Mercedes-Benz GLE เป็นรถยนต์อีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมของแบรนด์ และตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่มันจะได้รับการปรับโฉมในระดับ Minor-Change สักที แถมยังมีการปรับสเป็คใหม่ให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันด้วย

2024 Mercedes-Benz GLE/GLE Coupe แม้จะบอกว่าเป็นการปรับโฉมแบบ Minor-Change แต่มันก็ถูกปรับเปลี่ยนตั้งแต่หน้าตาภายนอก ยันไส้ใน เริ่มจากการเปลี่ยนงานดีไซน์แถบไฟ DRL ในกรอบไฟหน้าใหม่ จากแบบสองเส้นแล้วลากมาแบ่งระหว่างไฟหรี่กับไฟหลัก เป็นแบบ 4 ดวง ขนาบบนล่าง และมีแถบยาวอีกชั้นด้านบน และมีการปรับกรอบดวงไฟทั้งสองดวงที่อยู่ด้านในใหม่ด้วย

ตัวกันชนหน้าก็มีการปรับงานออกแบบใหม่เล็กน้อย โดยการเพิ่มกรอบรีดลมทางด้านซ้ายและด้านขวาเข้าไป ขณะที่กระจังหน้าก็มีการปรับรายละเอียดใหม่ แต่ก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละรุ่นย่อย และท้ายสุดคือ ไฟท้าย ที่ถูกปรับรายละเอียดใหม่เช่นกัน ให้เป็นแบบ 2 แถบนอน แยกส่วนระหว่างไฟเบรก กับไฟเลี้ยว

ฝั่งภายในห้องโดยสาร ก็ปรับใหม่ด้วยพวงมาลัยมาพร้อมปุ่มกดระบบสัมผัส ที่ผู้ใช้สามารถสั่งการระบบต่างๆภายในรถได้จากตรงนี้ เสริมด้วยการเพิ่มกรอบแอร์โครเมียม และแผงคอนโซล Piano Black Flowing Lines ที่แต่เดิมจะมีให้เลือกเฉพาะในตัวรถรหัส Maybach เท่านั้น

และในส่วนของตัวรถรุ่นบนสุด รหัส GLE 580 ก็จะได้ออพชัน Off-Road Engineering Package ซึ่งประกอบไปด้วยแผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถ กับการยกสูงตัวรถขึ้นอีก 1.2 นิ้ว เพิ่มโหมดการแสดงผลสถานะต่างๆของตัวรถที่สำคัญในการเข้าป่าบนหน้าจอกลาง เพิ่มระบบช่วยถอยหลังเมื่อรถมีการลากจูงเทรลเลอร์ และเพิ่มระบบ Trailer Route Planner ซึ่งจะคอยหาที่จอดที่เหมาะสมกับข้อมูลความยาว และน้ำหนักเทรลเลอร์ไว้ให้ (แต่ออพชันนี้ อาจยังไม่มีการเปิดให้ใช้ในไทย)

สิ่งสุดท้ายที่เปลี่ยนไป คือรายละเอียดในเรื่องขุมกำลัง ที่มีการเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ GLE 400e 4Matic ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Plug-In Hybrid ให้กำลังสูงสุดรวมกันที่ 386 PS กับแรงบิดสูงสุด 649 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายใน 5.8 วินาที และล็อคความเร็วสูงสุดที่ 209 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ส่วนตัวแบตฯ แม้จะมีการระบุว่ามันใช้แบตฯขนาด 23.3 kWh ทว่าทางค่ายยังไม่มีการเปิดเผยว่ามันจะใช้เวลาในการชาร์จไฟกลับเท่าใด หรือมีระยะทางในการใช้งานสูงสุดในโหมด EV เท่าใดกัน

นอกนั้นในส่วน GLE รุ่นย่อยอื่นๆ ก็จะปรับมาเพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้า ช่วยเสริมกำลังขับเครื่องยนต์แบบ Mild Hybrid ทั้งหมด ซึ่งตัวเลขกำลังสูงสุดก็จะแบ่งย่อยกันไปดังนี้

  • GLE 350 : 255 HP / 400 Nm + Hybrid Boost 20 HP / 200 Nm
  • GLE 450 : 375 HP / 500 Nm + Hybrid Boost 20 HP / 200 Nm
  • GLE 580 : 510 HP / 730 Nm + Hybrid Boost 21 HP / 250 Nm

ขณะเดียวกัน ในฝั่ง Mercedes-AMG GLE ก็ได้รับการปรับโฉมใหม่เช่นกัน และหากเป็นรุ่น GLE 53 ก็จะได้รับการปรับปรุงเทอร์โบชาร์จเจอร์ใหม่ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม จนแรงบิดที่ได้เพิ่มขึ้นเป็น 560 นิวตันเมตร ส่วนแรงม้าที่เค้นได้จากเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง 3.0 ลิตร ลูกนี้ ก็ยังคงเท่าเดิมคือ 429 HP

แต่ในส่วน GLE 63 S ที่ใช้เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ ขนาด 4.0 ลิตร ก็ยังคงมีแรงม้าเท่าเดิม ที่ 603 HP ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ

แน่นอน การเผยโฉมครั้งนี้ ยังเป็นแค่เพียงการเปิดเผยรายละเอียดตัวรถโดยคร่าวๆในประเทศสหรัฐอเมริกา และยุโรปก่อนเท่านั้น ส่วนการวางจำหน่ายในไทย อาจจะมีการปรับรายละเอียดปลีกย่อยที่ต่างออกไปอีก ซึ่งต้องรอติดตามกันต่อไปหลังจากนี้

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่