Kia AD

Home » ก้อง สมเกียรติ จันทรา จากเด็กแว๊นชลบุรี สู่นักบิด MotoGP คนแรกของประเทศไทย

Kia AD

Suzuki AD

มอเตอร์สปอร์ต

ก้อง สมเกียรติ จันทรา จากเด็กแว๊นชลบุรี สู่นักบิด MotoGP คนแรกของประเทศไทย

ในหลายปีที่ผ่านมา จุดสูงสุดของวงการมอเตอร์สปอร์ตของรถมอเตอร์ไซค์ประเทศไทย คือเวทีการแข่งขัน Moto2 ซึ่งยังคงเป็นเพียงรุ่นรองเท่านั้นในการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก MotoGP แต่หลังจากนี้ “ก้อง สมเกียรติ จันทรา” จะเป็นผู้เปลี่ยนประวัติศาสตร์นั้น

จากการประกาศข้อมูลอย่างเป็นทางการเมื่อไม่กี่วันก่อน ซึ่งระบุว่า “ก้อง สมเกียรติ จันทรา” นักบิดดาวรุ่งหนึ่งเดียวของไทย ในเวทีการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รุ่น Moto2 ได้สิทธิ์ในการเลื่อนขั้นขึ้นไปแข่งขันในรุ่นใหญ่สุด ซึ่งก็คือรุ่น MotoGP ภายใต้สังกัด “Idemitsu LCR Honda Asia Team”

โดยในอดีตที่ผ่านมามีแค่เพียงการส่งไปแข่งในรุ่น Moto2 และ Moto3 อยู่ 6 คนด้วยกัน (ไม่รวม “ก้อง”) ได้แก่

  • ฟีม – รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ (GP125/Moto 2)
  • ติ๊งโน๊ต – ฐิติพงศ์ วโรกร (Moto2)
  • ชิพ – นครินทร์ อธิรัฐภูวภัทร์ (Moto3)
  • สแตมป์ – อภิวัฒน์ วงศ์ธนานนท์ (Moto2)
  • เคเค – เขมินท์ คูโบะ (Moto2)
  • ก๊อง – ธัชกร บัวศรี (Moto3)

ทำให้ “ก้อง” จะได้ถูกจารึกชื่ออย่างเป็นทางการว่าเจ้าตัวคือ นักบิดไทยคนแรก ที่ได้สิทธิ์ในการแข่งขันในศึก MotoGP รุ่นใหญ่สุดทันที หลังจากที่ประเทศไทยของเราไม่เคยมีนักแข่งในรุ่นนี้มาก่อนเลยนับตั้งแต่มีการจัดแข่งขันศึกมอเตอร์ไซค์ชิงแชมป์โลก

เริ่มหลงไหลในความเร็วจากการเป็นเด็กเกาะขอบสนาม และเป็นเด็กแว๊นหลังถนน

สำหรับประวัติโดยคร่าวของ “ก้อง สมเกียรติ จันทรา” เบื้องต้นแล้ว ก้อง เกิดวันที่ 15 ธันวาคม ปี พ.ศ. 2541 โดยมีภูมิลำเนาหรือบ้านเกิดอยู่ในจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีหลายสิ่งอย่างคอยหล่อหลอมให้เจ้าตัวหลงไหลในโลกของการแข่งขันด้วยรถจักรยานยนต์

ไม่ว่าจะทั้งการมีสนามแข่งขันระดับประเทศอย่าง พีระเซอร์กิต ซึ่งมีการจัดแข่งขันประจำอยู่ใกล้บ้าน โดยมีพี่สาวเป็นคนพา ก้อง ไปดูการแข่งขันในสนามใกล้บ้านแห่งนี้อยู่หลายครั้ง และยังรวมถึงการมีกลุ่มคน หรือกลุ่มเด็กที่หลงไหลในการทำรถซิ่งมากมายในตัวจังหวัด

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก ที่ก่อน ก้อง จะกลายเป็นเป็นนักแข่งในสนามอย่างจริงจัง เจ้าตัวเองก็เคยเป็นเด็กแว๊นมาก่อนเมื่อครั้งยังเป็นวัยเยาว์ ซึ่งเจ้าตัวก็เคยให้สัมภาษณ์และยอมรับอดีตของตนเองในเรื่องนี้ในการให้สัมภาษณ์ต่อหน้าสื่อฯไทย

