อาจจะจริงอยู่ว่า Tesla มักประสบความสำเร็จในการสร้างยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าได้ในแทบทุกประเทศที่พวกเขาไปทำตลาด แต่นั่นอาจไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาในประเทศเกาหลีใต้ ณ เวลานี้

เพราะจากรายงานล่าสุด ระบุว่าในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทาง Tesla สามารถขายรถยนต์ไฟฟ้าของพวกเขาได้เพียง 1 คันเท่านั้น ในประเทศเกาหลีใต้ แม้ว่าในปี 2023 ที่ผ่านมา พวกเขาจะสามารถขายรถยนต์ของตนเองให้กับชาวโสมขาวได้มากถึง 13,885 คันก็ตาม

โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Tesla ไม่สามารถสร้างยอดขายที่น่าประทับใจให้กับตนเองได้ดีเท่าไหร่นัก ในเดือนมกราคม ที่ประเทศเกาหลี หลักๆแล้ว ก็มีสาเหตุเดียวกันกับที่หลายๆผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในเกาหลีใต้พบเจอ จนทำให้พวกเขาขายรถยนต์ไฟฟ้าในเดือนดังกล่าวรวมกันได้น้อยลงกว่าเดือนธันวาคมปี 2023 ถึงเกือบ 80%

นั่นคือ เกิดจากการที่ทางภาครัฐ ได้มีการประกาศปรับนโยบายมอบเงินอุดหนุนค่าตัวรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ ซึ่งเป็นการปรับเม็ดเงินลง ส่งผลให้ชาวเกาหลีใต้ต้องคิดหนักมากขึ้น จากค่าตัวรถที่สูงขึ้น

ประกอบกับในตอนนี้ สถานีชาร์จส่วนใหญ่ในเกาหลีใต้ โดยเฉพาะสถานีแบบ Wall Charge ที่แม้มีจำนวนมากเป็นอันดับต้นๆของโลก เมื่อเทียบอัตราส่วนที่ตั้งต่อประชากรผู้ใช้ แต่ก็ไม่ได้เป็นสถานีชาร์จแบบชาร์จเร็ว (DC Charge) ทำให้ชาวเกาหลีใต้ไม่อยากเป็นผู้ใช้หน้าใหม่ ที่ประสบปัญหาในการรอ หรือหาสถานีชาร์จ ที่หนักอยู่แล้วตอนนี้ ให้ยิ่งซ้ำหนักกว่าเดิมไปอีก

ส่วนปัญหาถัดมาคือ เรื่องความเชื่อใจต่อเทคโนโลยีระบบรถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับตัวแบตเตอรี่ ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการลุกไหม้ในขณะที่รถกำลังจอดชาร์จอยู่ หรือหลังเกิดอุบัติเหตุ เช่นในปี 2020 และ 2021 ที่เคยเกิดกรณีรถยนต์ไฟฟ้าไฟใหม้อยู่หลายครั้งในเกาหลีใต้ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต และยังมีกรณีรถบัสไฟฟ้าเกิดไฟไหม้ขณะใช้งานอีก จนกลายเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติมาแล้ว ณ ช่วงเวลาดังกล่าว

แต่สาเหตุที่ทำให้ Tesla ได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษ เพราะในตอนนี้รถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์ที่ส่งไปวางจำหน่ายในเกาหลีใต้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นรถยนต์ที่ผลิตและประกอบจากโรงงานในประเทศจีน ซึ่งชาวเกาหลีใต้ไม่ได้เชื่อใจในคุณภาพด้านงานผลิตเท่าไหร่นัก (ปกติก็ไม่เชื่อใจเรื่องความปลอดภัยของตัวแบตเตอรี่อยู่แล้ว ยิ่งมาบอกว่าผลิตในจีน ก็ยิ่งไม่เชื่อใจมากกว่าเดิมอีก)

และจากปัญหาที่ภาครัฐได้มีการปรับนโยบายอุดหนุนราคารถยนต์ไฟฟ้าใหม่ดังที่เราระบุไว้ในข้างต้น ยังทำให้รถยนต์ไฟฟ้าจาก Tesla มีราคาแพงกว่าคู่แข่งเจ้าอื่นๆเป็นพิเศษด้วย เพราะนอกจากการลดเงินอุดหนุนแล้ว ทางภาครัฐยังมีการลดเพดานราคารถยนต์ ที่จะได้รับส่วนลดในระดับต่างๆลงด้วย

จึงทำให้ลูกค้าที่ต้องการจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ยิ่งได้รับส่วนลดการอุดหนุนน้อยลงไปอีก เพราะราคารถยนต์ตั้งต้นของแบรนด์นี้ เกินเพดานขั้นต่ำที่กำหนดไว้

ท้ายที่สุดคือดูเหมือนว่าลูกค้ากลุ่มหลัก ที่ต้องการจะใช้รถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์ ได้ครอบครองรถยนต์ที่ตนเองอยากได้กันไปเกือบหมดแล้ว จึงทำให้ตอนนี้มีแต่ลูกค้าที่ช่างใจเหตุผลในการซื้อจากเรื่องอื่นมากกว่าแค่เรื่องแบรนด์เพียงอย่างเดียวมากขึ้น

และเท่ากับว่าตอนนี้ทาง Tesla มีลูกค้าที่ต้องการรถยนต์จากแบรนด์ของพวกเขาจริงๆน้อยลง ซึ่งเราคงต้องมาดูกันต่อว่าแล้วทางแบรนด์จะแก้ปัญหาต่อไปอย่างไร ?

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่