กระบะ Tesla Cybertruck ถือเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่ใครหลายคนจับตามองกันอย่างต่อเนื่อง มาตั้งแต่การเผยโฉมต้นแบบครั้งแรกเมื่อปี 2019 และในที่สุด มันก็ได้ถูกเผยร่างขายจริงออกมาแล้ว ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

Tesla Cybertruck ตัวขายจริง ยังคงมาพร้อมกับหน้าตาที่แหวกแนวไม่หนีไปจากตอนที่มันยังเป็นร่างต้นแบบเท่าไหร่นัก นั่นคือการออกแบบด้วยแรงบันดาลใจจากการผสมผสานไอเดียล้ำๆของภาพยนต์เรื่อง Blade Runner เข้ากับรถสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก “Wet Nellie” ในภาพยนต์เรื่อง James Bond : The Spy Who Love Me ที่ถูกดัดแปลงมาจากรถ Lotus Esprit S1 รุ่นปี 1976 ซึ่งตัวรถประกอบภาพยนต์คันที่ว่านี้ ปัจจุบันก็อยู่ในการครอบครองของ Leon Musk เจ้าของและผู้ก่อตั้ง Tesla อยู่แล้วด้วย

นั่งจึงส่งผลให้ตัวรถกระบะสุดล้ำคันนี้ มีเส้นสายตรงถังแบบงปริซึม ด้วยหลังคาแบบ 3 เหลี่ยมทางด้านบน จรดมุมจากแนวเส้นตัดด้านหน้าตัวรถ และเส้นตัดด้านท้ายตัวรถ ซึ่งตรงบริเวณเส้นตัด ก็จะเป็นที่ตั้งของแถบไฟหน้าและไฟเบรกที่อาจจะดูเรียบง่าย แต่ก็ดูทันสมัยไปในตัว

นอกจากนี้ ด้วยการออกแบบหลังคาในลักษณะข้างต้น ทำให้กระจกบานหน้าของตัวรถมีขนาดที่ใหญ่โต และพาดผ่านมาจนเกือบจะถึงตำแหน่งเหนือศรีษะผู้โดยสารแถวหน้า แต่กระนั้นบริเวณเหนือหลังคา ก็ยังเป็นแบบกระจกพาโนรามิคให้อยู่ดี โดยที่มันจะเปิดมาถึงบริเวณเหนือเส้นขอบประตูคู่หลังเท่านั้น

ส่วนตัวกระบะหลังที่ยาว 1,800 มิลลิเมตร และ กว้าง 1,200 มิลลิเมตร ก็จะมีบานสไลด์เพื่อปิดซ่อนของสัมภาระที่ผู้ใช้เก็บเอาไว้ให้เสร็จสรรพ ซึ่งหากยังไม่พอ ผู้ใช้ก็สามารถเก็บสัมภาระไว้ที่ช่องเก็บของด้านหน้าใต้ฝากระโปรงได้อีก

ด้านมิติตัวรถก็จะมีก็จะมีตัวเลขอยู่ที่ 2,413.3 มิลลิเมตร ในด้านกว้าง, 5,682.9 มิลลิเมตร ในด้านยาว และ 1,790.8 ในด้านสูง ส่วนฐานล้อยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขใดๆทั้งสิ้น แต่เท่านี้ก็ถือว่ามันมีขนาดตัวรถที่ใหญ่พอๆกับรถ Full-Size Truck ซึ่งใหญ่กว่ารถกระบะ Pick-Up Truck ไปอีกหนึ่งขั้นนั่นเอง

และแม้จะไม่ได้ใช้โครงสร้างตัวถังแบบ Body On Frame เหมือนรถกระบะทั่วๆไป แต่เลือกใช้โครงสร้างแบบ Exoskeleton เหมือนรถยนต์นั่งมากกว่าแทน แต่มันก็ยังมีลูกเล่นที่พร้อมลุยใส่เข้ามาให้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้วยการออกแบบหน้ารถ และท้ายรถให้ยื่นออกจากแนวล้อเพียงเล็กน้อย จนทำให้มันมีมุมปะทะและมุมจากมากถึง 35 องศา และ 28 องศา ตามลำดับ

ไม่เพียงเท่านั้น ชุดล้อที่ให้มาแม้จะยังไม่มีการบอกขนาดหน้ากว้าง แต่ก็รัดด้วยยาง All-Terrain ขนาด 35 นิ้ว พร้อมฝาครอบกันลมที่ตัวล้อ ซึ่งสามารถถอดออกได้ เผื่อในกรณีที่ผู้ใช้อยากจะเอารถไปลุย แล้วกลัวโคลนติด

ส่วนตัวช่วงล่างเอง ก็เป็นแบบอิสระทั้ง 4 ล้อ พร้อมระบบโช้กถุงลม ซึ่งไม่เพียงแต่สามารถแปรผันความแข็งอ่อนได้ตามสภาพถนน ทว่ายังสามารถแปรผันความสูงต่ำตัวรถ ได้ตามสถานการณ์ และทำให้มันสามารถยกระดับความสูงใต้ท้องรถได้มากสุดถึง 443 มิลลิเมตร

และท้ายสุดในด้านงานออกแบบภายนอกก็คือ หากคุณสังเกตให้ดี จะพบว่าตัวรถรุ่นนี้ มีสีตัวถังเพียงสีเดียวเท่านั้น นั่นคือสีเหล็ก ซึ่งจะบอกว่ามันคือสีตัวถังที่ถูกทำขึ้นมาก็ไม่ใช่ แต่เป็นสีจากเนื้อเหล็กของงานตัวถังจริงๆเลยต่างหาก ซึ่งทาง Tesla ระบุว่า มันไม่ได้ทนแค่ต่อการเกิดสนิมเท่านั้น แต่ยังทนต่อการกระแทก กระเทาะ จากสิ่งของต่างๆตั้งแต่รอยขีดข่วนเบาๆ ไปจนถึงรอยค้นทุบอีกด้วย