แต่ในการเปิดเผยข้อมูลเดียวกัน เจ้าตัวก็ได้มีการเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ขณะที่ตนเองเป็นเด็กแว๊นอยู่นั้น ก็เห็นเหล่าผู้คนที่แว๊นเล่นด้วยกันเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้น จึงเริ่มคิดว่ามันอันตรายเกินไปที่จะเสี่ยงต่อ

เมื่อประกอบกับการที่ทางบ้านเอง แม้จะไม่เห็นด้วยในตอนแรก แต่ด้วยความมุ่นมั่นของตัว ก้อง ทางบ้านจึงให้เงื่อนไขสำคัญว่า หากเจ้าตัวรักในความเร็วจริงๆ รักในการแข่งขัน ก็ไปลงแข่งในสนามจริงๆจังๆ จึงทำให้ก้องเริ่มมุ่งหน้าสู่เวทีการแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์ในสนามแข่งอย่างถูกต้องจริงๆจังๆสักที

เข้าสู่การแข่งขันระดับมืออาชีพ

จนกระทั่งในวัย 9 ขวบ ขณะที่เขาเริ่มเข้าสู่วงการแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์ในสนาม เจ้าตัวก็ทั้งสั่งสมประสบการณ์ และมีผลงานที่โดดเด่นขึ้นเรื่อยๆในวงการแข่งขันระดับมือสมัครเล่น

ในปีเดียวกันนั้นเอง ทาง A.P. Honda ก็ได้การเปิดรับสมัครเหล่าเยาวชนที่สนใจการแข่งขันรถจักรยานยนต์ในรูปแบบเซอร์กิต ภายใต้ชื่อโครงการ Honda Racing School* ขึ้น โดยเป็นรอบที่จะจัด ณ สนามพีระ เซอร์กิต พอดี และ ก้อง ก็ไม่พลาดที่จะส่งตัวเองไปเข้าร่วมในโครงการนี้เช่นเดียวกัน โดยมีทางบ้าน โดยเฉพาะพี่สาวเป็นผู้สนับสนุน เพื่อหวังเดินทางสู่การเป็นนักแข่งมืออาชีพอย่างเต็มตัว แม้หากว่ากันตามจริง ตัวเลขอายุดังกล่าว จะถือว่าค่อนข้างช้า สำหรับเด็กที่อยากเป็นนักแข่งโดยกำเนิดก็ตาม

และด้วยความสามารถที่มี จึงทำให้ทาง Honda ตัดสินใจรับ ก้อง เข้าเป็นส่วนหนึ่งของนักบิดในสังกัด A.P. Honda Racing Thailand เพื่อลงแข่งในศึกชิงแชมป์ประเทศ โดยมี ฟีม – รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ นักแข่งรถจักรยานยนต์ในเวที Moto2 คนแรกของไทย เป็นอาจารย์ที่คอยบ่มเพาะฝีมือของก้องอีกที และมีนักบิดระดับตำนานอย่าง Casey Stoner กับ Mick Doohan เป็นไอดอลและแรงบันดาลใจสำคัญในการลงแข่งเวทีสองล้อทางเรียบ

แน่นอน ด้วยผลงานการแข่งขันที่โดดเด่น ทั้งการคว้าชัยชนะ และการทำเวลาสถิติสนามของรุ่น อยู่หลายปี จึงทำให้ในปี 2013 ทางต้นสังกัดได้ติดชื่อ ก้อง วัย 15 ปี ให้เป็นหนึ่งในนักบิดเยาวชนกว่า 600 คนที่ต้องถูกคัดเลือกเพื่อคว้าสิทธิ์ในการเข้าร่วมศึก Honda Asia Talent Cup ซึ่งจะจัดขึ้นอย่างเต็มฤดูกาลครั้งแรกในปีถัดไป

โดยการแข่งขันที่ว่านี้ มี Honda บริษัทแม่เป็นผู้ดูแลการแข่งขัน และที่สำคัญคือมี Alberto Puig ผู้จัดการทีม Repsol Honda MotoGP เป็นหัวหน้าทีมคัดเลือกนักแข่งอีกด้วย เพราะพวกเขาตั้งใจให้การแข่งขันนี้ เป็นการปูทางและเฟ้นหานักบิดเลือดเอเชียที่มีฝีมือและความโดดเด่น เพื่อปั้นสู่การแข่งขันในศึกมอเตอร์ไซค์ชิงแชมป์โลกต่อไปในอนาคตนั่นเอง

