ในช่วงฤดูฝนแบบนี้ เชื่อเลยว่าหลายคนที่รักรถคงจะเริ่มมองหายางชุดใหม่มาใส่ให้เจ้าคู่หูคู่ใจในการเดินทาง ยิ่งในเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ยางรถยนต์รุ่นใหม่ๆ จะเปิดตัวทำตลาด และหนึ่งในยางรถยนต์ที่หลายคนสนใจก็น่าจะไม่พ้น ยางรถยนต์ยี่ห้อ Bridgestone
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เชื่อว่าหลายคนคงจะได้ยินเรื่องราวของยางประหยัดน้ำมัน ที่เพียงคุณใส่ยางประเภทนี้ก็สามารถประหยัดน้ำมันได้ทันที แถมยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอีกต่างหาก เนื่องจากยางรถยนต์ประเภทยางประหยัดน้ำมัน ถูกผลิตเพื่อให้ใช้งานได้ยาวนานกว่า และง่ายต่อการกำจัดในยามหมดอายุการใช้งาน
สำหรับผมเองก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไรหรอกว่า ยางประหยัดน้ำมันจะสามารถทำให้รถเราประหยัดมากขึ้น แต่วันนี้ก็ได้เวลาพิสูจน์แล้ว หลังคุณแม่สุดที่รักใช้ยางรถยนต์ติดรถเดิมมายาวนานกว่า ปีครึ่ง ท่านวิ่งไปแล้ว 70,000 กิโลเมตร โดยประมาณ รถยนต์ Suzuki Ciaz อีโค่คาร์จากค่ายซูซูกิ ดั้งเดิมก็มาพร้อมกับยาง Bridgestone รุ่น EP 150 ตอบโจทย์เรื่องการใช้งานอย่างดี ตั้งแต่วันแรกที่ออกรถมาจนถึงวันนี้ ก็คงสมควรแก่เวลาเปลี่ยนใหม่
ผมเองก็เพิ่งจะเห็นว่าทาง Bridgestone ออกยางรถยนต์ซีรี่ย์ Ecopia รุ่นใหม่ ตัว EP300 มาวางจำหน่าย ยางตัวใหม่เคลมว่าประหยัดกว่าเดิม , เบรกสั้นกว่าเดิม และที่สำคัญมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเดิม โดยเทียบกับยางในเวอร์ชั่นก่อนหน้า EP 200 แต่รถแม่ผมติดรถเดิมเป็น Bridgestone EP 150 งานนี้ก็เห็นทีจะต้องขอลองท้าพิสูจน์ว่า ยางประหยัดน้ำมันสมัยนี้เขาจะเจ๋งจริงกันแค่ไหน
สถานที่เปลี่ยนยาง ศูนย์บริการ Cockpit สาขาราชพฤกษ์
จะหาซื้อยางรถยนต์ Bridgestone ที่ไหนเลยจะดีกว่าร้าน Cockpit ศูนย์บริการรถยนต์ที่วางใจได้เสมอมา ผมเพิ่งทราบว่า แถวบ้านผมราชพฤกษ์ก็มีสาขา Cockpit มาเปิดแล้ว ผมจึงเข้าไปสอบถามเรื่องยาง Bridgestone Ecopia EP300 ก็ได้รับคำตอบว่า ของมาลงเรียบร้อย ว่าแล้วก็พาคุณแม่เลี้ยวรถเข้า Cockpit มาเปลี่ยนยาง Bridgestone EP300 รุ่นใหม่ จะได้มั่นใจเวลาท่านเดินทาง
ระยะทางกว่า 70,000 กิโลเมตร เศษๆ ถึงเวลาจากลายางติดรถ Bridgestone EP150 กันแล้ว ช่างจัดการถอดล้อและยางเดิมติดรถ ให้บริการรวดเร็วฉับไวทันใจอย่างยิ่ง
ผมเดินมาสำรวจยางเดิม ก็แอบประหลาดใจว่ายางรถยนต์ที่กรำศึกบนถนนมากว่า 7 หมื่นกิโลเมตร น่าจะสักหรอจนเกือบหมดหน้าตัก แต่ยางเดิมติดรถ Bridgestone Ecopia EP 150 ยังดูมีเนื้อยางให้ใช้งานได้อีกสักราวๆ 5-6 มิลลิเมตร จากที่กะด้วยสายตา นั่นก็หมายความว่ามันน่าจะใช้ได้อีกระยะใหญ่ ผมอนุมานว่า น่าจะใช้ได้อีก 20,000 กิโลเมตร โดยประมาณ เพราะยางรถยนต์เราควรจะเปลี่ยนเมื่อเนื้อยางเหลือเพียง 1.5 มิลลิเมตร
ภาพเปรียบเทียบยาง Bridgestone EP 150 (ยางเดิมติดรถ) และ Bridgestone EP300
บริการทันใจแบบนี้ไม่นานยางชุดใหม่ก็พร้อมใส่รถ Suzuki Ciaz ของคุณแม่แล้ว เนื่องจากเดิมที่ยางดูสูงไป ผมจึงปรับขนาดยางใส่รถใหม่มาเป็น 195/60/R15 ซึ่งมีวงรอบล้อขนาดใกล้เคียงกับยางเดิม