และถ้านั่นยังสาแก่ใจไม่พอ แผ่นเหล็กที่เป็นชิ้นงานตัวถังรถรอบคัน ยังสามารถทนต่อ ลูกกระสุนปืน ขนาด .45 ACP และ 9 มม. ได้อีกด้วย รวมถึงตัวกระจกเอง ก็ทนต่อแรงกระแทกเช่นกัน โดยทางค่ายระบุว่ามันสามารถทนแรงกระแทกจากลูกเบสบอลที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว 112 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้สบายๆ

ฝั่งงานออกแบบภายในห้องโดยสาร ยังคงเน้นความเรียบง่าย ด้วยคอนโซลหน้าที่สะอาดตา มีเพียงพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน และชุดหน้าจอกลางขนาด 18.5 นิ้ว เท่านั้น ที่ยื่นออกมาจากคอนโซล แต่เพื่ออรรถรสในการโดยสาร มันจึงได้รับการติดตั้งชุดจอขนาด 9.5 นิ้ว สำหรับผู้โดยสารตอนหลังมาอีก 1 ชุด บริเวณถ้านหลังของช่องเก็บของกลางเบาะคู่หน้า

และยังมีลำโพงสเตอริโอภายในห้องโดยสารอีก 15 ตัว รวมซับวูฟเฟอร์อีก 2 ตัว, ระบบแท่นชาร์จโทรศัพท์มือถือไร้สาย, พอร์ทชาร์จไฟอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบ USB-C 65W ซึ่งสามารถใช้ชาร์จคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปได้, และสุดท้ายคือการติดตั้งชุดกรองอากาศ HEPA เพื่อความสะอาดของอากาศภายในห้องโดยสารอีกด้วย

ด้านไฮไลท์ในส่วนระบบขับเคลื่อน ก็จะถูกแบ่งออกเป็น 3 แบบด้วยกัน เริ่มจาก รุ่น Dual Motor หรือมอเตอร์คู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ให้กำลังรวมกันสูงสุด 610 PS พร้อมทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายใน 4.3 วินาที และมีการจำกัดความเร็วสูงสุดเอาไว้ที่ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง

พร้อมรองรับระยะทางในการใช้งานสูงสุด 547 กิโลเมตร/ชาร์จ หรือเพิ่มขึ้นเป็น 755+ กิโลเมตร/ชาร์จ เมื่อมีการติดตั้งแบตเตอรี่เสริมไว้ที่กระบะท้าย มีขีดความสามารถในการชาร์จไฟด้วยความแรงสูงสุด 250 กิโลวัตต์ และสามารถชาร์จไฟสำหรับระยะทางในการใช้งาน 206 กิโลเมตร ใน 15 นาที

ส่วนรุ่นถัดมา คือรุ่น Cyberbeast ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ Tri Motor หรือ ระบบสามมอเตอร์ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้กำลังรวมกันสูงสุด 857 PS พร้อมทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายใน 2.7 วินาที และมีการจำกัดความเร็วสูงสุดเอาไว้ที่ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง

พร้อมรองรับระยะทางในการใช้งานสูงสุด 515 กิโลเมตร/ชาร์จ หรือเพิ่มขึ้นเป็น 705+ กิโลเมตร/ชาร์จ เมื่อมีการติดตั้งแบตเตอรี่เสริมไว้ที่กระบะท้าย มีขีดความสามารถในการชาร์จไฟด้วยความแรงสูงสุด 250 กิโลวัตต์ และสามารถชาร์จไฟสำหรับระยะทางในการใช้งาน 235 กิโลเมตร ใน 15 นาที

และรุ่นสุดท้าย คือรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งยังไม่มีการวางจำหน่าย จึงทำให้ทางค่ายบอกได้แค่ว่า มันจะ สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายใน 6.7 วินาที และมีการจำกัดความเร็วสูงสุดเอาไว้ที่ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง พร้อมรองรับระยะทางในการใช้งานสูงสุด 402 กิโลเมตร/ชาร์จ เท่านั้น

ขณะที่ขีดความสามารถในการบรรทุก ทางค่ายระบุว่าตัวรถ 2 รุ่นแรก จะสามารถรับน้ำหนักบรรทุกได้มากสุด 1,134 กิโลกรัม และสามารถรองรับน้ำหนักในการลากจูง ได้สูงสุด 4,990 กิโลกรัม ซึ่งทั้งนี้ยังไม่รวมถึงรุ่นมอเตอร์เดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลัง ว่าจะทำได้เหมือนรุ่นกลางและรุ่นใหญ่สุดหรือไม่ ?

ด้านราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ในตอนนี้มีเพียงการประกาศราคาสำหรับลูกค้าในประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ด้วยตัวเลขเริ่มต้น 60,990 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราวๆ 2,140,000 บาท ในรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งกว่าจะพร้อมส่งมอบและคอนเฟิร์มสเป็คที่แน่นอนให้กับลูกค้าได้ คือภายในปี 2025

ส่วนรุ่นกลาง Dual-Motor ก็จะสนนราคาที่ 79,990 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราวๆ 2,807,000 บาท ขณะที่รุ่นท็อป Cyberbeast จะสนนราคาที่ 99,990 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราวๆ 3,510,000 บาท

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่