ขยับสู่เวทีระดับเอเชีย

เช่นเดิม จากความโดดเด่นด้านการแข่งขันของ ก้อง ทำให้ Alberto Puig ค่อนข้างให้ความสนใจในตัวเด็กคนนี้ และตัดสินใจให้เจ้าตัวได้เป็นหนึ่งในนักบิดเวที Asia Talent Cup เต็มฤดูกาลปี 2014 ซึ่งเจ้าตัวก็สามารถทำคะแนนสะสมรวมในการแข่งขันปีแรกได้เป็นอันดับที่ 11

เมื่อเข้าสู่ปี 2015 ตัว ก้อง ยังคงได้รับเลือกให้เป็นนักบิดในเวที Asia Talent Cup ต่อ โดยคราวนี้ เจ้าตัวสามารถคว้าชัยชนะในการแข่งขันได้ตั้งแต่รอบเปิดฤดูกาล ซึ่งเป็นการแข่งขัน ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชัลแนล เซอร์กิต ประเทศไทย และยังสามารถคว้าอันดับ 2 กับ 3 ในการแข่งขันที่กาตาร์ ซึ่งเป็นเรซที่ 3 กับ 4 ซึ่งถือว่าเป็นฟอร์มที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก

ถึงกระนั้น ด้วยอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในไทย ช่วงพักหลังจบการแข่งขันในกาตาร์เพียงไม่นาน ทำให้ ก้อง ต้องพักรักษาตัวไม่สามารถลงแข่งขันได้ตลอดฤดูกาล และสามารถเก็บแต้มไปได้เพียง 61 คะแนน รั้งอันดับ 12 เท่านั้น ในตารางคะแนนสะสมทั้งปี

จนกระทั่งในปี 2016 ซึ่งเหมือนกับ ก้อง อัดอั้นจากการแข่งขันในปีก่อน จึงทำให้คราวนี้เจ้าตัวมาพร้อมกับฟอร์มการแข่งที่ดุเดือดกว่าเดิม โดยสามารถคว้าชัยชนะในการแข่งขันตลอดปีไปทั้งหมด 3 เรซ อันดับ 2 และ อันดับ 3 อีกอย่างละ 1 เรซ ส่วนที่เหลือก็ไม่เคยจบการแข่งในอันดับต่ำกว่าที่ 8 และมีเพียงการพลาดล้ม ไม่จบการแข่งขันไปเพียง 1 สนาม และสามารถคว้าแชมป์ประจำปีไปได้ในที่สุด

มุ่งสู่เวทีระดับยุโรป

ในปี 2017 จากผลงานระดับแชมป์เอเชีย ก้อง จึงถูกผลักดันโดย Honda บริษัทแม่ ให้เข้ามาวัดฝีมือในศึกการแข่งขัน FIM CEV Repsol Moto3 Junior World Championship ซึ่งเป็นเวทีการแข่งขันของ Honda ที่เต็มไปด้วยเหล่าเด็กจากยุโรปพรสวรรค์และทักษะสูงมากมาย เพื่อเฟ้นหานักบิดฝีมือดีสายตรง(ของ Honda) รอบสุดท้าย สำหรับส่งต่อไปลงในเวทีการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก MotoGP ต่อไป

แต่เจ้าตัวก็สามารถกดเวลาคว้าตำแหน่งโพลโพซิชันได้ทันทีตั้งแต่การแข่งขันสนามแรก แม้ว่าในการแข่งขันจริงเจ้าตัวจะพลาดล้มจนไม่จบการแข่งขันก็ตาม แต่หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ยังคงสามารถคว้าอันดับ 7 ในการแข่งขันได้ที่เลอมังส์ และยังคว้าอันดับ 8 ได้ในการแข่งขันที่เฆเรซ อันดับ 10 ในการแข่งขันที่วาเลนเซีย พร้อมจบอันดับในตารางคะแนนสะสมรวมตลอดปีที่ อันดับ 20 โดยไม่ได้ไปลงแข่งถึง 5 สนาม จากทั้งหมด 12 สนาม ในฤดูกาลดังกล่าว เนื่องด้วยอาการบาดเจ็บ