ก่อนใส่ผมขอพี่ช่างสำรวจความแตกต่างยาง Bridgestone EP300 กับยางเดิมติดรถ อย่างแรกที่สังเกตได้ชัด ก็ไม่พ้นลายดอกยาง EP300 แตกต่างจาก EP 150 ชัดเจน โดยเฉพาะไหล่ยาง มีการออกแบบที่ทาง Bridgestone เรียกว่า “Deeper Lug dept” เพิ่มความลึกของไหล่ยางเพิ่มอายุการใช้งานที่ยาวนานมากขึ้น
ส่วนตรงกลางของยางทาง Bridgestone ออกแบบให้ชุดยางมีการกระจายแรงกดสม่ำเสมอ Optimized Crown Shape ช่วยเพิ่มการรีดน้ำของยางบนถนนเปียก และลดแรงต้านทานการหมุนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนปลายดอกยางใช้การออกแบบ chamfering sipe ให้ช่วงบั้งยางมีปลายโค้งมน ช่วยลดการบิดตัวและทำให้หน้ายางสัมผัสพื้นได้ดี ช่วยในการเกาะถนนและเบรกได้ดีขึ้น
เมื่อจับเนื้อยาง ผมรู้สึกว่าเนื้อยาง Bridgestone EP300 ค่อนข้างแปลกแตกต่างจากยางอื่นๆ ที่เคยสัมผัสชัดเจน ทาง Bridgestone บอกว่า พวกเขาใช้เทคโนโลยี Nano Pro-tech เป็นสูตรพัฒนาโมเลกุลในเนื้อยางใหม่ ช่วยให้มีประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันมากกว่า ยางประหยัดน้ำมัน Bridgestone Ecopia EP200
จะเป็นอย่างไร เดี๋ยวได้รู้กัน ผมเดินทางพร้อมกับคุณแม่ ที่มาร่วมนั่งเป็นสักขีพยานในการทดสอบยางประหยัดน้ำมัน Bridgestone Ecopia EP 300 สัมผัสแรกของยางหลังจากเปลี่ยนมาใหม่หมาดๆ รู้สึกว่ารถออกตัวดีขึ้นกว่าเดิมในระดับหนึ่งมันให้อัตราเร่งที่ดีขึ้นจนพอสัมผัสได้ทันที
ขับมาสักระยะ ผมเริ่มรู้สึกว่ายาง Bridgestone EP300 ให้ระดับความเงียบที่น่าพอใจ ถ้าเทียบกับยางเดิมที่ใส่ติดรถออกมา ย้อนความเมื่อครั้นตอนรถออกมาใหม่ๆ ความเงียบไม่ใช่สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปแต่ยังได้ความรู้สึกของความนุ่มนวลในการขับขี่มากขึ้น ร่องถนนเล็กๆ บางส่วนไม่สะท้านเข้ามาในระบบช่วงล่าง ช่วยให้รถขับได้สบายขึ้นกว่าเดิม จนถึงขนาดคุณแม่ผมพล้อยหลับไป แถมระหว่างขับผมดันไปเจอจังหวะที่ต้องเบรกฉุกเฉินอยู่หลายครั้ง ผมรู้สึกว่าการเบรกของยางประหยัดน้องใหม่ทำได้ค่อนข้างดี และมั่นใจ ใช้น้ำหนักเบรกเท่าเดิม แต่กลับสามารถลดความเร็วได้ดีกว่ายางเดิม เสริมความรู้สึกปลอดภัยในการขับขี่
ความสบายมากขึ้นในการขับขี่จากความนุ่มและความเงียบ ตลอดจนความมั่นใจจากระยะเบรกที่สั้นลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัดของยาง Bridgestone Ecopia EP300 ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้รถเปลี่ยนไป ผมขับไปเที่ยวนครปฐมก่อนกลับมาบ้าน ที่เห็นได้ชัดคืออัตราประหยัดบนหน้าปัดดีขึ้นกว่าเดิมราวๆ 1-2 ก.ม./ลิตร จากเดิมที่เราขับได้อัตราประหยัดเฉลี่ยราวๆ 16 ก.ม./ลิตร ด้วยน้ำมันแก๊สโซฮออลแบบ E20 หลังจากขับมากกว่า 100 กิโลเมตร บนหน้าปัดชี้ว่าอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 17.8 ก.ม./ลิตร
ผมโบกมือลาคุณแม่ พร้อมความมั่นใจหลังจากใส่ยาง Bridgestone Ecopia EP300 ว่า ยางชุดใหม่จะช่วยให้ผมมั่นใจยามขับขี่ของคุณแม่ ในทุกเส้นทางที่ท่านไป การเลือกยางเป็นเรื่องสำคัญมาก และวันนี้ผมดีใจที่ตัดสินใจไม่ผิดที่ไว้วางใจ Bridgestone Ecopia EP300 ยางรถยนต์ประหยัดน้ำมันที่มีดีมากกว่าแค่เซฟค่าเดินทางในกระเป๋า หากยังให้ความปลอดภัยมากขึ้นอีกด้วยครับ
ชอบกดไลค์ใช่กดแชร์ ขอบคุณทุกกำลังใจสำหรับพวกเรา ridebuster.com