แม้จะเงียบหายจากประเทศไทยของเราไปนานสองนาน แต่ล่าสุด Honda Freed กำลังจะได้รับการปรับโฉมใหม่เข้าสู่เจเนอเรชันที่ 3 และข้อมูลของมันก็หลุดออกมาก่อนจะเปิดตัวในวันพรุ่งนี้พอดิบพอดี

2025 Honda Freed มาพร้อมกับการปรับเปลี่ยนตัวรถใหม่ทั้งหมดในระดับ “All-New” ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการผลัดโฉมเข้าสู่เจเนอเรชันที่ 3 เป็นที่เรียบร้อย หลังจากที่เจเนอเรชันก่อนหน้าถูกนำออกมาทำตลาดมาแล้วเป็นระยะเวลากว่า 9 ปี

โดยสำหรับการปรับโฉมใหม่ในครั้งนี้ ก็แน่นอนว่าจะเริ่มกันตั้งแต่งานตกแต่งภายนอก ซึ่งถูกปรับใหม่ ให้ดูมีความ “เป็นกล่อง” และ “มินิมอล” มากกว่าเดิม จากที่เคยใช้เส้นสายแบบ หน้าลิ่ม ติดแหลมนิดๆ ในเจเนอเรชันที่ 1 และ 2 คราวนี้ช่วงหน้าตัวรถ จะดูมีความป้าน และเป็นเหลี่ยมสันมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะตัวกระจังหน้า หรือกันชนหน้า และกรอบไฟหน้าก็ด้วย

ไม่เว้นแม้กระทั่งเส้นสายด้านข้างกับหลังคา ที่จะมีความเป็นเหลี่ยมตัดตรง จากแนวเสา A ไปจนถึงเสา D ส่วนด้านท้ายรถ ยังไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากยังไม่มีภาพหลุดออกมา แต่ก็คาดว่าจะมีความเป็นกรอบเหลี่ยมเล็กๆเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดนั้นก็เข้าใจได้ว่าเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระทางด้านหลัง และทำให้ห้องโดยสารดูโปร่งสบายมากยิ่งขึ้น

*ภาพเรนเดอร์

ดังนั้น หากเจาะไปที่เลขมิติตัวถังรถ ซึ่งมีข้อมูลหลุดออกมาแล้วเช่นกัน ว่าจะอยู่ที่ 4,310 มิลลิเมตร ในด้านยาว, 1,695 มิลลิเมตร ในด้านกว้าง และ 1,750 มิลลิเมตร ในด้านสูง หรือ หากเป็นรุ่น Kloster ที่เป็นรุ่นยกสูง ใส่อุปกรณ์ตกแต่งเสริมเผื่อลุย คล้าย Mitsubishi Xpander Cross Hybrid / Suzuki XL7 Hybrid ก็จะสูงกว่ารุ่นปกติอีก 25 มิลลิเมตร

เราก็จะพบว่ามันมีขนาดตัวด้านยาวที่มากขึ้นกว่าเดิม ถึง 45 มิลลิเมตร และสูงกว่าเดิมราวๆ 40 มิลลิเมตร ด้วยกัน แต่ระยะฐานล้อยังคงเท่าเดิมที่ 2,750 มิลลิเมตร เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าแท้จริงแล้ว มันจะยังคงใช้โครงสร้างแพลตฟอร์มเดียวกันกับตัวรถโฉมก่อนหน้าอยู่

*ภายในของตัวรถโฉมปัจจุบัน

ด้านงานออกแบบภายในห้องโดยสาร แม้จะยังไม่มีรูปเผยออกมา แต่สื่อต้นทางระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่ทาง Honda จะอ้างอิงงานออกแบบสุดมินิมอลจาก Honda Jazz โฉมปัจจุบันที่วางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้ตัวรถดูมีความทันสมัยขึ้นมาก และยังดูเป็นมิตรต่อผู้ใช้มากขึ้นด้วยการเพิ่มวัสดุบุนุ่ม หรือวัสดุ Soft Touch ให้มากขึ้น

แต่สิ่งที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งานรถได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ก็คือการปรับปรุงแนวกระจกบานหน้าใหม่ ให้มีความตั้งตรงกว่าเดิม เพื่อเพิ่มทัศนวิสัย ในการสังเกตสิ่งต่างๆรอบข้างที่ดียิ่งขึ้น และการจัดตำแหน่งปุ่มควบคุม รวมถึงช่องเก็บของต่างๆ ยังได้ถูกปรับเปลี่ยนและจัดระเบียบใหม่ เพื่อให้การใช้งานลูกเล่นต่างๆมีความคล่องตัวกว่าเดิม

และท้ายสุดคือเรื่องของพื้นที่ภายในห้องโดยสาร ที่ในคราวนี้ จะยังคงมีให้เลือกทั้งแบบ เบาะ 2 แถว 5 ที่นั่ง และแบบเบาะ 3 แถว 6 ที่นั่ง หรือ 7 ที่นั่ง และแต่ความชอบของผู้ใช้

แต่ไม่ว่าลูกค้าจะเลือกรถที่มาพร้อมกับจำนวนเบาะกี่ตำแหน่ง เบาะแถว 2 จะมีฟังก์ชั่นในการพับราบเสมอ เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการเก็บสัมภาระ หรือ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถทำเป็นห้องนอนในยามที่นำรถไปท่องเที่ยวแคมป์ปิ้งยังสถานที่ต่างๆได้ด้วย