ต่อมาในปี 2018 เจ้าตัวยังคงได้สู้ต่อในศึกเดิม แต่ในคราวนี้ด้วยความสามารถในการเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 4 กับ อันดับ 5 อย่างละ 1 ครั้ง กับการเข้าเส้นชัยในอันดับ 6 อีก 2 ครั้ง โดยจบการแข่งขันในอันดับต่ำกว่าที่ 10 ไปเพียง 3 เรซ และไม่จบการแข่งขันอยู่ 2 เรซ รวมถึงไม่ได้แข่งขันในอีก 2 เรซสุดท้าย แต่ยังสามารถทำคะแนนสะสมในตารางตอนสิ้นปีได้เป็นอันดับที่ 9

เข้าสู่การแข่งขันระดับโลก

ในปี 2018 เดียวกันกับขณะที่ ก้อง ยังลงแข่งในศึก FIM CEV Repsol Moto3 Junior World Championship ก็เป็นปีเดียวกันกับที่ทางสนามช้างฯ เซอร์กิต ได้เป็นเจ้าภาพในการจัดแข่งขันศึก MotoGP อย่างเป็นทางการครั้งแรกในไทย

ซึ่งด้วยกติกาของการแข่งขัน ที่ระบุว่าประเทศเจ้าภาพ สามารถส่งนักบิด Wildcard เข้าร่วมการแข่งขันได้ จึงทำให้ทาง A.P. Honda ไม่พลาดที่จะขอใช้สิทธิ์นี้ และให้ ก้อง ได้ลองชิมลางกับเหล่านักบิดระดับโลกจริงๆในรุ่น Moto3 ซึ่งผลก็คือ ก้อง สามารถเข้าเส้นชัยได้เป็นอันดับ 9 เรียกได้ว่าน่าประทับใจเป็นอย่างมาก สำหรับนักบิดที่ยังไม่เคยสู้ในเวทีนี้มาก่อน (แม้รถจะมีความใกล้เคียงกับที่ตนเองใช้แข่งในศึก FIM CEV ประมาณหนึ่งก็ตาม)

ด้วยผลงานที่เกิดขึ้น จึงทำให้หลังจบการแข่งขันดังกล่าวไปเพียงไม่นาน ทาง A.P. Honda ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ก้อง จะได้ลงแข่งในศึกรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลกปี 2019 ภายใต้สังกัด Idemitsu Honda Team Asia ซึ่งจุดน่าสนใจคือ เจ้าตัวไม่ต้องไต่เต้าแข่งจากรุ่น Moto3 แต่เป็นการขยับไปแข่งในรุ่น Moto2 ซึ่งเป็นรุ่นกลางได้เลยทันที

อย่างไรก็ดี ด้วยความแข็งแกร่งของเหล่านักบิดระดับโลก ที่เก่งเป็นรองแค่เพียงนักบิดในรุ่นใหญ่ รวมถึงการจับตัวแข่งแบบใหม่ ซึ่งมีทั้งน้ำหนักมากขึ้น และพละกำลังสูงขึ้นมากจากเครื่องยนต์ที่ใหญ่ขึ้นกว่า 3 เท่า จนรถสามารถวิ่งแตะความเร็วหลัก 280 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้สบายๆในบางสนาม

จึงทำให้ ก้อง ต้องปรับตัวกันยกใหญ่ และศึกษาวิธีการแข่งขันที่โหดหินยิ่งขึ้นจากเหล่าคู่แข่ง จนเจ้าตัวพลาดล้มไปกว่า 4 สนาม แถมยังสามารถจบการแข่งขันในอันดับ 9 เพียงครั้งเดียว นอกนั้นคืออยู่ในโซนเกือบไม่ได้เก็บแต้มอีกหลายครั้ง จนสามารถเก็บคะแแนนสะสมไปได้เพียง 23 แต้ม เท่านั้น และได้อยู่ในอันดับที่ 21 ของตารางรวมทั้งปีเท่านั้น

ซ้ำร้ายกว่านั้น ในปี 2020 ซึ่งเป็นปีที่มีการระบาดของเชื้อไวรัส Covic-19 ก้อง ไม่สามารถจบการแข่งขันได้เลย กว่า 5 สนาม และยังไม่สามารถสร้างผลงานที่น่าประทับใจเท่าไหร่นักในสนามอื่นๆจนน่าใจหาย

แต่ยังดีที่เจ้าตัวสามารถเค้นฟอร์มเก่งได้ในสนามเลอมังส์ ด้วยการจบอันดับที่ 9 รวมถึงเป็นนักบิดคนเดียวของทีมที่สามารถคว้าแต้มได้ในการแข่งขันปีนี้ ก้อง จึงได้รับการต่อสัญญาให้อยู่กับทีมต่อไปในปี 2021-2022

