรรมดา ให้ตัดเกียร์ลงต่ำกว่า แล้วจึงทำอัตราเร่งไปยัง ความเร็วที่กำหนด 

การทดสอบ การเบรก
ทางทีมงาน จะทำการทดสอบการเบรกของรถ เพื่อเปรียบเทียบ และเข้าใจประสิทธิภาพ ระบบ เบรก บนเส้นทางเดียวกับ ที่ใช้ทำการ ทดสอบอัตราเร่ง โดย จะทำติดต่อกัน 2 รอบ เว้นห่าง แต่ละรอบ 5 นาที เพื่อ ลดความร้อนเบรก จากครั้งแรก

การทดสอบความเร็วสูงสุด 

การทดสอบความเร็วมากกว่ากฎหมายที่กำหนด เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่ทางทีมงานจำเป็นต้องทำการขับทดสอบเพื่อศึกษาขีดจำกัดของรถในระหว่างการขับขี่ด้วยความเร็วสูง ว่ามีความปลอดและมั่นใจในการขับขี่ระดับ เมื่อผู้ใช้อาจจำเป็นต้องขับด้วยความเร็ว 

การศึกษาดังกล่าวทำในพื้นที่เปิดที่มีความสามารถในการทำความเร็วได้ ในรูปแบบถนน 3 หรือ 2 เลน บนเส้นทางแบบพื้นราบ 100% มีความยาวเส้นทาง 3.5 กิโลเมตร  พร้อมระยะเบรกที่ปลอดภัย

จากนั้นเก็บข้อมูลโดยอาศัยผู้ทดสอบและตัวเลขบนหน้าปัด พร้อมบันทึกวีดีโอ เพื่อให้เห็นอัตราเร่งที่เกิดขึ้นจนถึงความเร็วสูงสุดอย่างชัดเจน แล้วสรุปผลจนนำมาประกอบบทความรีวิว แต่ไม่เผยแพร่ภาพ ในระหว่างกา

การทดสอบทางลุย

การทดสอบทางลุย หรือ ออฟโรด กำหนด ขึ้นมาให้ สำหรับรถยนต์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะในการขับขี่ โดยจำเป็นต้องมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ 4WD หรือ ระบบ ขับเคลื่อน AWD ที่มีความสามารถในการขับทางสมบุกสมบัน และตัวรถต้องมีใต้ท้องสูงจากพื้นไม่น้อยกว่า 210 มม.

การทดสอบ จะเป็นการขับขี่ในภูมิประเทศจริง ในสถานที่จริง ซึ่งจะเปลี่ยนไปตามความเหมาะสม ในแต่ละ ฤดูกาล และสภาพอากาศ รวมถึง รถที่นำมารีวิว ในบางกรณี อาจจะทดสอบในสถานที่ปิด เช่นสนามทดสอบ เพื่อความปลอดภัย ของ รถ และบุคลากรของ Ridebuster.com

การทดสอบ รถยนต์ไฟฟ้า

ในการทดสอบรถยนต์ไฟฟ้า ทางทีมงาน Ridebuster ได้มีการวงมาตรฐานในการทำงาน ไว้ดังนี้

การวัด อัตราประหยัด

การวัด อัตราประหยัดไฟ ใช้ กระบวนกรรมวิธี คล้ายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป โดยการชาร์จไฟฟ้ากลับไปยังระดับเดิม ก่อนขับทดสอบ

ในการนี้ เพื่อให้ข้อมูลถูกต้อง ทางทีมงาน เลือก การชาร์จที่ระดับ 80% ของแบตเตอร์รี่ ด้วยของมูล State of Charge จาก OBD II หาไม่สามารถเชื่อมต่อได้ จะใช้วข้อมูลจากหน้าจอขับขี่ แล้วชาร์จด้วยโหมด DC จนถึงระดับ เดิม และวัดค่าพลังงานที่ได้ จากการชาร์จไฟเข้า ตามข้อมูล ของผู้ให้บริการ และ ระยะทางบนรถ

กระบวนการนี้ ใช้กับทั้ง การวัด อัตราประหยัดในเมือง และนอกเมือง โดยไม่จำกัด ผู้ให้บริการตู้ชาร์จ

ส่วนการวัดอัตราเร่ง จะใช้กระบวนการเดียวกับรถยนต์สันดาปปกติ จับเวลา ด้วยอุปกรณ์ เดียวกัน

การจัดทำข้อมูล 

ในการรายงานผลการทดสอบที่เกิดขึ้น ทางทีมงานจัดให้ มีการจัดทำแผ่นรายงานข้อมูล ซึ่งจะแนบไปกับการรายงานผลการทดสอบแบบ  Full Review   ทุกครั้ง จะไม่มีรายงานในการทดสอบกลุ่ม

ในการทดสอบเพื่อการรีวิวของทีมงาน   Ridebuster.com  เรายึดถือความเป็นมาตรฐานและการทำงานอย่างมืออาชีพ เพื่อนำมาสู่ข้อมุลที่น่าเชื่อถือ ทางเราไม่มีเจตนาส่งเสริมหรือสนับสนุนในการขับขี่รถยนต์ด้วยความเร็วจนเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน การทำงาน เราทำความเร็วเพื่อนำผลทดสอบมาประกอบการรีวิว จนได้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในระหว่างการใช้งานจริง