หลังเปิดตัวในประเทศจีนไปเพียงไม่นาน MG4 โมเดลใหม่ เจเนอเรชันที่ 2 ก็เตรียมมีรุ่นพวงมาลัยขวาอย่างรวดเร็ว พร้อมประกาศว่ารอเจอกันได้เลยปีหน้า ในประเทศออสเตรเลีย

จากข้อมูลโดยสื่อแดนจิงโจ้ Drive.au.com ระบุว่าตอนนี้ทาง MG Australia ได้มีการระบุว่าพวกเขาเริ่มวางแผนที่จะทำตลาดรถ MG4 รุ่นใหม่ เจเนอเรชันที่ 2 เอาไว้แล้ว โดยมีกำหนดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน หรือก็คือช่วงไตรมาส 2 ของ ปี 2026
โดยแม้จะบอกว่าเป็นตัวรถเจเนอเรชันที่ 2 แต่แหล่งข้อมูลต้นทางระบุว่า MG4 รุ่นใหม่ จะถูกวางขายควบคู่ไปกับ MG4 รุ่นเดิม ซึ่งคาดว่าจะได้รับการเสริมลูกเล่นบางอย่างเข้าไปเพื่อเพิ่มความสดใหม่ และยังคงมีตัวเลือกขนาดแบตเตอรี่ 3 ระดับด้วยกัน กับมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับขับเคลื่อนตัวรถทั้งแบบขับเคลื่อนล้อหลัง และขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ดังเดิม
ส่วนตัวรถ MG4 รุ่นใหม่ ก็จะยังคงมาพร้อมกับทางเลือกระบบขับเคลื่อนด้วยล้อหน้าเท่านั้น และคาดว่าจะถูกวางตำแหน่งการตลาดไว้ต่ำกว่า เพื่อเพิ่ม ความเข้าถึงง่ายให้กับผู้ที่สนใจ แม้ว่าในตอนนี้ขั้นตอนการประเมินราคาจำยังอยู่ในช่วงของการหารือกันภายในบริษัทอยู่ก็ตาม

“สำหรับตัวรถรุ่นใหม่โมเดลปี 2026 ที่เป็นรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า คือรถที่แตกต่างออกไป (จาก MG4 รุ่นดั้งเดิม), มันเหมาะสำหรับการใช้งานในเมืองเป็นอย่างดี” Peter Ciao ประธานกรรมการบริหารสูงสุดของ MG Motor Australia กล่าว
โดยสาเหตุที่ทางผู้บริหาร กล้ายืนยันกว่า MG4 รุ่นใหม่ จะมีความเหมาะสมสำหรับการใช้งานในเมืองมากกว่ารุ่นพี่ นั่นก็เพราะตัวรถจะมาพร้อมกับรูปทรงนี้เน้นความโปร่ง โล่งภายในห้องโดยสารมากกว่าเดิม และยังมาพร้อมกับขนาดตัวถังด้านกว้าง 1,842 มิลลิเมตร, ด้านสูง 1,551 มิลลิเมตร กับด้านยาว 4,395 มิลลิเมตร ซึ่งยาวกว่าเดิม 100 มิลลิเมตร และยังมีระยะฐานล้อยาวกว่ากันด้วย จาก 2,705 มิลลิเมตร ในรุ่นดั้งเดิม เป็น 2,750 มิลลิเมตร ในรุ่นใหม่
ส่วนแบตเตอรี่เอง หากอิงตามตัวรถสเป็คที่วางจำหน่ายในประเทศจีน ก็จะพบว่าตัวรถมีแบตเตอรี่ให้เลือก 2 ขนาดด้วยกัน นั่นคือแบต LFP ขนาด 42.8 kWh ที่รองรับระยะทางในการใช้งานสูงสุด 437 กิโลเมตร/ชาร์จ และรุ่นแบต LFP ขนาด 53.95 kWh ที่รองรับระยะทางในการใช้งานสูงสุด 530 กิโลเมตร/ชาร์จ
ซึ่งจากตัวเลขข้างต้นจะเห็นได้ว่าแอบเยอะกว่า MG4 รุ่นดั้งเดิมอยู่เล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากในขณะที่ตัวรถมีขนาดใหญ่กว่า และมีแนวโน้มที่น้ำหนักตัวจะมากกว่า แต่มันก็ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังค่อนข้างพอดีตัว กับกำลังสูงสุด 163 แรงม้า PS และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรเท่านั้น
ด้านโอกาสที่มันจะถูกนำมาวางจำหน่ายในประเทศไทย ก็ถือว่ามีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เพราะอย่างน้อยที่สุด เมื่อตัวรถถูกส่งไปทำตลาดในประเทศออสเตรเลียได้ แสดงว่าการทำให้รถที่มีร่างพวงมาลัยขวาแล้ว ถูกส่งมาทำตลาดในประเทศไทย ก็คงไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่นัก หรือไม่เช่นกัน ก็อาจจะมีการขึ้นไลน์ผลิตร่วมกับ MG4 รุ่นดั้งเดิมไปเลย แต่จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ตอนนี้ ยังไม่มีใครทราบได้ในตอนนี้