ผลงานเริ่มสะดุดตาชาวโลก

ในการแข่งขันปี 2021 แม้เจ้าตัวจะยังคงพลาดล้มไปกว่า 5 สนาม แต่เมื่อมองไปที่อันดับการเข้าเส้นชัยหาก ก้อง สามารถแข่งได้จนจบ ก็ถือว่าเป็นผลงานที่ดีขึ้น และโดดเด่นขึ้น โดยสามารถเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 5, 8, 9 ได้อย่างละ 1 ครั้ง และยังสามารถคว้าแต้มการแข่งขันในเรซอื่นๆได้อีก 3 สนาม จนอันดับในตารางคะแนนสะสมขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 18

เมื่อเข้าสู่ปี 2022 คราวนี้เจ้าตัวก็ยังคงพลาดล้มไม่จบการแข่งขันไปถึง 7 สนาม แต่งในทางกลับกัน ก้อง ก็เริ่มเป็นที่ถูกพูดถึงในหมู่นักแข่งร่วมรุ่น เหล่านักพากษ์ประจำสนาม และคนดูมากขึ้น โดยเฉพาะการคว้าชัยชนะในการแข่งขันที่สนามมันดาลิกา ประเทศอินโดนีเซีย เป็นครั้งแรกให้กับตนเอง ในเวทีการแข่งขันระดับชิงแชมป์โลก และกลายเป็นคนไทยคนแรกที่สามารถชนะการแข่งขันระดับนี้ได้

แถมจากนั้นเจ้าตัวยังสามารถขึ้นโพเดี้ยมในอันดับ 2 ได้อีก 2 ครั้ง อันดับ 3 อีก 1 ครั้ง นอกนั้นก็จบการแข่งขันในอันดับสูงกว่าที่ 10 เป็นส่วนใหญ่ ทำให้ในคราวนี้ เจ้าตัวสามารถคว้าคะแนนสะสมในตารางตลอดปีได้เป็นอันดับ 10 จากคะแนน 128 แต้ม

เช่นเดียวกันในปี 2023 คราวนี้ ก้อง มาพร้อมกับฟอร์มการแข่งขันที่นิ่งขึ้น พลาดน้อยลง โดยไม่จบการแข่งขันจากการพลาดล้มไปเพียง 2 สนาม จากการแข่งขันทั้งหมด 20 สนามเท่านั้น ที่สำคัญคือยังสามารถเก็บแต้มเข้ากระเป๋าได้ทุกสนาม โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น ที่สามารถคว้าชัยชนะด้วยอันดับ 1 ไปได้ และยังสามารถคว้าโพเดี้ยมในอันดับ 3 ได้อีกครั้งในการแข่งขันที่ประเทศไทย จนทำให้คะแนนสะสมรวมในตารางตลอดปี ขยับขึ้นมาสูงถึงอันดับที่ 6 เลยทีเดียว

ส่วนการแข่งขันในฤดูกาลล่าสุดปี 2024 ก้อง ยังคงสามารถรักษาฟอร์มนิ่งไว้ได้ดีพอสมควร แม้จะพลาดล้มไปแล้ว 2 สนาม แต่ทั้ง 2 ครั้งเป็นความผิดพลาดโดย อุบัติเหตุการปะทะแบบโดนลูกหลงจากคู่แข่งอย่างน่าเสียดายทั้งคู่ ขณะที่ผลการแข่งขันในภาพรวม ยังคงอยู่ในกลุ่มกลางตาราง และตอนนี้ก็มีคะแนนสะสมในอันดับ 10 จากการแข่งขัน11 สนาม ของทั้งหมด 20 สนาม

โดยแม้การขยับขึ้นไปแข่งขันในรุ่นใหญ่ MotoGP ปี 2025 ของ ก้อง สมเกียรติ จันทรา ครั้งนี้ จะถูกหลายฝ่ายมองว่าไม่เหมาะสม ทั้งในมุมของคนดูต่างประเทศ ที่ระบุว่า ก้อง ยังฝีมือไม่โดดเด่นพอจะขึ้นมาได้