ส่วนที่นั่งในเบาะแถว 3 คาดว่าจะยังคงใช้วิธีพับเก็บเอาไว้ทางด้านข้างเช่นเดิม ซึ่งใช้แบบนี้กันมาตั้งแต่ตัวรถเจเนอเรชันแรกที่เคยวางจำหน่ายในประเทศไทย

ด้านขุมกำลังตัวรถ หากเป็นตัวรถรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินล้วน 4 สูบเรียง ขนาด 1.5 ลิตร จะยังคงให้กำลังสูงสุดเท่าเดิม คือ 131 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 155 นิวตันเมตร

แต่หากเป็นรุ่นไฮบริด ก็จะมีการเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของขุมกำลัง จากแบบ Mild Hybrid ที่ผสานการทำงานระหว่าง เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง 1.5 ลิตร Atkinson Cycle กำลังสูงสุด 110 PS กำลังสูงสุด แรงบิดสูงสุด 134.3 นิวตันเมตร กับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 29.5 PS และแรงบิดสูงสุด 160 นิวตันเมตร

เป็นแบบ “ไฮบริด e:HEV” ที่จะอาศัยการทำงานร่วมกัน ระหว่าง เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง 1.5 ลิตร Atkinson Cycle กำลังสูงสุด 98 PS กำลังสูงสุด แรงบิดสูงสุด 127.5 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ที่ให้กำลังรวมกันสูงสุด 109 PS และแรงบิดสูงสุดอีก 253 นิวตันเมตร แทน

และแม้ตัวเลขกำลังสูงสุดของขุมกำลังใน Freed e:HEV จะดูใกล้เคียงกับ City e:HEV ในบ้านเรา แต่มันกลับทำงานร่วมกับระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ คลัทช์คู่ 7 สปีด ไม่ใช่ระบบเกียร์อัตโนมัติ e-CVT แต่อย่างใด และยังมีตัวเลือกระบบขับเคลื่อนทั้งแบบ ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า กับแบบ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ด้วย (เผื่อไว้สำหรับลูกค้าชาวญี่ปุ่น ที่มีความจำเป็นจะต้องนำรถไปใช้ขับฝ่าถนนที่เต็มไปด้วยหิมะ)

ด้านตัวเลขอัตราสิ้นเปลือง หากเป็นรุ่นซึ่งใช้ขุมกำลังเบนซินล้วน ก็จะสามารถทำตัวเลขตามเคลมได้ที่ 20.5 กิโลเมตร/ลิตร ตามมาตรฐาน WLTC และหากเป็นรุ่นขุมกำลังไฮบริด ก็จะสามารถทำตัวเลขตามเคลมดีสุดได้ที่ 24.5 กิโลเมตร/ลิตร ตามมาตรฐาน WLTC ซึ่งถือว่าค่อนข้างประหยัดมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับตัวรถเจเนอเรชันแรกที่วางจำหน่ายในไทย

ฝั่งระบบความปลอดภัย แน่นอนว่าตอนนี้ สำหรับตัวรถ Honda Freed ทุกรุ่นย่อย จะได้รับการติดตั้งระบบ Honda Sensing มาให้เป็นออพชันพื้นฐานตั้งแต่ออกโรงงาน และมันก็เป็นรุ่นอัพเกรด ด้วยกล้องตรวจจับวัตถุด้านหน้าแบบใหม่ ที่สามารถจับภาพได้ในมุมกว้างมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ตัวรถยังมีเซนเซอร์ตรวจจับวัตถุผ่านสัญญานโซนาร์อีก 8 ตัว ติดตั้งทางด้านหน้ากับด้านหลัง เพื่อช่วยกันทำงานกับกล้องหน้าสำหรับตรวจจับวัตถุ และส่งไปประมวลผลในส่วนของระบบความปลอดภัยต่างๆที่ให้มา โดยเฉพาะ ระบบป้องกันการชนด้านหน้า ทั้งมุมตรง และมุมเฉียง ระบบช่วยเบรกทั้งขณะเดินหน้า และถอยหลัง เป็นต้น

*ภาพเรนเดอร์

ท้ายสุด คือเรื่องราคาสำหรับการวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น จากข้อมูลที่เราได้รับมา แหล่งข้อมูลต้นทางระบุว่า จะเริ่มต้น ตั้งแต่ 2.45 ล้านเยน หรือราวๆ 583,000 บาท ไปจนถึง 3.1 ล้านเยน หรือราวๆ 737,500 บาท ซึ่งเท่ากับว่ามันจะแพงขึ้นกว่าตัวรถโฉมเดิมอยู่ที่ราวๆ 100,000 เยน หรือประมาณ 23,700 บาท

ส่วนกำหนดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะเกิดขึ้นภายในวันที่ 9 พฤษภาคม ปี 2024 หรือก็คือ วันพรุ่งนี้ และจะพร้อมวางขายจริงในประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง ในวันที่ 27 มิถุนายน 2024

ส่วนมันจะมีโอกาสถูกนำมาวางจำหน่ายในประเทศไทยอีกครั้งหรือไม่ หลังจากที่ Honda Automobile เจ็บช้ำจาก Honda Freed เจเนอเรชันแรกไปเมื่อหลายปีก่อน เราก็มีแต่จะต้องรออัพเดทข้อมูลกันต่อไปเท่านั้น (แต่อย่างน้อย ก็ดูเหมือนว่า คำตอบจะไม่ถึงกับ “ไม่แน่นอน” เลยเสียทีเดียว ในตอนนี้)

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่