รวมถึงฝั่งคนไทยเอง ก็มีบางส่วนที่ไม่อยากให้ ก้อง ขยับขึ้นไปแข่งในรุ่นใหญ่ โดยใช้รถ Honda RC213V ในตอนนี้ เนื่องจากตัวแข่งดังกล่าวยังคงอยู่ในช่วงพัฒนา ในฐานะ “ยักษ์หลับ” อยู่ จึงทำให้มันอาจเป็นผลเสียมากกว่า เพราะมีโอกาสที่ ก้อง จะไม่สามารถทำคะแนนได้ง่ายๆ ในการแข่งขันที่เต็มไปด้วยนักบิดระดับต่างดาว ซึ่งพกดีกรีแชมป์รุ่นเล็ก กลาง ใหญ่ มากมาย

แต่โอกาสระดับทองฝังเพชรในครั้งนี้ ก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชาวไทย เพราะโดยปกติที่ว่างของเก้าอี้ในทีม Idemitsu LCR Honda โดยปกติแล้วมักมีไว้สำหรับนักบิดญี่ปุ่นมาโดยตลอด ดังนั้น เราจึงมีแต่จะต้องเชียร์ให้ ก้อง สามารถทำผลงานได้อย่างสุดความสามารถ เพื่อสร้างโอกาสจากสัญญา 1 ปี ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ให้คุ้มค่าที่สุด ก็เท่านั้น

CR : Honda Racing School Team

*Honda Racing School ถือเป็นกิจกรรมในลักษณะโรงเรียนฝึกเยาวชน ที่สนใจในการแข่งขันรถจักรยานยนต์แบบเซอร์กิต ที่ทาง A.P. Honda จัดขึ้นมานานนับสิบปี โดยเป็นกิจกรรมที่จะเปิดรับสมัครเหล่าเด็กๆจากทั่วประเทศ (ภายหลังมีการเปิดให้ผู้ใหญ่สามารถเข้าร่วมได้ด้วย) ให้มีโอกาสเรียนรู้ทักษะการแข่งขันรถจักรยานยนในรูปแบบเซอร์กิตอย่างเต็มตัว (และตัวผู้เขียนเอง ก็เคยเป็นหนึ่งในเด็กที่มีโอกาสได้เข้าร่วมกิจกรรมนี้)

ก่อนจะคัดเลือกเด็กที่มีเแววเพื่อส่งชื่อไปแข่งในรายการ Honda One Make Race ณ ช่วงเวลานั้น และปูทางสู่การแข่งขันในระดับชิงแชมป์ประเทศ หรืออื่นๆที่สูงกว่า ภายใต้สังกัดทีม A.P Honda Racing Team ต่อไป

ซึ่งในภายหลังช่วงปี 2016 ทางผู้บริหารจะตัดสินใจปรับหลักสูตรการเรียนการฝึกใหม่ เพื่อให้การปูทางสู่การแข่งขันระดับมืออาชีพที่เข้มข้นยิ่งขึ้น มีเป้าหมายสู่การแข่งขันในใระดับโลกที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และเกิดเป็นโครงการ Honda Academy Thailand ภายใต้โปรเจ็กท์ Race to The Dream ซีซันแรกขึ้นมา ในปี 2017

โดย ก้อง สมเกียรติ จันทรา ก็อยู่ในช่วงคาบเกี่ยวของการเปลี่ยนผันนี้พอดิบพอดี เพราะในขณะที่เจ้าตัวเริ่มต้นเข้าสู่การเป็นเด็กลูกหม้อในโครงการ Honda Racing School ขณะที่เจ้าตัวเริ่มลงแข่งในเวที Asia Talent Cup ก็เป็นการปูทางตามโร้ดแมปที่ทาง A.P. Honda (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Thai Honda) วางแผนเอาไว้ และเป็นการกรุยทางให้กับนักบิดไทยรุ่นน้องๆในอนาคตเช่นกัน

และจากการวางโร้ดแมปข้างต้น ที่ทาง Thai Honda ตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องผลักดันนักบิดไทย ให้กลายเป็นนักบิด MotoGP ให้ได้ ภายในปี 2025 “ก้อง สมเกียรติ จันทรา” ก็คือนักบิดที่เป็นผลสำเร็จของการผลักดันตามคอนเซปท์ Race to The Dream ในครั้งนี้นี่เอง

แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเมื่อมีนักบิดไทยในรุ่น MotoGP ภายในปี 2025 สำเร็จแล้ว โครงการ Honda Academy Thailand จะยุติไป เพราะในปัจจุบันก็ยังคงมีการจัดโครงการอยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเปิดโอกาสให้กับเด็กและเยาวชนที่สนใจได้ล่าฝันสู่การเป็นนักบิดในเวทีระดับโลกต่อไป

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.